27 ม.ค. 2021 เวลา 10:30 • กีฬา
ทุกคนคงรู้ดีว่าว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นทีมระดับมหาอำนาจของพรีเมียร์ลีกอย่างเช่นทุกวันนี้ คือการได้กลุ่มทุนจากราชวงศ์อาบูดาบีที่นำโดย ชีค มันซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรต่อจาก ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2008
ด้วยงบประมาณที่เรียกได้ว่าอัดฉีดไม่อั้นจากตะวันออกกลาง ทำให้ทีมเรือใบสีฟ้าค่อยๆ มีขุมกำลังที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ ก่อนประสบความเร็จอย่างล้นหลามในการแข่งขันทุกรายการของอังกฤษ
นักเตะอย่าง ยาย่า ตูเร่, ดาบิด ซิลบา และ เซร์คิโอ อเกวโร่ คือกำลังสำคัญของทีมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ขณะที่แกนหลักชุดปัจจุบันอย่าง เควิน เดอ บรอยน์, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, เอแดร์ซอน โมราเอส, ไคล์ วอล์คเกอร์ มาจนถึง รูเบน ดิอาส ล้วนย้ายทีมเข้ามาด้วยค่าตัวมหาศาลทั้งหมด
แต่ถ้าจะถามว่านักเตะคนไหนที่เป็นการเซ็นสัญญาที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของ แมนฯ ซิตี้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนหรือหลังกลุ่มทุนจากอาบูดาบีเข้ามาเป็นเจ้าของทีม แน่นอนว่าคำตอบไม่มีทางเป็นอื่น นอกไปจากชื่อของ แว็งซ็องต์ กอมปานี
กอมปานี เซ็นสัญญาย้ายจาก ฮัมบูร์ก ไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2008 หรือ 10 วันก่อนที่ทีมเรือใบสีฟ้าจะได้มหาเศรษฐีจากยูเออีเข้ามาเป็นเจ้าของทีมคนใหม่ ด้วยค่าตัวไม่เปิดเผย แต่สื่ออังกฤษเชื่อกันว่าราคาอยู่ที่ราวๆ 6 ล้านปอนด์
ก่อนที่ แมนฯ ซิตี้ จะได้ตัวเขาไปร่วมทีม หรือแม้แต่ซีซั่นแรกที่เขาย้ายไปเล่นที่อังกฤษ สโมสรไม่เคยจบฤดูกาลสูงกว่าอันดับ 8 ของพรีเมียร์ลีก และไม่มีแชมป์ระดับเมเจอร์ใดๆ ติดมือนับตั้งแต่คว้าแชมป์ ลีก คัพ ได้เมื่อปี 1976
แต่เกียรติประวัติที่ กอมปานี คว้ามาครอง ตลอดช่วงเวลา 11 ปีที่เล่นในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม เขามีแชมป์พรีเมียร์ลีกติดตัวถึง 4 สมัย, เอฟเอ คัพ อีก 2 ครั้ง, ลีก คัพ อีก 4 หน แถมยังเคยชูโล่ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ในปี 2012 และ 2018 รวมแล้วเป็นความสำเร็จถึง 12 รายการ
อย่างไรก็ตาม เส้นทางก่อนที่อดีตปราการหลังจอมแกร่งทีมชาติเบลเยียมจะประสบความสำเร็จ กลายเป็นสุดยอดกัปตันทีมที่ดีที่สุดเท่าที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยมีมา มันไม่ใช่เส้นทางที่ปูด้วยพรมแดง แต่มันเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ตั้งแต่เขายังเด็กเลยทีเดียว
เด็กชายที่มีชื่อเต็มว่า แว็งซ็องต์ ฌอง เอ็มพัว กอมปานี ลืมตาดูโลกที่อุกล์ เมืองเทศบาลเล็กๆ ในกรุงบรัสเซลส์ นครหลวงของประเทศเบลเยียม เมื่อวันที่ 10 เมษายน 1986
เขาเป็นลูกชายของ ปิแอร์ กอมปานี คุณพ่อชาวคองโก กับ โชเซลีน ฟราแซลล์ สตรีผิวขาวชาวเบลเยียมแท้ๆ ที่ย้ายจากชนบทไปหางานทำในเมือง ซึ่ง ปิแอร์ กับ โชเซลีน ได้พบรักกันที่กรุงบรัสเซลส์ในช่วงต้นยุค 80
มีเรื่องเล่าที่น่าประทับใจเกี่ยวกับชีวิตของ ปิแอร์ กอมปานี ซึ่งเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของอดีตปราการหลังกัปตันทีม แมนฯ ซิตี้ เพราะเขาคือชายนักสู้ชีวิตตัวจริงเสียงจริง
ปิแอร์ เป็นนักศึกษาผู้ต่อต้านเผด็จการในคองโกจนถูกรัฐบาลหมายหัวดำเนินคดี ทำให้ในปี 1975 เขาต้องหาทางลี้ภัยการเมือง โดยขอให้คุณหมอที่รู้จักกันช่วยเขียนใบรับรองแพทย์ว่าเป็นโรคร้ายที่จำเป็นต้องเดินทางไปรักษาที่ยุโรป นั่นทำให้เขาได้ไปใช้ชีวิตที่เบลเยียม และสร้างครอบครัวที่นั่นในเวลาต่อมา
ในช่วงที่ปิแอร์อพยพไปอยู่ที่เบลเยียมใหม่ๆ เขาทำงานหนักถึงขั้นรับจ๊อบขับแท็กซี่ตอนกลางคืนเพื่อหารายได้เสริม สำหรับเป็นทุนการศึกษาเรียนระดับปริญญาด้านวิศวกรรม
ซึ่งการศึกษาระดับสูง มันกลายเป็นใบเบิกทางให้คุณพ่อของกอมปานีมีโอกาสได้เป็นนักการเมืองในเวลาต่อมา
ปัจจุบัน ปิแอร์ กอมปานี ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีในเขตเทศบาลหนึ่งของกรุงบรัสเซลส์ ถือเป็นชายอพยพผิวดำคนแรกในประเทศเบลเยียมที่มาไกลถึงตำแหน่งนี้ได้
ส่วน โชเซลีน คุณแม่ของ แว็งซ็องต์ กอมปานี เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี 2008 ด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งคุณพ่อกับคุณแม่ของ กอมปานี แยกทางกันตั้งแต่ตอนที่ แว็งซ็องต์ อายุแค่ 14 ปี
นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกเราว่า ตลอดชีวิตของ กอมปานี มันเต็มไปด้วยการต่อสู้กับช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เขาผ่านมันมาได้ด้วยสายเลือดนักสู้ที่ได้รับจากคุณพ่อมาเต็มๆ
สำหรับครอบครัวที่อพยพมาจากแอฟริกาไปใช้ชีวิตที่ยุโรป มันคงมีเพียงไม่กี่อาชีพที่ทำให้พวกเขาหลุดพ้นคำดูถูกได้ และหนึ่งในนั้นคือนักฟุตบอล
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้พ่อแม่ของ แว็งซ็องต์ กอมปานี ผลักดันให้เขาเอาดีกับการเป็นนักเตะอาชีพ โดยส่งเข้าไปฝึกฝนกับทีมเยาวชนของ อันเดอร์เลชท์ สโมสรที่ใหญ่ที่สุดของเบลเยียม ตั้งแต่ตอนที่ แว็งซ็องต์ อายุเพียง 6 ปี
กอมปานี เผยในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองเอาไว้ว่า ในช่วงวัยเด็กเขาเคยถูกเหยียดหยามสารพัด ไม่ว่าจะเป็นการเหยียดผิวหรือเชื้อชาติ
“ทีมของเรามีนักเตะหลายคนที่มีพื้นเพเป็นชาวแอฟริกัน, ตุรกี และอิตาเลียน เมื่อใดก็ตามที่พวกเราออกไปแข่งนอกกรุงบรัสเซลส์ เราต้องเจอกับคำพูดหมาๆ จากผู้ปกครองของฝ่ายตรงข้าม”
“เด็กอายุแค่ 11-12 ปีต้องโดนเรียกว่า “ไอ้นิโกรสกปรก” พวกเขายังล้อเราว่าพวกเด็กแอฟริกาน่าจะแก่กว่าอายุที่โชว์ในพาสปอร์ต โดยที่ผู้ตัดสินไม่ทำอะไรเลย ซึ่งการโดนเหยียดผิวและความไม่เท่าเทียม มันทำให้ผมกลายเป็นกบฏ”
เท่านั้นไม่พอ กอมปานียังเคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน เพราะไปชกต่อยกับเด็กผิวขาวที่พูดจาดูหมิ่นเขามาแล้ว
ด้วยสายเลือดนักสู้ที่ไม่แพ้ใคร ทำให้สุดท้าย แว็งซ็องต์ กอมปานี ค่อยๆ พิสูจน์ตัวเองจนก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของ อันเดอร์เลชท์ ได้ตั้งแต่อายุแค่ 17 ปี
ทว่าก่อนจะกลายเป็นนักเตะอาชีพสมใจ เขาต้องเจอกับปัญหามากมายในช่วงวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นการต้องเข้ารับการผ่าตัดเข่าตั้งแต่ช่วงวัยทีนเอจ, การไม่ถูกกับโค้ชทีมเยาวชน แถมต้องมาเจอเหตุการณ์พ่อแม่แยกทางกันตอนที่เขาอายุแค่ 14 ปี
“ผมเคยเลิกเตะฟุตบอลนาน 2 สัปดาห์ที่อันเดอร์เลชท์ ผมเล่นได้ดีในทีมเยาวชนของพวกเขา แต่ไม่ได้โอกาสเลื่อนขึ้นทีมชุดใหญ่เสียที”
“มันต้องเจอกับเรื่องเดิมๆ เสมอ พวกเขาชื่นชอบนักเตะที่เซ็นสัญญาเข้าสู่ทีมเยาวชนมาเองมากกว่า และผมพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้”
“พ่อของผมเคยตกงาน ผมเคยโดนไล่ออกจากโรงเรียนและเคยซ้ำชั้น และเคยเสียตำแหน่งในทีมชาติเบลเยียมชุดเยาวชนไป”
“ผมมีปัญหากับครูและบรรดาโค้ช ผมเคยต้องออกไปเตร็ดเตร่บนถนน และมีเพื่อนเป็นเด็กเกเร”
2
“พ่อแม่ของผมแยกทางกันตอนที่ผมอายุ 14 ผมไม่เข้าใจเหตุผลและมันทำให้ผมเจ็บปวดมาก โชคดีที่ผมรู้จักเด็กคนอื่นๆ ที่พ่อแม่หย่าร้างกันอยู่บ้าง ทำให้ผมไม่รู้สึกโดดเดี่ยว และผมหลบทุกข์ด้วยการไปเล่นฟุตบอล”
สุดท้ายแล้ว แว็งซ็องต์ กอมปานี ก็ไม่หลงผิด และตั้งใจเอาดีกับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพจนได้ในที่สุด
ในฤดูกาล 2003-04 ที่ กอมปานี ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของอันเดอร์เลชท์ได้เป็นปีแรก เขาคือกำลังสำคัญของทีมทันทีด้วยวัยแค่ 17 ปี
กอมปานี ลงสนามรวมทุกรายการถึง 44 นัด ยิงได้ 2 ประตู และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ในซีซั่นนั้น
ความมหัศจรรย์มันไม่ใช่แค่เป็นสมาชิกของทีมชุดแชมป์เฉยๆ แต่เขายังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของลีกสูงสุดเบลเยียมประจำฤดูกาล 2003-04 และดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีได้อีกต่างหาก
นั่นทำให้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2004 แว็งซ็องต์ กอมปานี มีชื่อติดทีมชาติชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว โดยได้ลงสนามเต็ม 90 นาทีในเกมอุ่นเครื่องแพ้ ฝรั่งเศส คาบ้าน 0-2
ด้วยผลงานระดับนั้น แน่นอนว่าชื่อของ กอมปานี ย่อมตกเป็นเป้าหมายของหลายทีมดังทั่วยุโรป แต่เจ้าตัวในวัยทีนเอจยังไม่รีบย้ายไปไหน โดยขออยู่ช่วย อันเดอร์เลชท์ ต่อไปก่อน
ในฤดูกาล 2004-05 ถึงแม้ต้นสังกัดจะพลาดแชมป์ลีกสูงสุด แต่ กอมปานี ยังคว้ารางวัลส่วนตัวได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมประจำซีซั่น ควบด้วยรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
แต่ซีซั่น 2005-06 กลับเป็นสถานการณ์ที่ตรงข้ามกัน เพราะ อันเดอร์เลชท์ สามารถทวงแชมป์ลีกคืนมาได้ แต่ กอมปานี กลับโชคร้ายได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาวตลอด 4 เดือนสุดท้ายของฤดูกาล
เจ้าตัวเคยเผยว่า การที่ตนเองต้องลงกรำศึกหนักรวมทุกรายการมากกว่า 100 นัดในช่วงระยะเวลา 2 ปีเศษให้อันเดอร์เลชท์ ทั้งที่อายุยังไม่ทันครบ 20 ปี มันคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้สภาพร่างกายของเขาฟื้นตัวได้อย่างยากลำบาก
และนั่นทำให้ในเวลาต่อมา เขาต้องเจอปัญหาอาการบาดเจ็บบ่อยครั้งตลอดเส้นทางค้าแข้ง
ในช่วงซัมเมอร์ปี 2006 แว็งซ็องต์ กอมปานี ที่ยังมีสถานะเป็นสุดยอดกองหลังดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดของยุโรป ได้เซ็นสัญญาย้ายไปเล่นในบุนเดสลีกากับ ฮัมบูร์ก ด้วยค่าตัวสูงถึง 10 ล้านยูโร เพื่อเป็นตัวตายตัวแทนของรุ่นพี่ร่วมทีมชาติอย่าง ดาเนี่ยล ฟาน บุยเต็น ที่ชิ่งไปซบ บาเยิร์น มิวนิค
แต่ในฤดูกาลแรกของเขาที่เยอรมนี เจ้าตัวกลับมีปัญหาอาการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวายอย่างรุนแรง จนได้ลงสนามรวมทุกรายการแค่ 13 นัดเท่านั้น
ถึงแม้ในซีซั่นที่สอง เขาจะฟิตกลับมาลงสนามให้ ฮัมบูร์ก ได้มากขึ้น เมื่อถูกส่งลงเล่นถึง 37 เกมรวมทุกรายการ แต่ในช่วงซัมเมอร์ปี 2008 มันกลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้ช่วงเวลาของเขากับทีมสิงห์เหนือสิ้นสุดลง
ในช่วงซัมเมอร์ปี 2008 แว็งซ็องต์ กอมปานี ในวัย 22 ถูกเรียกตัวติดทีมชาติเบลเยียมชุดอายุไม่เกิน 23 ปี เพื่อทำศึกฟุตบอลชายโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง
ทีมปีศาจแดงยุโรปอยู่กลุ่มเดียวกับจีนที่เป็นเจ้าภาพ, หนึ่งในเต็งแชมป์อย่างบราซิล และอีกทีมคือ นิวซีแลนด์
ทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวแข่งกันระหว่างวันที่ 7-23 สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บุนเดสลีกากำลังจะเปิดฤดูกาล แถมโอลิมปิกไม่ใช่รายการที่อยู่ในช่วงฟีฟ่าเดย์ นั่นทำให้ ฮัมบูร์ก ไม่ต้องการปล่อยตัวกองหลังที่ตัวเองยังใช้ไม่คุ้มค่าตัวเดินทางไปแข่ง
แต่ตัวของ กอมปานี ยืนยันหนักแน่นว่าต้องไปรับใช้ชาติให้ได้ เพราะมองว่าการคว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิก ถือเป็นเกียรติยศที่หาได้ยากในชีวิตนักกีฬา
สุดท้ายทีมสิงห์เหนือจึงยื่นเงื่อนไขว่า กอมปานี สามารถไปเล่นได้ แต่ต้องเดินทางกลับสโมสรทันทีเมื่อผ่านเกมที่ 2 ของรอบแบ่งกลุ่ม
เกมแรกของรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลชายโอลิมปิก 2008 เบลเยียมแพ้ต่อทีมชาติบราซิลไป 1-0 โดยที่ กอมปานี โดนไล่ออกจากสนามในเกมนั้น นั่นทำให้เขาต้องพลาดลงเล่นเกมที่ 2 ที่จะได้พบกับจีน
ตามข้อตกลงที่เขาให้ไว้กับฮัมบูร์ก จริงๆ แล้วเจ้าตัวต้องเดินทางกลับสโมสรทันที
แต่การที่เขามองว่าตนเองควรได้อยู่ช่วยทีมในเกมที่ 3 ที่จะต้องชี้ชะตาเข้ารอบน็อคเอาต์กับ นิวซีแลนด์ หลังจากที่พลาดการลงสนามในเกมที่ 2 เพราะติดโทษแบนไปแล้ว มันกลายเป็นประเด็นขัดแย้งที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับ ฮัมบูร์ก แตกหัก
ฮัมบูร์กยืนยันเสียงแข็งว่า กอมปานี ไม่มีสิทธิ์ฝ่าฝืนข้อตกลงกับต้นสังกัด สุดท้ายเขาจึงต้องเดินทางกลับเยอรมนี โดยไม่ได้อยู่ช่วยทีมต่อในทัวร์นาเมนต์นั้น
ซึ่งสุดท้าย เบลเยียม ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ แต่โดนไนจีเรียเขี่ยตกรอบ ตามด้วยแพ้ บราซิล ซ้ำอีก 0-3 ในรอบชิงเหรียญทองแดง
กอมปานี เดินทางกลับไปรับใช้ทีมสิงห์เหนือด้วยความรู้สึกไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นทำให้เขาโดนสโมสรจับนั่งเป็นตัวสำรอง โดยไม่ส่งลงเล่นในเกมบุนเดสลีกานัดเปิดฤดูกาลที่บุกไปเสมอแชมป์เก่าอย่าง บาเยิร์น มิวนิค 2-2
เมื่อบวกกับประวัติอาการบาดเจ็บที่ไม่น่าไว้ใจ ทำให้ ฮัมบูร์ก เริ่มหาทางขาย แว็งซ็องต์ กอมปานี ออกจากทีม ก่อนตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ปี 2008 ปิดตัวลง
1
ในช่วงเวลานั้น ตลาดซื้อขายเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน และทีมที่แสดงความจริงจังในการทาบทามตัว กอมปานี มากที่สุดก็คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
แน่นอนว่าในตอนนั้น ทีมเรือใบสีฟ้ายังไม่ใช่ทีมที่ดึงดูดนักเตะฝีเท้าดีของยุโรปมากนัก เพราะยังไม่เคยทำอันดับไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เลยสักครั้ง
แต่บุคคลสำคัญที่สามารถโน้มน้าว กอมปานี ไปเล่นให้ทีมเรือใบสีฟ้าได้สำเร็จ ก็คือผู้จัดการทีมในเวลานั้นอย่าง มาร์ค ฮิวจ์ส
ในเดือนมีนาคม 2020 ที่ผ่านมา อดีตกุนซือชาวเวลส์ได้ไปเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการคว้าตัวสุดยอดกองหลัง ที่กลายเป็นตำนานกัปตันทีมในเวลาต่อมาของ แมนฯ ซิตี้ กับช่องยูทูบชื่อดังอย่าง The Coaches’ Voice
ฮิวจ์ส เผยว่า “วินนี่ (ชื่อเล่นของ แว็งซ็องต์ กอมปานี) คือนักเตะที่ผมคิดในใจว่าเขาต้องมาเล่นกองหลังให้ผมตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ”
“ผมพบเขาครั้งแรกตอนที่เขาเล่นกับฮัมบูร์ก ส่วนผมคุมแบล็คเบิร์นไปทัวร์ปรีซีซั่นที่เยอรมนี เขาเล่นเป็นมิดฟิลด์ในตอนนั้น และแสดงให้เห็นถึงตัวตนที่ยิ่งใหญ่อย่างชัดเจน”
“เขากำหนดทิศทางให้ผู้คน บอกพวกนักเตะว่าต้องวิ่งไปไหน ต้องทำอะไร และชัดเจนว่าเขาคือผู้นำของคนรอบๆ ตัวเขา”
“ผมคิดว่าถ้าผมมีโอกาสได้เซ็นสัญญาเขามาร่วมทีม เขาจะเป็นหนึ่งในคนที่ผมอยากเซ็นสัญญาด้วย ตั้งแต่ได้เห็นเขาแค่ครั้งแรก”
“ด้วยความสัตย์จริง ตอนนั้นซิตี้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสโมสรชั้นนำของยุโรป และเราถูกหัวเราะเยาะตอนที่บินไปต่างประเทศเพื่อพยายามคว้านักเตะระดับท็อป”
“แต่ผมนั่งลงตรงหน้าวินนี่ และอธิบายว่าผมรู้สึกว่าสโมสรกำลังจะเดินทางไปในทิศทางไหน และเขาเข้าใจมันอย่างรวดเร็ว”
“ผมพยายามบอกเขาว่าสโมสรกำลังจะไปในจุดไหน และผมต้องการนักเตะที่จะเข้ามาเป็นผู้นำ ผมอยากได้คนที่จะเข้ามาคุมห้องแต่งตัว และผมเคยเห็นเขามาก่อนแล้ว”
“เขารู้ว่าผมไม่ใช่จะต้องการใครก็ได้ ผมอยากได้เขาเป็นการส่วนตัวจริงๆ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่มันดำเนินต่อไป”
วันที่ 22 สิงหาคม 2008 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประกาศคว้าตัว แว็งซ็องต์ กอมปานี มาเป็นนักเตะคนใหม่
2 วันถัดจากนั้น เขาได้ลงประเดิมสนามเกมแรกในพรีเมียร์ลีกทันที โดยลงเป็นมิดฟิลด์ตัวรับตลอด 90 นาที ช่วยให้ทีมเปิดบ้านถล่ม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 3-0
ช่วงแรกๆ ของ กอมปานี กับ แมนฯ ซิตี้ เขาไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย จากการที่สโมสรยังไม่คว้าผู้เล่นคุณภาพดีที่แท้จริงไปร่วมทีมมากนัก แถมตัวนักเตะเองก็โดนจับเล่นเป็นกองกลางตัวรับบ่อยครั้ง และมีปัญหาบาดเจ็บในช่วงต้นซีซั่นของฤดูกาลที่ 2
แต่การที่ทีมเปลี่ยนกุนซือจาก มาร์ค ฮิวจ์ส เป็น โรแบร์โต้ มันชินี่ ในเดือนธันวาคม 2009 ทำให้ทีมค่อยๆ ยกระดับการเล่นได้อย่างชัดเจน
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลิกสถานการณ์จากการรั้งอันดับกลางตาราง มาจบฤดูกาล 2009-10 ด้วยอันดับ 5 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดในตอนนั้นเท่าที่พวกเขาเคยทำได้ในพรีเมียร์ลีก ก่อนที่จะมีการเสริมทัพแบบบ้าคลั่งในซีซั่นถัดมา
เยโรม บัวเต็ง, ยาย่า ตูเร่, ดาบิด ซิลบา, อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ, มาริโอ บาโลเตลลี่ และ เจมส์ มิลเนอร์ ต่างย้ายเข้าสู่ถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม ด้วยค่าตัวรวมกันมหาศาล แถม เอดิน เชโก้ ยังย้ายตามมาเสริมในช่วงเดือนมกราคมอีก
ขณะที่ กอมปานี ได้รับการเปลี่ยนหมายเลขเสื้อจาก 33 เป็นเบอร์ 4 หลังจากที่ เนดุม โอนูโอฮา ถูกปล่อยให้ ซันเดอร์แลนด์ ยืมตัว เพื่อเป็นสัญญาณว่าเขาจะเป็นเซนเตอร์แบ็กตัวหลักของทีมอย่างเต็มตัว
และนั่นคือหมายเลขเสื้อที่เขาสวมใส่จนกระทั่งลงสนามให้สโมสรเป็นวันสุดท้าย
ฤดูกาล 2010-11 กอมปานี คว้าแชมป์รายการแรกกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั่นคือถ้วย เอฟเอ คัพ โดยกัปตันทีมเรือใบสีฟ้าในตอนนั้นยังเป็น คาร์ลอส เตเวซ
ซีซั่น 2010-11 คือฤดูกาลที่ กอมปานี ไม่เจอปัญหาบาดเจ็บรบกวน เขาได้ลงสนามในพรีเมียร์ลีกมากถึง 37 เกมโดยไม่เคยโดนเปลี่ยนตัวออก และหากนับรวมทุกรายการ เขาลงเล่นไปถึง 50 นัด มากที่สุดในบรรดาทุกซีซั่นในเส้นทางนักเตะอาชีพของเขา
ด้วยมาตรฐานการเล่นที่คงเส้นคงวา แถมเพิ่งมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลจากพีเอฟเอ และคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร ทำให้ในฤดูกาล 2011-12 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประกาศยืนยันว่า แว็งซ็องต์ กอมปานี จะเป็นกัปตันทีมของสโมสรอย่างถาวร
ทุกคนคงจำได้ดี ว่าซีซั่นแรกที่ กอมปานี เป็นกัปตันทีม เขาช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบ 44 ปีได้สำเร็จ
เขาเป็นคนโขกประตูชัยดับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ในเกมลีกนัดที่ 36 ซึ่งส่งผลสำคัญให้ทีมเรือใบสีฟ้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยผลต่างประตูได้-เสียที่เหนือกว่าปีศาจแดงในบั้นปลาย
ในขณะที่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ทำผลงานในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับอาร์เซน่อลได้อย่างโดดเด่น จนคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากพีเอฟเอ และจากสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ
แต่ตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำซีซั่นอย่างเป็นทางการจากพรีเมียร์ลีก ก็คือ แว็งซ็องต์ กอมปานี
หลังจากนั้นมา กอมปานี ไม่เคยทำให้ทีมจบฤดูกาลต่ำกว่าอันดับ 4
เขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเพิ่มได้อีก 3 สมัย, แชมป์ ลีก คัพ อีก 4 ครั้ง โดยที่ฤดูกาลสั่งลาของเขาในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม สโมสรสร้างประวัติศาสตร์ กลายเป็นทีมแรกของอังกฤษที่กวาดแชมป์ในประเทศได้ครบทุกรายการ
แว็งซ็องต์ กอมปานี ลงสนามรวมทุกรายการให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทั้งหมด 360 นัด ทำได้ 20 ประตู
แน่นอนว่าประตูที่ผู้คนจดจำมากที่สุด คือลูกยิงสุดท้ายที่เขาทำได้ในสีเสื้อเรือใบสีฟ้า นัดที่พบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2019 ซึ่งเป็นเกมพรีเมียร์ลีกนัดรองสุดท้ายเมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน
ย้อนไปดูสถานการณ์ ณ ตอนนั้น แมนฯ ซิตี้ ไม่สามารถทำคะแนนหล่นได้เลยสักแต้ม ไม่อย่างนั้นตำแหน่งแชมป์จะตกเป็นของ ลิเวอร์พูล แน่ๆ
และดูเหมือนว่ามันจะเป็นเกมที่พวกเขาไม่สามารถเจาะประตูทีมจิ้งจอกสยามได้ เพราะเวลาผ่านไปนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ก็ยังส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายไม่สำเร็จซะที
แต่นาทีที่ 70 ของเกม กอมปานี ดันสูงขึ้นมารับบอลจากคู่เซนเตอร์อย่าง อายเมอริค ลาป๊อร์กต์ ที่เติมขึ้นไปถึงแดนคู่แข่งเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นนักเตะซิตี้แทบทุกคนต่างตะโกนบอกกัปตันของพวกเขาว่า “อย่ายิง”
แว็งซ็องต์ กอมปานี ไม่เคยยิงไกลเป็นประตูให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้มาก่อน แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อใจเขาว่าจะทำประตูจากระยะ 30 หลาได้ นอกจากตัวเขาเอง
1
กอมปานี ซัดเต็มแรงแบบไม่สนใจใคร บอลพุ่งติดไซด์ก้อยเสียบตาข่ายแบบที่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล หมดปัญญาจะพุ่งปัด และนั่นคือประตูชัยให้ แมนฯ ซิตี้ ชนะ 1-0
ลูกยิงที่สมบูรณ์แบบขนาดนั้นที่ช่วยให้สโมสรได้ 3 คะแนนสำคัญ ปลุกความมั่นใจให้ทั้งทีมคึกคักในการลงเตะเกมลีกนัดชี้ชะตาในการเยือน ไบรท์ตัน ก่อนที่ แมนฯ ซิตี้ จะป้องกันแชมป์ลีกได้ด้วยการบุกแซงชนะทีมนกนางนวล 4-1 ปล่อยให้ ลิเวอร์พูล ต้องรอคอยแชมป์ไปอีก 1 ปี
เกมสุดท้ายที่ แว็งซ็องต์ กอมปานี ลงสนามให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือการลงเล่นครบ 90 นาทีช่วยให้ทีมถล่ม วัตฟอร์ด 6-0 ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ
แต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2019 เขาประกาศอำลาทีมแบบสุดช็อค เพื่อไปรับบทบาทผู้เล่น-ผู้จัดการทีมกับสโมสรแรกในอาชีพค้าแข้งอย่าง อันเดอร์เลชท์
ปัจจุบัน กอมปานี ไม่ได้มีสถานะนักเตะอาชีพอีกต่อไป เขาคือกุนซือใหญ่เต็มตัวของ อันเดอร์เลชท์ โดยมีสัญญาคุมทีมยาวจนถึงปี 2024
ถึงแม้ความสำเร็จกับบทบาทคุมทีมยังไม่มาถึง แต่เชื่อว่าสักวันหนึ่ง แว็งซ็องต์ กอมปานี จะต้องเป็นกุนซือที่ได้ชูถ้วยแชมป์กับเขาบ้างอย่างแน่นอน
เพราะตลอดชีวิตของเขาที่ผ่านมา เราได้เห็นกันแล้วว่า ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคและความท้าทายแบบไหน เขาสามารถเอาชนะมันได้ทั้งหมด และกลายเป็นนักเตะผู้ยิ่งใหญ่ให้เห็นได้อย่างแท้จริง
แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัย, เอฟเอ คัพ 2 ครั้ง, ลีก คัพ 4 หน, ชูโล่ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ อีก 2 ครั้ง รวมแล้วเป็นความสำเร็จถึง 12 รายการ ภายใต้เครื่องแบบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นานถึง 11 ปี
ถึงแม้ปัจจุบัน ทีมเรือใบสีฟ้าจะค้นพบคู่เซนเตอร์แบ็กที่เข้าขากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นคือ รูเบน ดิอาส กับ จอห์น สโตนส์ แต่ชื่อของ แว็งซ็องต์ กอมปานี จะยังคงเป็นนักเตะที่แฟนบอลคิดถึงตลอดไป
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กอมปานี จะต้องเป็นกองหลังที่ดีที่สุด และกัปตันทีมที่ดีที่สุดตลอดกาล เท่าที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยมีมา
#เสียบสามเหลี่ยม #แมนฯซิตี้ #กอมปานี #แว็งซ็องต์กอมปานี #เบลเยียม #ฮัมบูร์ก #แมนเชสเตอร์ซิตี้ #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา