23 ม.ค. 2021 เวลา 09:46 • กีฬา
การอำลา อาร์เซน่อล ของ เมซุต โอซิล เพื่อเตรียมไปเล่นให้ เฟเนร์บาห์เช่ สโมสรยักษ์ใหญ่ของตุรกีแบบไม่มีค่าตัว ถือเป็นการเดินออกจากสโมสรแบบเงียบเชียบ
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา เฟเนร์บาห์เช่ทยอยลงทั้งภาพและคลิปของโอซิล ที่เดินทางถึงอิสตันบูลแล้ว ในโซเชียลมีเดียของสโมสรทุกช่องทาง แต่ทางฝั่งทีมปืนใหญ่ยังไม่มีการโพสต์อำลานักเตะที่เคยเป็นกำลังสำคัญของทีมนานหลายปีใดๆ ทั้งสิ้น
1
บางที อาร์เซน่อล คงทำอะไรแบบนั้น ตอนที่ดีลทุกอย่างจบลงสมบูรณ์อย่างเป็นทางการซึ่งน่าจะไม่เกิน 1-2 วันนี้
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องน่าใจหายอยู่ดี ที่ฉากจบของหนึ่งในผู้เล่นที่สร้างความตื่นเต้นให้แฟนบอลมากที่สุดของสโมสร คือการโดนบีบให้ย้ายออกไปอย่างกับคนที่ไม่มีค่า
มันคือเรื่องตรงกันข้ามกับเมื่อเกือบ 8 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง…
ย้อนไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2013 ซึ่งเป็นคืนเดดไลน์ของตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ปีนั้น ข่าวที่ว่า อาร์เซน่อล ตกลงคว้าตัว เมซุต โอซิล ไปร่วมทีมด้วยราคาสถิติสโมสรถึง 42.5 ล้านปอนด์ ได้รับความสนใจไม่แพ้การย้ายไป เรอัล มาดริด ด้วยมูลค่าสถิติโลกของ แกเร็ธ เบล ซึ่งเกิดขึ้นในวันเดียวกัน
ณ เวลานั้น โอซิล คือหนึ่งในเพลย์เมกเกอร์ที่ดีที่สุดของยุโรป
เขาทำแอสซิสต์ให้ทีมราชันชุดขาวไม่น้อยกว่า 70 ลูกรวมทุกรายการ โดยเป็นผู้เล่นที่แอสซิสต์มากที่สุดของ ลา ลีกา 3 ซีซั่นติดต่อกัน จากช่วงเวลา 3 ปีที่ค้าแข้งที่สเปน แถมยังเป็นตัวหลักของทีมชาติเยอรมนีชุดแกร่งทั่วแผ่นอีกด้วย
ก่อนจะได้ตัว โอซิล ไปร่วมทีม นักเตะค่าตัวแพงที่สุดของ อาร์เซน่อล ก่อนหน้านั้นคือ อังเดร อาร์ชาวิน ที่ย้ายจาก เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ในช่วงตลาดหน้าหนาวปี 2009
ซึ่งตัวรุกทีมชาติรัสเซีย ก็ยังไม่ใช่ผู้เล่นระดับเวิลด์คลาสที่สามารถพาทีมประสบความสำเร็จแต่อย่างใด
1
แชมป์สุดท้ายที่ อาร์เซน่อล คว้ามาครองก่อนได้ตัว “เทพปรือ” ไปเสริมทัพคือถ้วย เอฟเอ คัพ ปี 2005 เท่ากับว่า เดอะ กันเนอร์ส อยู่ในช่วงเวลาร้างโทรฟี่นานกว่า 8 ปี
นั่นทำให้การเซ็นสัญญายาว 5 ปีกับ โอซิล เมื่อปี 2013 คือสิ่งที่สโมสรหวังว่าจะเรียกศรัทธาจากแฟนบอลกลับคืนมาให้ได้โดยเร็ว และจะต่อยอดความสำเร็จได้ในระยะยาว
เพียงแค่ฤดูกาลแรกที่ โอซิล มาค้าแข้งในอังกฤษ เขาช่วยให้ อาร์เซน่อล คว้าแชมป์กลับมาประดับตู้โชว์ของสโมสรได้ทันที นั่นคือ เอฟเอ คัพ ปี 2014
ส่วนผลงานในพรีเมียร์ลีกก็ไม่เลว โอซิลยิงไป 5 ประตู ทำอีก 9 แอสซิสต์ ถือว่าสอบผ่านกับการเล่นลีกแดนผู้ดีปีแรกอย่างสบายๆ ก่อนจะไปช่วยทีมชาติคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จในทัวร์นาเมนต์ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ
ในช่วงซัมเมอร์ปี 2014 อาร์เซน่อล ยังมีทิศทางที่ดีขึ้น จากการเซ็นสัญญาคว้านักเตะระดับท็อปเข้ามาเสริมอีกคนอย่าง อเล็กซิส ซานเชซ แถมได้เม็ดเงินมหาศาลจากการเปลี่ยนสปอนเซอร์ชุดแข่งจาก ไนกี้ เป็น พูม่า อีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม ด้วยผลงานแข็งแกร่งสุดๆ ของ เชลซี ที่มี โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทีมภาคสอง บวกกับฟอร์มออกทะเลของทีมปืนใหญ่ในช่วงที่ โอซิล เจ็บเข่าจนต้องพักยาว 3 เดือน ทำให้มันเป็นอีกปีที่พลพรรคปืนโตยังไม่ใกล้เคียงกับการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก
ยังดีที่ช่วงครึ่งซีซั่นหลังของฤดูกาล 2014-15 โอซิล กลับมาเป็นตัวหลักในการเดินเกมรุกอีกครั้ง ทัพ เดอะ กันเนอร์ส จึงจบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 และคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ อีกสมัย ถือว่ายังพอมีความหวังกับฤดูกาลถัดไปได้อยู่
ฤดูกาล 2015-16 คือซีซั่นที่ เมซุต โอซิล โชว์ผลงานในสีเสื้อ อาร์เซน่อล ได้ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อทำแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกได้มากถึง 19 ลูก
เจ้าตัวขาดไปแค่ 1 แอสซิสต์เท่านั้น ก็จะทาบสถิติแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีก 1 ซีซั่นมากที่สุดตลอดกาล ที่ เธียร์รี่ อองรี เคยทำไว้ 20 แอสซิสต์ในฤดูกาล 2002-03 และ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ทำได้ทีหลังกับ แมนฯ ซิตี้ ในซีซั่น 2019-20
โอซิล โดดเด่นถึงขั้นคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของสโมสร แต่น่าเสียดายที่ซีซั่นดังกล่าว เขาไม่มีแชมป์ระดับเมเจอร์รายการใดๆ ติดมือ
ถึงแม้ฤดูกาลนั้น บรรดาทีมใหญ่ๆ ทั้ง เชลซี, ลิเวอร์พูล, แมนฯ ยูไนเต็ด และ แมนฯ ซิตี้ จะทำมาตรฐานตกลงไปเยอะ แต่ อาร์เซน่อล ก็ยังไม่ดีพอที่จะเป็นแชมป์ลีก เพราะยังมี เลสเตอร์ ซิตี้ โผล่ขึ้นมาเป็นม้ามืดซิวแชมป์ไปแบบช็อคโลก
แม้ทีมจะกลับมาคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้อีกครั้งในฤดูกาล 2016-17 แต่การหลุดอันดับท็อปโฟร์เป็นครั้งแรกในยุคที่ อาร์แซน เวนเกอร์ คุมทีม และไม่มีพัฒนาการในเวทียุโรป นั่นจึงนำมาสู่สถานการณ์ที่แย่ลงเรื่อยๆ ของสตาร์ทีมชาติเยอรมนี
การไม่ได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้สตาร์เด่นประจำทีมอย่าง อเล็กซิส ซานเชซ ตัดสินใจชัดเจนว่าเตรียมหาต้นสังกัดใหม่ เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลสุดท้ายของสัญญา
ขณะที่ตัว เมซุต โอซิล เองก็สองจิตสองใจ ว่าจะเอายังไงดีกับทีมที่อนาคตดูมืดมน
แน่นอนว่าทางเดียวที่จะทำให้ อาร์เซน่อล เหนี่ยวรั้ง โอซิล เอาไว้ได้ คือการต้องยอมทุบเพดานค่าเหนื่อยสโมสร เพื่อมอบสัญญาใหม่ที่ข้อเสนอดีพอสำหรับมิดฟิลด์ตัวเก่งเท่านั้น
ในเดือนมกราคม 2018 ทีมปืนใหญ่จำยอมต้องปล่อยตัว อเล็กซิส ไปเล่นให้คู่ปรับสำคัญอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยแลกตัวกับ เฮนริค มคิทาร์ยาน ที่ฝั่งผีแดงไม่อยากใช้งานอีกแล้ว
นั่นไม่ใช่ดีลที่น่าพอใจนักสำหรับ เดอะ กันเนอร์ส แต่มันจะทำยังไงได้ ในเมื่อดาวดังทีมชาติชิลีพร้อมชิ่งหนีในช่วงซัมเมอร์แบบฟรีๆ อยู่ดี
การย้ายออกไปของ อเล็กซิส ยิ่งทำให้ โอซิล เป็นฝ่ายได้เปรียบในการเรียกค่าเหนื่อยจากสโมสรให้แพงขึ้นกว่าเดิม โดยสัญญาเดิมที่เซ็นกับนักเตะไว้ตอนซื้อจาก เรอัล มาดริด จะหมดลงในช่วงซัมเมอร์ 2018 เช่นกัน
1
ถ้า อาร์เซน่อล เสียกำลังสำคัญออกไปพร้อมกัน 2 คน บรรยากาศจากแฟนบอลรอบนอก เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม คงต้องลุกเป็นไฟแน่
นี่คือความผิดพลาดใหญ่หลวงของสโมสร ที่ไม่รีบเจรจาต่อสัญญา 2 แข้งหลักตั้งแต่ช่วงที่สถานการณ์ในทีมดีกว่านี้
สุดท้ายวันที่ 31 มกราคม 2018 ทีมปืนใหญ่ก็ประกาศว่าได้ต่อสัญญากับ เมซุต โอซิล ยาวจนถึงปี 2021 ในวันเดียวกับที่คว้าตัว ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง จาก ดอร์ทมุนด์ เข้ามาเป็นความหวังใหม่ในแนวรุกแทน ด้วยราคาสถิติใหม่สโมสรถึง 56 ล้านปอนด์
ค่าเหนื่อยในสัญญาใหม่ของ โอซิล สูงถึงสัปดาห์ละ 350,000 ปอนด์ก่อนหักภาษี ซึ่งในประวัติศาสตร์ของอาร์เซน่อล ทีมไม่เคยจ้างนักเตะคนไหนแพงเท่านี้มาก่อนเลย
การยอมทุ่มเงินมหาศาลเพื่อต่อสัญญาใหม่กับ เมซุต โอซิล กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีฝ่ายไหนได้ประโยชน์
ผู้บริหารระดับสูงของ อาร์เซน่อล ที่มีส่วนสำคัญกับการเจรจาครั้งนั้น อำลาทีมกันทั้งหมดหลังจากต่อสัญญากับ โอซิล ภายในอีกไม่กี่เดือนถัดมา
ดิ๊ค ลอว์ หัวหน้าฝ่ายซื้อขายและการเจรจา ลงจากตำแหน่งในเดือนกันยายน 2018 ขณะที่อดีตซีอีโออย่าง อิวาน กาซิดิส ก็โยกไปรับงานใหม่ที่ เอซี มิลาน
และที่สำคัญที่สุด… การปรับโครงสร้างสโมสรใหม่ของอาร์เซน่อล บวกกับกระแสต่อต้านจากแฟนบอลที่เรียกร้องแคมเปญ “ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว” ทำให้กุนซือที่คุมทีมมานานถึง 22 ปีอย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ ถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม
ส่วนตัวของ โอซิล เอง หลังจากได้ค่าจ้างมหาศาลสมใจ เขาก็ไม่ใช่ผู้เล่นที่ดีคนเดิมอีกเลย
ในเดือนพฤษภาคม 2018 เมซุต โอซิล ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากชาวเยอรมัน เมื่อเขาไปถ่ายภาพร่วมกับ เรเซป ทายยิป เออร์โดกัน ประธานาธิบดีของตุรกีที่ไปเยือนกรุงลอนดอน
1
อันที่จริง นอกจาก โอซิล แล้ว ยังมีนักเตะสายเลือดตุรกีที่เล่นในพรีเมียร์ลีกไปร่วมชักภาพด้วยอีก 2 คน คือ อิลคาย กุนโดกัน มิดฟิลด์เพื่อนร่วมทีมอินทรีเหล็กของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชงค์ โตซุน ดาวยิงทีมชาติตุรกีของ เอฟเวอร์ตัน
ในช่วงเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับเยอรมนี ถือว่ามีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง นั่นทำให้สมาคมฟุตบอลเยอรมัน (เดเอฟเบ) ต้องเรียกตัว กุนโดกัน กับ โอซิล เข้าไปชี้แจงเรื่องภาพถ่ายนั้น
การไปถ่ายรูปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มคู่กับผู้นำของชาติที่มีความขัดแย้งกับประเทศ มันไม่ใช่เรื่องเหมาะสมในสายตาชาวเยอรมันแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ชาติต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับประชาชนที่เป็นแฟนบอล ก่อนสู้ศึกฟุตบอลโลกที่รัสเซีย
ทั้ง กุนโดกัน กับ โอซิล ต่างยืนยันว่าภาพถ่ายดังกล่าว ไม่ได้มีเรื่องของการเลือกข้างทางการเมือง
1
แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ ทาง กุนโดกัน ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าตัวเขาภูมิใจกับการถือสัญชาติเยอรมัน 100% ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่ม ในขณะที่ โอซิล ไม่ได้ชี้แจงใดๆ ต่อสาธารณชนเลย
สุดท้ายพอทีมอินทรีเหล็กร่วงตกรอบแรก เวิลด์ คัพ 2018 คนที่โดนแฟนบอลเยอรมันโจมตี และเหยียดเชื้อชาติมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้น โอซิล ในขณะที่ กุนโดกัน ไม่เจอปัญหาหนักเท่านี้
นั่นจึงนำมาสู่การประกาศเลิกเล่นทีมชาติของ โอซิล โดยกล่าวโจมตีผู้คนที่เหยียดเขา รวมถึงประธานเดเอฟเบอย่าง ไรน์ฮาร์ด กรินเดล ที่ไม่ปกป้องตนมากพอ ก่อนที่เส้นทางของเขากับสมาคมฟุตบอลเยอรมนี จะกลายเป็นเส้นขนานอย่างถาวร
ในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 เมซุต โอซิล เข้าพิธีแต่งงานกับ อามิน กุลเซ่ อดีตมิสตุรกี โดยมีประธานาธิบดีของตุรกีอย่าง เออร์โดกัน เป็น “เพื่อนเจ้าบ่าว” นั่นยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของ โอซิล ในสายตาชาวเยอรมันยิ่งแย่ลงไปอีก
และถ้าจำกันได้ดี ในช่วงปรีซีซั่นก่อนเปิดฤดูกาล 2019-20 โอซิล ยังต้อง “ขวัญเสีย” จากการโดนโจรปล้นรถในกรุงลอนดอน ซึ่งคนร้ายมีมีดเป็นอาวุธ
ยังดีที่ เซอัด โคลาซินัช กองหลังทีมชาติบอสเนียฯ เพื่อนร่วมทีมปืนใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ โชว์ความเป็นคนจริงช่วยไล่โจรไปได้ ทำให้กองกลางตาปรือรอดพ้นอันตราย
แต่สมาธิในการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม ส่งผลมาถึงฟอร์มของ โอซิล ในสนามด้วย
เมซุต โอซิล โชว์ฟอร์มในสนามต่ำกว่ามาตรฐานตั้งแต่ฤดูกาล 2018-19 ที่ อูไน เอเมรี่ มาเป็นกุนซือปีแรกแล้ว
เขาทำแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกซีซั่นดังกล่าวแค่ 2 ลูก น้อยที่สุดตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อปี 2013 แม้จะยิงได้ 5 ประตู แต่ก็ถือว่าฟอร์มการเล่นยังไม่คุ้มค่าจ้างระดับแพงที่สุดในทีม
การที่ อาร์เซน่อล ต่อสัญญากับ โอซิล นอกจากให้นักเตะกลับมามีสมาธิในการเล่นฟุตบอลแล้ว ยังคาดหวังให้เขาใช้ความเป็นหนึ่งในผู้เล่นอาวุโสมากที่สุด ช่วยเป็นผู้นำนักเตะในห้องแต่งตัวด้วย
แต่ดูเหมือนว่า “เทพปรือ” ไม่เคยทำหน้าที่นั้นได้ดีพอเลยอย่างสิ้นเชิง
ในเกมรอบชิงชนะเลิศ ยูโรปา ลีก ปี 2019 ที่ อาร์เซน่อล แพ้ เชลซี ย่อยยับ 1-4 ที่บากู โอซิลถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 77 ให้ดาวรุ่งอย่าง โจ วิลล็อค ลงเล่นแทน
ตอนที่อดีตดาวเตะดีกรีแชมป์โลกเดินออกจากสนาม เขาระเบิดอารมณ์ไม่พอใจ ด้วยการไปพูดใส่หน้า อูไน เอเมรี่ ว่า “แกไม่ใช่โค้ชของฉัน”
เอเมรี่ เคยให้สัมภาษณ์กับ เดลี่ เมล เมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน โดยเล่าให้ฟังถึงความผิดหวังในเกมนัดชิง ยูโรปา ลีก ครั้งนั้นว่า “เราเดินทางกลับลอนดอนตอน 8 โมงเช้าวันถัดมา และผมกลับบ้านไปนอนพัก 3 ชั่วโมงแล้วจึงกลับไปที่ โคลนี่ย์ (ศูนย์ฝึกซ้อมของอาร์เซน่อล)”
“ในวันนั้นผมเรียกนักเตะทุกคนมาประชุม พูดคุยตัวต่อตัวกับทุกคน คนละครึ่งชั่วโมง แต่มีแค่ โอซิล คนเดียวที่ไม่มา และผมก็ไม่รู้ว่าทำไม”
ถึงแม้วันแรกของการเตรียมตัวปรีซีซั่นก่อนเริ่มฤดูกาลใหม่ (2019-20) โอซิลจะเดินทางมาซ้อม และพูดคุยกับ เอเมรี่ ตามปกติ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ก่อนที่ อูไน เอเมรี่ จะโดน อาร์เซน่อล ปลดออกจากตำแหน่งเฮดโค้ชในเดือนพฤศจิกายน 2019 เขาส่ง โอซิล ลงสนามในพรีเมียร์ลีกเพียงแค่ 4 นัดจากทั้งหมด 13 เกม
กว่าที่กุนซือชาวสแปนิชจะเรียก โอซิล กลับมาใช้งานในทีมจริงๆ จังๆ คือช่วง 3 เกมสุดท้ายก่อนโดนไล่ออก ตอนที่ทีมฟอร์มกู่ไม่กลับแล้ว
หลังจากที่ทีมปืนใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงกุนซือ โดยแต่งตั้ง มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาคุมทีมในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2019 อดีตสตาร์ดังราชันชุดขาว ก็ได้กลับมาเป็นตัวหลักในทีมอีกครั้ง
ในช่วงแรกๆ ที่ อาร์เตต้า มาคุมทีม เขาส่งจอมทัพเจ้าของเสื้อเบอร์ 10 ลงตัวจริงในพรีเมียร์ลีกทุกนัด แม้ผลงานจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ถือว่ายังเป็นตัวหลักของทีม
จนกระทั่งวิกฤติโคโรน่าไวรัสทำให้ทั่วโลกต่างประสบปัญหาอย่างหนัก และเกมลูกหนังต้องหยุดยาวไปนานหลายเดือนนั่นแหละ ที่เรื่องราวนอกสนามทำให้ โอซิล ไม่ได้กลับมาลงสนามให้ อาร์เซน่อล อีกเลย
อันที่จริง ก่อนที่ อาร์เซน่อล จะประกาศแต่งตั้ง มิเกล อาร์เตต้า มาเป็นโค้ชคนใหม่อย่างเป็นทางการไม่กี่วัน เมซุต โอซิล ได้ไปก่อความเสียหายอย่างหนักให้กับสโมสรเอาไว้
วันที่ 13 ธันวาคม 2019 เมซุต โอซิล โพสต์ข้อความประณามประเทศจีน ที่ปฏิบัติกับชาวมุสลิมอย่างเลวร้าย เป็นภาษาตุรกีลงบนอินสตาแกรม และทวิตเตอร์ของตัวเอง โดยมีภาพพื้นหลังเป็นธงเตอร์กิสถานตะวันออก
ในช่วงเวลานั้น จีนมีปัญหาอย่างหนักกับชาติพันธุ์อุยกูร์ ที่พยายามต่อสู้เพื่อแยกเขตปกครองตนเองซินเจียงที่พวกเขาอาศัยอยู่ออกไปเป็นประเทศใหม่
แน่นอนว่าการที่ โอซิล โพสต์ข้อความแบบนั้น แล้วมีชาวมุสลิมแชร์กันออกไปทั่วโลก ทำให้จีนต้องทำการ “แบน” สตาร์ดังทีมปืนใหญ่อย่างจริงจังทันที
เขาถูกถอดออกจากเกม PES 2020 เวอร์ชั่นจีน ขณะที่สถานีโทรทัศน์ CCTV ก็ยกเลิกการถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก เกมที่ อาร์เซน่อล แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คาบ้าน 0-3 แล้วเอาเทปการแข่งขันคู่ระหว่าง วูล์ฟส์ แพ้ สเปอร์ส 1-2 มาเปิดให้แฟนบอลแดนมังกรดูแทน
โอซิล คือคนที่มีจุดยืนเรื่องการแสดงออกทางการเมืองที่แข็งกร้าว เขาไม่ยอมลบโพสต์ดังกล่าวทิ้งออกจากโซเชียลมีเดียของตัวเอง
ทุกคนย่อมมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น มีสิทธิ์ที่จะประกาศจุดยืนแบบไหนก็ได้ แต่เรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าทัศนคติส่วนตัว เพราะมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มูลค่ามหาศาล
1
จีนคือตลาดการถ่ายทอดสด และขายสินค้าลิขสิทธิ์ของสโมสรที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย อาร์เซน่อล จึงต้องรีบออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมาว่า “เนื้อหาที่ถูกนำเสนอออกไปนั้น คือมุมมองส่วนตัวของโอซิล ซึ่งในฐานะสโมสรฟุตบอลแล้ว อาร์เซน่อลยึดมั่นในหลักการไม่เอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับการเมืองมาโดยตลอด”
การปฏิบัติต่อ โอซิล ของอาร์เซน่อล จึงแตกต่างจากที่เคยทำกับ เอคตอร์ เบเยริน แบ็กขวาชาวสแปนิช ที่เคยทวีตข้อความโจมตี บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษอย่างรุนแรงในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เพราะเคสของ เบเยริน คือการใช้สิทธิวิจารณ์เรื่องการเมือง โดยไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับใคร
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว โอซิล ยังคงลงแข่งให้ทีมตามปกติ แต่พอสโมสรเจอวิกฤติการเงินจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ทุกทีมต้องขาดรายได้จากเกมการแข่งขัน เพราะไม่มีแฟนบอลเข้าสนาม และไม่สามารถขายสินค้าให้ได้ยอดเท่าเดิม อาร์เซน่อล จึงย่อมไม่ลืมความเสียหายในการไปเปิดตลาดที่จีน จากการกระทำนอกสนามของผู้เล่นทีมตัวเอง
เท่านั้นไม่พอ ในช่วงล็อคดาวน์ ตัวของ โอซิล ยังปฏิเสธที่จะให้สโมสรหักค่าจ้างเป็นเงิน 12.5% ของค่าเหนื่อยอีกต่างหาก เพราะไม่มั่นใจว่าบอร์ดบริหารจะนำเงินที่ได้จากการลดค่าจ้างนักเตะไปช่วยเหลือสังคม หรือจ่ายให้พนักงานส่วนอื่นๆ ที่รายได้น้อยจริงหรือไม่
อันที่จริง เมซุต โอซิล คือนักเตะใจบุญที่ทำอะไรเพื่อสังคมมากนะครับ เขาไม่ใช่คนที่ขี้เหนียวขนาดไม่ยอมลดรายได้มหาศาลเพื่อส่วนรวมหรอก
ในปี 2014 เขานำเงินโบนัสที่ได้จากการพาทีมชาติเยอรมนีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ไปช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยเด็กในบราซิล เป็นมูลค่าเกือบ 250,000 ปอนด์
เขาเคยออกเงินช่วยเด็กๆ ทั่วโลกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด
เขาเคยสงเคราะห์อาหารให้กับคนไร้บ้าน 100,000 คน ที่ต้องอาศัยอยู่ในค่ายลี้ภัยในประเทศที่เกิดสงครามอย่างตุรกี และซีเรีย
นอกจากนั้นแล้ว โอซิล ก็ยังทำงานให้มูลนิธิเพื่อเด็กที่ชื่อว่า Rays of Sunshine
แต่ประเด็นก็คือ เจ้าตัวเคยก่อวีรกรรมจนทำให้สโมสรเสียหายมาก่อนแล้ว การออกมาแสดงท่าทีอยู่ฝั่งตรงข้ามนโยบายขององค์กร ทั้งที่ตัวเองได้รับค่าจ้างแพงกว่าใครเพื่อน มันจึงเป็นเรื่องไม่เหมาะสม หากมองในมุมของนายจ้างผู้จ่ายเงินให้ทุกสัปดาห์
ในช่วงปลายปี 2020 ที่ผ่านมา อาร์เซน่อลประกาศเลิกจ้าง เจอร์รี่ คีย์ ชายผู้สวมชุด “กันเนอร์ซอรัส” มาตั้งแต่ปี 1993 เพื่อลดรายจ่ายของสโมสรลง เพราะมองว่าช่วงที่แฟนบอลยังเข้าสนามไม่ได้อีกนาน การจ้างมาสคอตไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย
แต่ โอซิล กลับประกาศว่าเขาพร้อมจ่ายเงินค่าจ้าง เจอร์รี่ คีย์ ให้ด้วยตัวเอง ทำให้สโมสรดูมีภาพลักษณ์แย่ๆ ว่าเป็นทีมขี้เหนียว และกลายเป็นตัวตลกในสายตาชาวโลก
สุดท้าย อาร์เซน่อล ก็ทนกระแสสังคมไม่ไหว ต้องยอมจ้างมาสคอตต่อในที่สุด และความสัมพันธ์กับ เมซุต โอซิล ยิ่งแตกหักหนักขึ้นไปอีก
มิเกล อาร์เตต้า อาจจะบอกว่าเหตุผลที่ไม่ใส่ชื่อ เมซุต โอซิล ไว้ในทีมชุดสู้ศึกทั้งพรีเมียร์ลีก และ ยูโรปา ลีก เป็นเรื่องของฟุตบอลล้วนๆ
แต่ถ้าว่ากันตามตรง ฝีเท้าระดับเขา มันไม่มีทางแย่ขนาดไม่มีชื่อติดโผ 25 คนของขุมกำลังที่จะลงทะเบียนแน่ๆ
ผมมั่นใจเลยว่า ถ้า โอซิล ไม่ทำตัวเป็นปัญหากับองค์กร ป่านนี้เขาน่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงต่อเนื่องในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก ก่อนหน้าดาวรุ่งอย่าง เอมิล สมิธ โรว์ ด้วยซ้ำ
และเราก็คงไม่เห็นข่าวที่ว่าทีมปืนใหญ่กำลังพยายามคว้าตัว มาร์ติน โอเดการ์ด มาจาก เรอัล มาดริด
สำหรับเหตุผลที่การเซ็นสัญญาย้ายไปเล่นให้ เฟเนร์บาห์เช่ เป็นไปอย่างล่าช้า คือเรื่องของกฎการกักตัวก่อนเดินทางข้ามประเทศ ในสถานการณ์ที่เชื้อโคโรน่าไวรัสยังระบาดไปทั่วโลก
1
อีกเรื่องสำคัญก็คือค่าเหนื่อยมหาศาลของตัวนักเตะเอง ทำให้การยกเลิกสัญญากับ อาร์เซน่อล โดยเร็วตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมามันทำได้ยาก
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเอเยนต์ของ โอซิล ถึงยื้อให้นักเตะฟันค่าเหนื่อยมหาศาลมานานนับปี แล้วค่อยมาตกลงยกเลิกสัญญากันเอาช่วงนี้ทีหลัง
มิเกล อาร์เตต้า เพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์เตือนสโมสรว่า อาร์เซน่อล ต้องไม่ปล่อยให้ความผิดพลาดที่ทำให้สโมสรเสียหายแบบนี้เกิดขึ้นกับนักเตะคนไหนอีก
“คุณไม่ต้องการตกอยู่ในสถานการณ์นี้อีกครั้งแน่ ทั้งในฐานะนักเตะและสโมสร”
“แต่มันกำลังเกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ กับทุกสโมสร และสถานการณ์ทำนองนี้ คุณเห็นได้ที่สโมสรอื่นด้วยเหมือนกัน”
“ผมคิดว่าคุณต้องเปิดโอกาสของการสื่อสาร ชัดเจนว่าเพื่อเป็นการป้องกันเรื่องนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเมื่อมันเกิดขึ้น จงตัดสินใจและอย่าพยายามชะลอสถานการณ์ที่มันไม่เวิร์คให้นานไปกว่านั้น”
“บางครั้งมันเป็นเรื่องยาก เพราะสัญญามันใกล้จะหมดลงจริงๆ และคุณต้องเคารพพวกเขาในขณะที่เซ็นสัญญากัน และวันหนึ่งมันจะเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นว่าสิ่งต่างๆ ดำเนินไปอย่างไรในช่วงเวลาแค่ 6 เดือน”
“บางครั้งมันเป็นไปไม่ได้ ที่จะมองออกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลา 3 ปี เราพยายามที่จะแก้ปัญหาให้เร็วกว่านี้ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ เราพยายามและหลีกเลี่ยงสิ่งที่เราเจอ แต่บางครั้งมันก็เป็นไปไม่ได้”
ล่าสุด เมซุต โอซิล เดินทางถึงกรุงอิสตันบูลเรียบร้อยแล้ว และเกมแรกที่เขาจะได้ลงสนามให้ต้นสังกัดใหม่อย่างเป็นทางการ น่าจะได้หวดกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เมื่อวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา เจ้าตัวทวีตข้อความลงบนทวิตเตอร์ของตัวเองเอาไว้ โดยยืนยันว่า เฟเนร์บาห์เช่ คือทีมในดวงใจของเขามาตั้งแต่ยังเด็ก
“ผมเติบโตมาในฐานะแฟนบอลของเฟเนร์บาห์เช่ ตอนที่ยังเป็นเด็กในเยอรมนี ชาวเยอรมัน-เตอร์กิชทุกคน ต่างเชียร์สโมสรของตุรกีตอนที่เติบโตมาในเยอรมนีทั้งนั้น”
“และสำหรับผมแล้วมันคือเฟเนร์บาห์เช่ เฟเนร์บาห์เช่ ก็เหมือนกับ เรอัล มาดริด ที่สเปน นั่นคือเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ”
เมซุต โอซิล คือผู้เล่นที่ยอดเยี่ยม เขายืนยันว่าตัวเองไม่เคยเสียใจที่ย้ายมาอยู่กับ อาร์เซน่อล และผลงานที่ผ่านมา ก็ทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนบอล เดอะ กันเนอร์ส มาตลอด
แต่หากมองในมุมของสโมสร มันเต็มไปด้วยปัญหามากมายตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้การแยกทาง คือเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
...การกล่าวอำลา และอวยพรให้ตัวเขาโชคดีกับทีมใหม่ โดยเก็บแต่ช่วงเวลาดีๆ ไว้ในความทรงจำตลอดไป จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
#เสียบสามเหลี่ยม #โอซิล #อาร์เซน่อล #อาร์เตต้า #เฟเนร์บาห์เช่ #ตุรกี #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา