22 ม.ค. 2021 เวลา 02:31 • กีฬา
คงไม่มีใครคิดแน่ ว่าสถิติไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ลีกที่แอนฟิลด์ของ ลิเวอร์พูล ซึ่งยืนยงคงกระพันมานานถึง 68 นัด นับตั้งแต่โดน คริสตัล พาเลซ บุกอัด 1-2 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2017 จะต้องมาสิ้นสุดลงด้วยน้ำมือของทีมที่ยิงประตูได้น้อยที่สุดในลีกอย่าง เบิร์นลี่ย์
ถึงแม้จะยิงใครในเกมลีกไม่ได้อีกเลย นับตั้งแต่ ซาดิโอ มาเน่ ซัดออกนำ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ตั้งแต่นาทีที่ 12 ของเกมที่เสมอกัน 1-1 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม แต่หงส์แดงยังครองสถิติได้ประตูมากที่สุดของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อยู่นะครับ ด้วยการกดไปถึง 37 ลูก
ตามมาตรฐานของทีมที่ยิงประตูมากที่สุด เปิดบ้านพบกับทีมที่ยิงประตูน้อยที่สุด ชัยชนะมันควรเป็นของเจ้าถิ่นไม่ยาก
แต่กลายเป็นว่าผลการแข่งขันที่ออกมาสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลทั่วโลกไม่น้อย
ลิเวอร์พูล 0 - เบิร์นลี่ย์ 1
4 นัดติดต่อกันเข้าไปแล้ว ที่ ลิเวอร์พูล ทำประตูไม่ได้เลยในพรีเมียร์ลีก
ครั้งสุดท้ายที่มันเกิดขึ้นต้องย้อนไปไกลถึงเดือนพฤษภาคมเมื่อ 21 ปีก่อน ซึ่งหงส์แดงภายใต้การคุมทีมของ เชราร์ อุลลิเย่ร์ ยิงใครไม่ได้เลยใน 5 เกมสุดท้ายของซีซั่น 1999-2000 (เสมอ 2 แพ้ 3)
นี่ยังเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 15 ปี ที่ทีมที่มี เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นกุนซือ ปืนฝืดในลีกนานถึง 4 เกมซ้อน นับตั้งแต่ที่มันเกิดขึ้นกับ ไมนซ์ 05 ในศึกบุนเดสลีกา ช่วงระหว่างปลายเดือนพฤศจิกายน จนถึงต้นเดือนธันวาคม 2006
นี่ยังเป็นการไม่ชนะเกมลีกที่แอนฟิลด์ 3 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2017 อีกต่างหาก แต่คราวนี้ที่มันประหลาด คือมันแย่ถึงขั้นแพ้ทีมท้ายตารางเลยทีเดียว
ผมคิดว่าผลการแข่งขันช่วงหลังของ ลิเวอร์พูล มันคือหลักฐานชัดเจนว่าพรีเมียร์ลีกมันแทบไม่มีทีมไหนที่คุณจะเคี้ยวได้ง่ายๆ อีกแล้ว
จ่าฝูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจยังไม่มีปัญญาเอาชนะทีมใหญ่ แต่ที่พวกเขาขึ้นสู่อันดับ 1 ของตารางได้ มันเป็นเพราะไม่พลาดทำแต้มหลุดมือเลย ในการเจอกับ 6 ทีมล่างสุดของตาราง
ทีมปีศาจแดงเก็บชัยได้เรียบวุธในการเจอทีมอย่าง นิวคาสเซิ่ล, เบิร์นลี่ย์, ไบรท์ตัน, ฟูแล่ม, เวสต์บรอมวิช และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด นับรวม 18 คะแนนเต็มเน้นๆ จากเกมที่ไม่ควรพลาด
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่กำลังรอโอกาสขึ้นจ่าฝูงอยู่ทุกสัปดาห์ เสียประตูให้ทีมกลุ่มนี้แค่ลูกเดียว ในเกมอุบัติเหตุที่เสมอ เวสต์บรอมวิช 1-1 ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม นอกนั้นเรือใบสีฟ้าไล่ตบทีมอันดับ 15-20 ทีมอื่นๆ ได้แบบไร้ปัญหา
1
แต่ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล มีผลงานเจอทีมเล็กๆ เข้าขั้นน่าผิดหวัง เพราะนอกจากเฉือนชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด แบบหืดจับ 2-1 เมื่อเดือนตุลาคม พวกเขาก็ไม่สามารถชนะทีมอันดับ 15-19 ทีมไหนได้เลย
เสมอ ไบรท์ตัน 1-1 (เยือน)
เสมอ ฟูแล่ม 1-1 (เยือน)
เสมอ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 1-1 (เหย้า)
เสมอ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 0-0 (เยือน)
แพ้ เบิร์นลี่ย์ 0-1 (เหย้า)
ไม่น่าเชื่อว่าแชมป์เก่า จะยิง 5 ทีมเหล่านี้ไม่เคยเกินนัดละ 1 ประตู
มันจะมีประโยชน์อะไรในการลุ้นแชมป์ ถ้าคุณระเบิดฟอร์มหรูได้ในเกมบิ๊กแมตช์ แต่กลับเอาแต้มมาแจกให้ทีมเล็กๆ รวมกันเกินกว่า 10 คะแนน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมื่อคู่แข่งหัวตารางไม่ยอมพลาดในเกมแบบนี้เลย
ผมไม่แน่ใจว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ประมาทศักยภาพของคู่แข่งที่ชื่อชั้นเป็นรองเยอะมากเกินไปหรือเปล่า ถึงกล้าดร็อป 2 ตัวหลักในแนวรุกอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ออกจากทีมพร้อมกัน
บางทีเรื่องนั้นอาจไม่ใช่ปัญหา ถ้าหาก อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เรียกฟอร์มเก่งช่วงก่อนได้รับบาดเจ็บยาวกลับมาได้ ไม่ใช่ลงไปแล้วเลี้ยงบอลไม่ผ่านใคร และสร้างโอกาสไม่ได้สักหนอย่างที่เห็น
บรรยากาศเลวร้ายคงเบาบางลงไปบ้าง ถ้าหาก ดิว็อค โอริกี้ ที่ได้ลงตัวจริงเกมลีกนัดแรกของฤดูกาล ไม่พลาดโอกาสทองที่ เบน มี เตะคืนหลังพลาด แล้วตัวเองกระชากบอลหลุดเดี่ยวไปซัดโด่งชนคานแบบนั้น
สุดท้ายแค่ไม่ครบหนึ่งชั่วโมงของเกม คล็อปป์ ก็ต้องส่ง ซาลาห์ กับ ฟีร์มิโน่ ลงสู่สนามอยู่ดี และจนกระทั่งจบ 90 นาทีของเกม ก็ยังหยุดสถิติปืนฝืดของตัวเองกันไม่ได้ทั้งคู่
ผู้รักษาประตูของ เบิร์นลี่ย์ อย่าง นิค โป๊ป อาจคว้าตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ด้วยสถิติเซฟ 6 ครั้ง และไม่พลาดเลยในการตัดบอล แต่เขาไม่ได้เผชิญหน้าลูกยิงยากๆ มากนัก
จังหวะเซฟที่ต้อง สแตนดิ้ง โอเวชั่น จริงๆ มีเพียงช็อตโชว์ปฏิกิริยายอดเยี่ยม ล้มตัวปัดลูกซัดตามน้ำด้วยซ้ายเน้นๆ ของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในนาทีที่ 60 จากโอกาสที่ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม พาบอลลุยขึ้นมาจ่ายให้บริเวณฝั่งขวาของกรอบเขตโทษ
อีกหนึ่งสถิติที่น่าทึ่ง แต่ ลิเวอร์พูล คงไม่อยากจดจำ คงเป็นการหาจังหวะยิงได้มากถึง 27 ครั้ง ถือเป็นเกมที่ได้โอกาสทำประตูมากที่สุด แต่ส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายไม่ได้สักลูก
ปัญหาที่น่าเป็นห่วงของ ลิเวอร์พูล ตอนนี้ มันคือเรื่องเกมรุก ไม่ใช่เกมรับ
พวกเขาไม่เคยโดนใครยิงในลีกเกิน 1 ประตูเลยสักเกม นับตั้งแต่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ได้รับบาดเจ็บปิดเทอมยาว
แต่มันก็คงปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า "มีผล" กับแดนอื่นๆ เพราะการที่เซนเตอร์แบ็กรายอื่นๆ ค่อยๆ เจ็บตามมา ไม่ว่าจะเป็น โจ โกเมซ หรือ โฌแอล มาติป มันทำให้ ฟาบินโญ่ ไม่สามารถรับบทกองกลางตัวโฮลด์บอลตามถนัดได้อีก
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ต้องถูกถอยลงไปยืนเซนเตอร์ด้วยเช่นกันในบางนัด ก่อนจะมาบาดเจ็บอีกครั้งจนพลาดลงสนามเกมล่าสุด ทำให้ทางเลือกในแดนกลางยิ่งน้อยลง
ฟูลแบ็ก 2 ข้างที่เคยเจ๋งกว่าทุกทีมในลีกอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน พอเสียความมั่นใจจากการที่คู่เซนเตอร์ไว้ใจได้ไม่เต็มที่ ก็เติมเกมรุกได้แบบเก้ๆ กังๆ
บางทีความสำคัญเกินไปในการขึ้นเกมบุกจากริมเส้นของฟูลแบ็กคู่นี้ ทำให้คู่แข่งทุกทีมค้นพบวิธียืนตำแหน่งไม่ให้ทั้ง เทรนท์ และ ร็อบโบ้ ครอสบอลได้ง่ายเหมือนเดิมอีก จนนำมาสู่อาการฟอร์มตกอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายของแบ็กขวาลูกหม้อเจ้าของเสื้อเบอร์ 66 ที่ตอนนี้ไม่ใช่จอมแอสซิสต์คนเดิมแบบที่แฟนบอลคุ้นเคยอีกแล้ว
ขณะที่วิธีถอยลงไปตั้งรับลึกในแดนตัวเอง กลายเป็นสูตรสำเร็จสำหรับทุกทีมที่คิดจะหยุดแนวรุกของ ลิเวอร์พูล
ทุกทีมรู้ดีว่าโอกาสแพ้จะเหลือน้อยมาก ถ้าสามารถจำกัดพื้นที่ใช้ความเร็วของ ซาลาห์ กับ มาเน่ ให้เหลือน้อยลงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมันจะส่งผลให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ มีทางเลือกในการเล่นน้อยลงด้วย
แล้วถ้าจะไปกล่าวโทษคู่แข่งที่มัวแต่ลงไปปิดพื้นที่รับแน่นก็ไม่ถูก เพราะมันไม่เมคเซ้นส์เลย ที่คู่แข่งจะไม่ยอมใช้วิธีการเล่นที่หลายทีมใช้แล้วได้ผล เปลี่ยนไปแลกหมัดเพื่ออำนวยความสะดวกให้หงส์แดงมีช่องเจาะง่ายๆ
แน่นอนว่าอาการบาดเจ็บเข่าของ ดีโอโก้ โชต้า คืออีกปัจจัยที่ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เหลือทางเลือกแก้เกมตีบตันลดน้อยลง
นับตั้งแต่กองหน้าทีมชาติโปรตุเกสหายหน้าไปจากทีม พวกเขาชนะเกมลีกด้วยผลต่าง 2 ลูกได้แค่ครั้งเดียว คือนัดที่บุกถล่ม คริสตัล พาเลซ 7-0 และเป็นเกมสุดท้ายที่ชนะได้ในพรีเมียร์ลีกมาจนถึงตอนนี้
อันที่จริง ลิเวอร์พูล ไม่สมควรแพ้เลยสักนิด เพราะ อลีสซง เบ็คเกอร์ ช่วยเซฟจังหวะโต้กลับไปยิงของ เบิร์นลี่ย์ ไว้ได้หมด ขณะที่เจ้าบ้านก็ครองบอลบุกใส่ตั้งแต่ต้นจนจบเกม
แต่บางทีฟุตบอลก็แปลกๆ บทจะถึงคราวแพ้ มันไม่มีอะไรสักอย่างที่เข้าทางตัวเองเลย
1
ถ้าหากคู่แข่งไม่เจตนาทำแฮนด์บอล หรือทำฟาวล์เพื่อขัดขวางโอกาสเป็นประตูจริงๆ ดูเหมือนการตัดสินทุกอย่างจะตรงข้ามกับ ลิเวอร์พูล ทั้งหมดในซีซั่นนี้
แต่บทตัวเองจะต้องเสียจุดโทษบ้าง ก็ดันเป็นการฟาวล์แบบที่ผู้ตัดสินไม่มีทางเลือกในการหลีกเลี่ยงได้เลย
อลีสซง ไปรวบ แอชลี่ย์ บาร์นส์ ล้มลง หลังจากที่ก่อนหน้านั้น ฟาบินโญ่ ประกบไม่อยู่ ในจังหวะหลังจากที่ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถโหม่งเคลียร์ลูกโด่งให้พ้นอันตรายจากแดนตัวเองได้ในช่วงท้ายเกม
ชัยชนะของ เบิร์นลี่ย์ นัดนี้ ทำให้ทีมของ ฌอน ไดช์ ทำแสบสันต์ที่แอนฟิลด์ได้เป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน
ซีซั่นก่อน พวกเขาคือทีมที่ดับฝันไม่ให้หงส์แดงทำลายสถิติ 100 คะแนนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และไม่ปล่อยให้เจ้าบ้านทำสถิติเป็นทีมแรกของพรีเมียร์ลีก ที่ชนะรวดเกมเหย้าแบบ 100% ด้วยการบุกเสมอ 1-1
การไม่ชนะ 5 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก คือสิ่งที่แฟนบอลลิเวอร์พูลยุคหลังไม่คุ้นเคยเท่าไร
ครั้งสุดท้ายและครั้งเดียวที่มันเกิดขึ้นในยุคที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ คุมทีม คือช่วง 5 นัดแรกของปี 2017 จากการที่ทีมขาด ซาดิโอ มาเน่ ไปรับใช้ทีมชาติเซเนกัล ในศึก แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์
โปรแกรม 3 นัดที่รออยู่ของ ลิเวอร์พูล ต่อจากนี้ อาจจะเป็นตัวชี้วัดเลยว่าฤดูกาลนี้ พวกเขาต้องหันไปโฟกัสกับการติดท็อปโฟร์ และการลุ้นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 7 แทนหรือเปล่า เมื่อต้องออกไปเยือน 3 นัดติดต่อกัน และเป็นงานยากทั้งนั้น
วันอาทิตย์นี้ ต้องบุกไปเยือน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด สนามที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังไม่เคยชนะได้ ในศึกแดงเดือดเวอร์ชั่น เอฟเอ คัพ
คืนวันพฤหัสบดีหน้า ต้องออกไปเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่จะทำแต้มแซงหน้าขึ้นท็อปโฟร์ทันทีถ้าเอาชนะหงส์แดงได้
ถึงแม้ว่า ลิเวอร์พูล สามารถเอาชนะ สเปอร์ส ได้ตลอด 2-3 ปีหลัง แต่ด้วยฟอร์มแบบนี้ ดูเหมือนว่าทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ อาจมีสิทธิ์ได้ 3 แต้มมากกว่า
จากนั้นคืนวันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม ต้องออกไปเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่กำลังแพ้ยากมากๆ จนจู่ๆ ก็มีลุ้นขึ้นท็อปโฟร์ด้วยอีกทีม
เชื่อว่าวิธีการเล่นของขุนค้อนภายใต้การทำทีมของ เดวิด มอยส์ คงสร้างปัญหาให้หงส์แดงของ คล็อปป์ ไม่แพ้พวกทีมเล็กๆ ที่เรียงหน้ากันคว้าแต้มจากแชมป์เก่าให้เห็นมาหลายทีม
และถ้าเกมนั้น เวสต์แฮม ชนะอีก อันดับของ ลิเวอร์พูล อาจถึงขั้นหล่นไปอยู่กลางตาราง
ด้วยปัญหาด้านการเงินในช่วงวิกฤติโคโรน่าไวรัส มันมีแนวโน้มสูงที่สโมสรจะปล่อยให้ตลาดนักเตะเดือนมกราคมนี้ ผ่านไปโดยไม่เสริมนักเตะใหม่เข้ามาเพิ่ม
นี่คือเรื่องที่แตกต่างจากที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจอเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ที่พอแพ้ เบิร์นลี่ย์ คาบ้าน 0-2 ก็เร่งเครื่องปิดดีลคว้า บรูโน่ แฟร์นันด์ส มาร่วมทีม ก่อนที่หลังจากนั้นสถานการณ์ของผีแดงเปลี่ยนจากหลังเท้ากลายเป็นหน้ามือ
ตอนนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ คงทำอะไรไม่ได้นอกจากใช้กลุ่มผู้เล่นชุดเดิมที่มี และต้องพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้ด้วยตัวเขาเอง และสิ่งสำคัญคือการทำให้นักเตะเล่นได้ดีแบบเดิมที่เคยทำให้ทีมคว้าแชมป์ยุโรป, แชมป์โลก และแชมป์ลีก
ผมยังคิดเสมอว่า ลิเวอร์พูล ยังคงเป็นทีมที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก หากพวกเขาอยู่ในสภาพฟูลทีม และลงแข่งขันด้วยความมั่นใจ
แต่ผลงานย่ำแย่ติดๆ กันของพวกเขาในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ มันเต็มไปด้วยปัญหาทุกอย่าง
ทั้งขาด เดอะ ค็อป เข้าสนาม, มีปัญหานักเตะบาดเจ็บรบกวนตลอด, เจอการตัดสินที่ไม่เป็นใจ, คู่แข่งค้นพบวิธีรับมือได้ง่าย, ขาดความมั่นใจจนฟอร์มตก, กดดันมากขึ้นจากอันดับที่ค่อยๆ หล่น ไปจนถึงล่าสุดคือการเสียสถิติสุดท้ายที่ตัวเองภาคภูมิใจ คือการไร้พ่ายในแอนฟิลด์ไปแล้ว
พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ มันเต็มไปด้วยเรื่องราวแปลกๆ
ไม่แน่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล ตอนนี้ มันอาจไปเกิดขึ้นกับทีมที่ฟอร์มกำลังดีๆ อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เลสเตอร์ หรือ แมนฯ ยูไนเต็ด ในช่วงใดช่วงหนึ่งก็ได้
เพราะมันทำให้เห็นกันแล้วว่า โปรแกรมยากๆ ของทีมลุ้นแชมป์ มันไม่ใช่แค่การเจอทีมระดับ บิ๊ก ซิกซ์
และคุณต้องแน่ใจว่ามีสภาพทีมที่ดีที่สุดสำหรับทุกเกมจริงๆ ถึงมั่นใจได้ว่าจะไม่แพ้
#เสียบสามเหลี่ยม #คล็อปป์ #อลีสซง #โอริกี้ #แชมเบอร์เลน #ลิเวอร์พูล #นิคโป๊ป #แอชลี่ย์บาร์นส์ #ฌอนไดช์ #เบิร์นลี่ย์ #แอนฟิลด์ #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา