22 ม.ค. 2021 เวลา 04:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
นโยบาย ‘โจ ไบเดน’ หนุนย้ายฐาน รับอานิสงส์สหรัฐปักหลัก ‘อีอีซี’
“โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ เข้ามารับหน้าที่บนสถานการณ์ที่สหรัฐกำลังเผชิญภาวะวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐ ในขณะที่นโยบายหลายด้านจะมีส่วนกดดันให้บริษัทสหรัฐกลับมาใช้นโยบายออกไปลงทุนนอกประเทศมากขึ้น
นโยบาย ‘โจ ไบเดน’ หนุนย้ายฐาน รับอานิสงส์สหรัฐปักหลัก ‘อีอีซี’
มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า นโยบายของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่จากพรรคเดโมแครตถือว่ามีพื้นฐานนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่แตกต่างจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพลับรีกันชัดเจน
1
ทั้งนี้ ไบเดนจะให้ความสำคัญกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศเพิ่มการส่งออกสินค้า ซึ่งทำให้บรรยากาศการค้าของโลกมีความผ่อนคลายมากขึ้นแม้จะยังมีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนอยู่แต่จะมีแนวทางการเจรจาเพื่อให้ทั้ง 2 ประเทศทำการค้าได้มากขึ้น
รวมทั้งเศรษฐกิจสหรัฐมีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกคือมีสัดส่วนประมาณ 17% ของจีดีพีโลก ดังนั้นเมื่อสหรัฐมีการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เน้นการเพิ่มการบริโภคเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ความต้องการสินค้าต่างในสหรัฐจะมากขึ้นกระตุ้นให้เกิดการผลิตและการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการนำเข้าสินค้าในสหรัฐมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นโอกาสของประเทศไทยในการส่งออกสินค้าไปทั้งยังสหรัฐฯและจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกสินค้าอันดับ 1 และ 2 ของไทยได้มากขึ้น
1
อย่างไรก็ตามนโยบายของ “ไบเดน” ที่จะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในสหรัฐเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงจากเดิมที่ 7.25 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง รวมถึงการปรับเพิ่มภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% จะมีส่วนสำคัญในทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตของบางอุตสาหกรรมออกจากสหรัฐมากขึ้นด้วย
“หลายบริษัทในสหรัฐจะกลับมาใช้นโยบายออกไปลงทุนภายนอกประเทศมากขึ้นโดยภูมิภาคหนึ่งที่บริษัทสหรัฐให้ความสนใจเข้ามาลงทุน คือ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยทำให้เป็นโอกาสที่จะมีการลงทุนใเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เพิ่มขึ้นด้วย”
นอกจากนี้โอกาสการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากต่างชาติเข้ามายังภูมิภาครวมทั้งประเทศไทยยังมีอยู่มาก เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐยังใช้นโยบายการผ่อนคลายทางการเงิน และอัตราดอกเบี้ยต่ำทำให้มีกระแสเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้มาก ซึ่งบางส่วนการเคลื่อนย้ายของเงินทุนเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตลาดเงินและตลาดทุน แต่อีกส่วนหนึ่งจะเป็นการเข้ามาลงทุนจริงในภาคการผลิตซึ่งหากสามารถดึงดูดการลงทุนจากบริษัทขนาดใหญ่ให้เข้ามาลงทุนในไทยได้ก็จะสร้างโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้กับประเทศ
1
ในขณะที่นโยบายดึงดูดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ถือว่าเป็นนโยบายที่รัฐบาลควรส่งเสริมให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงการฟื้นตัวจากโควิด-19 ที่การลงทุนของภาคเอกชนในประเทศยังมีข้อจำกัดและไม่ฟื้นตัวดีนัก โดยประเทศไทยยังมีจุดเด่นในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
ทั้งนี้ นโยบายอย่างหนึ่งที่รัฐบาลควรจะสนับสนุนให้เกิดขึ้น คือ นโยบาย “Work From Thailand” ซึ่งเป็นนโยบายที่สนับสนุนให้คนต่างชาติในกลุ่มที่มีศักยภาพเข้ามาทำงานและลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยใช้จุดแข็งของประเทศไทยส่งเสริมการเป็นฮับในการลงทุนของไทยในภูมิภาค โดยใช้ข้อได้เปรียบในการดึงดูด เช่น ในเรื่องความพร้อมของสาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อมกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ค่าเช่าสำนักงานและค่าครองชีพที่สูงกว่า
2
สำหรับสิ่งที่ต้องมีการปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อรองรับนโยบาย Work From Thailand คือ โครงสร้างพื้นฐานในด้านการติดต่อสื่อสารที่จะต้องเร่งเรื่องของเทคโนโลยี 5G ให้มีความพร้อมที่จะใช้ในการติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็วเพื่อรองรับการประชุมทางไกลและการติดต่อออนไลน์แบบเรียลไทม์ ซึ่งหากสามารถทำได้จะสามารถรองรับรูปแบบใหม่ของการทำธุรกิจในอนาคตที่การเดินทางเพื่อประชุมสัมนาในต่างประเทศจะหายไปประมาณ 20%
“หากไทยมีความพร้อมในเรื่องนี้จะสามารถรองรับการเข้ามาทำธุรกิจ และการลงทุนของต่างชาติได้ซึ่งการเข้ามาตั้งสำนักงานของบริษัทต่างชาติและใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการทำธุรกิจในระยะยาวซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจจากนโยบายนี้ได้”
สำหรับสถิติการขอส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติทั้งหมดที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนระหว่างเดือน ม.ค.-ก.ย.2563 จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้แก่ อันดับ 1.ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 139 โครงการ มูลค่าการลงทุน 3.7 หมื่นล้านบาท 2.จีน 129 โครงการ มูลค่าการลงทุน 2.12 หมื่นล้านบาท
3.เนเธอร์แลนด์ 62 โครงการ วงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท 4.สิงคโปร์ 76 โครงการ วงเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท 5.ไต้หวัน 37 โครงการ วงเงิน 9,400 ล้านบาท 6.ฮ่องกง 55 โครงการ วงเงิน 7,300 ล้านบาท
7.สหรัฐ 31 โครงการ วงเงินรวม 2,981 ล้านบาท 8.เยอรมัน 13 โครงการ วงเงิน 2,750 ล้านบาท 9.อินโดนีเซีย 3 โครงการ วงเงินรวม 2,500 ล้านบาท และ 10.เกาหลีใต้ 16 โครงการ วงเงินรวม 1,890 ล้านบาท
โฆษณา