7 ก.พ. 2021 เวลา 13:44 • นิยาย เรื่องสั้น
#จันทร์เจ้าขาตอนพิเศษ,
#ที่มาตัวละครผู้กองหนุ่มบทที่1ตอนที่12
(7/2/2021)
สวัสดีครับ เพื่อนๆ
จันทร์เจ้าขา ในคืนนี้.. ยังคงวนเวียนเป็นตอนพิเศษ ของผู้กองหนุ่ม และนายแพทย์ชอว์ นะครับ..
สุขสันต์วันอาทิตย์นะครับ ทุกคน
..
..
บทที่1 ตอนที่ 12 ผู้กองหนุ่ม นายแพทย์ชอว์ และมะตีฮะ (4)
#ณ.ค่ายทหารอาทมาฏที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของสามค่ายทัพหลวงบริเวณท่ากระดาน  ด่านกรามช้างและปากน้ำลำกระเพินเมืองกาญจนบุรีในปีพุทธศักราช ๒๒๐๓,
เย็นวันนั้น..ผู้กองหนุ่มในร่างออกหลวงพจน์ประภาพผู้นำของเหล่ากองทหารอาทมาฏ..
ก็ได้เรียกบรรดาออกขุน ..
พัน และหัวหน้าหน่วยแมวเซา สมิงเป่อ ให้เข้าร่วมประชุมหารือกัน ..
เพื่อไล่เรียงแผนการของทัพหลวงที่มอบหมาย ให้กองทหารอาทมาฏ กระทำการศึกในครั้งนี้..
แต่ในขณะเดียวกัน คุณหมอชอว์ก็ได้แยกออกไปทบทวนวิชาประวัติศาสตร์สยาม ที่ได้เคยอ่านผ่านตามา..
เพื่อที่จะทราบถึงผลการรบที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า..และเตรียมการรับมือ..
..
..
ผู้กองหนุ่ม เปิดฉากเริ่มต้นการประชุมด้วยการยิงคำถามเข้าใส่เหล่าทหารที่ร่วมหารือ อย่างคมคายว่า
“ไหนออเจ้า..ช่วยทบทวนให้เราฟัง สักหน่อยเถิด ว่าทัพหลวงจะให้เรากระทำการใด ในศึกพม่า..ครั้งนี้..”
สายตาของผู้กองหนุ่ม จับจ้องไปที่นายกองที่ดูเยาว์ที่สุดในที่นั้น..
พันไกร หันมองซ้ายขวา อย่างไม่แน่ใจว่า ออกหลวงท่านเลือกจะถามตน ผู้เป็นผู้น้อยอาวุโสที่สุด ในที่นั้น..
ผู้กองหนุ่มในร่างออกหลวงพจน์ประภาพ จึงพยักหน้าและพูดสำทับ ว่า..
“ขอออเจ้า จงพูดตามความสัตย์จริงเถิด..”
พันไกร ถอนหายใจยาว แล้ว..จึงตอบคำถาม ท่านออกหลวง ว่า..
“การศึกในครั้งนี้ ..สืบเนื่องด้วยพระเจ้าสิรินันทสุธรรมราชา พระเจ้าอังวะ (ชื่อทางพม่า-พระเจ้าพินทาเล) แห่งราชวงศ์ตองอูได้กระทำการทุรยศ เสื่อมเกียรติ หลายประการ อันได้แก่..
การส่งเสริมให้เจ้าเมืองเชียงใหม่..หาเหตุกระด้างกระเดื่องต่อราชวงศ์ปราสาททอง อันเนื่องมาจากการรุกรานของพวกฮ่อ.. แล้วจึงเข้าพวกด้วยกับพระเจ้าอังวะ..
แต่ที่สำคัญ ก็คือ การยกทัพขนาดใหญ่มาติดตาม รุกรานทางเมืองสมิ ต่อครอบครัวชาวมอญ ราวหมื่นคน..ที่หนีจากเมืองเมาะตะมะของอาณาจักรพม่าเพื่อเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในแผ่นดินของสมเด็จพระนารายณ์..
ในการนี้..หากมองอย่างลึกซึ้ง ก็คือ การหาเหตุในการเข้ารุกรานแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา นั่นเองขอรับ..
สมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี  (เหล็ก) มาตั้งทัพหลวงบริเวณปากน้ำลำกะเพิน .. และ ให้พระยาสีหราชเดโชจัดแต่งทัพจากทางเหนือ ยกทัพมาช่วยตีโอบล้อมทัพพม่า ในครั้งนี้..ขอรับ”
ผู้กองหนุ่มพยักหน้ายิ้มอย่างพอใจ พลางผายมือไปทางผู้เข้าร่วมประชุมอีกท่านหนึ่ง..ได้พูดต่อ
“ขอให้เราได้ฟังความเห็นของออเจ้าในเรื่องนี้ ด้วยเถิด..”
ออกขุนพระกระยา (คำแปล-ข้าว) รู้สึกแปลกใจที่ออกหลวง ไม่เรียกชื่อทุกๆคนอย่างเป็นกันเอง เหมือนทุกครั้ง..
“ข้า เป็นเพียงออกขุนพระกระยา มิอาจออกความเห็นใดๆ ซึ่งอาจจะขัดต่อคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และนายเหนือหัวได้ ขอรับ..
แต่สำหรับการเลือกใช้บรรดาเหล่าทหารอาทมาฏ คงกระพันชาตรีมาเป็นทัพโจร..เข้าลอบโจมตีข้าศึก
ข้า ออกขุนพระกระยา เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งขอรับ..
เพราะจะทำให้ทัพหลวงของพระยาสีหราชเดโชไม่ต้องพะวักพะวง แบ่งไพร่พลมาในขณะที่ต้องรับศึกทางเหนืออยู่ น่ะขอรับ..
นอกจากนี้ ยังไม่เป็น เรื่องของการทัพหลวง ที่จะนำไปสู่มหาสงครามได้ ขอรับ..
เป็นเรื่องของทัพโจรเล็กๆ ซึ่งหากเราชนะ.. ทัพพระเจ้าอังวะ จะยับยั้งแผนการรุกคืบเข้ามา..ไปอีกหลายปี..ขอรับ
แต่หากเราแพ้ ทัพหลวง ก็จะทราบถึงกลยุทธ์ และสามารถล้อมตีบดขยี้ ทัพที่อ่อนล้าของพระเจ้าอังวะในภายหลัง ได้อย่างง่ายดาย..ขอรับ
แล้วยิ่งมอบหมายให้ออกหลวงพจน์ประภาพเป็นผู้วางกลศึกในครั้งนี้.. ยิ่งเป็นที่เหมาะสมยิ่ง..นะขอรับ
ด้วยว่าพื้นเพของท่านออกหลวงฯ ก็เป็นคนในละแวกถิ่นไม่ไกลจากที่นี้.. มีความคุ้นเคยกันดีอยู่..
เหตุฉะนั้นแล้ว ออกหลวงท่าน จะนำทัพในครั้งนี้ ด้วยกลอันใด ต่อไปหรือขอรับ ..
ขอจงโปรดชี้แนะ สั่งการพวกเราด้วยเถิดขอรับ..”
ผู้กองหนุ่มในร่างออกหลวงพจน์ประภาพ หลับตา แล้วใช้มือซ้ายลูบคางอย่างใช้ความคิด..พร้อมกับรำพึงเบาๆกับตนเอง ว่า..
“ทรงสั่งใช้ทัพกองโจร ตีทัพหลวงของพระเจ้า
อังวะ ..เช่นนั้นรึ?!?.. อืมม”
จากนั้น ผู้กองหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้น กวาดสายตามองทุกคน อย่างช้าๆ แล้วเอ่ยสั่งการหน่วยแมวเซา และสมิงเป่อ ว่า..
“..ขอให้กองสอดแนม บรรยายถึงสภาพแวดล้อมแผนที่ และทิศทางเดินทัพของพระเจ้ากรุงอังวะ ตลอดจนการเดินเท้าของชาวมอญ ให้เราทราบด้วยเถิด..”
สมิงเป่อ หัวหน้ากลุ่มสอดแนมเสือหมอบแมวเซา..
ผู้มีหน้าตาดุดัน เต็มไปด้วยหนวดเครา และบาดแผลจากสมรภูมิต่างๆ ปรากฏให้เห็นชัดบนใบหน้ากร้านนั้น..ได้ยกมือขึ้นไหว้ออกหลวงพจน์ประภาพด้วยความเคารพ..
แล้วจึงค่อยๆหยิบ..ตุ๊กตาดินเหนียวเผาตัวจิ๋วน่ารัก หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ออกมาวางเรียงทีละตัว ทีละตัว..
จนสร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะเบาๆขึ้นในที่ประชุมทำให้บรรยากาศตึงเครียดนั้น ได้ผ่อนคลาย..
“แหะ แหะ ลูกสาวข้า ..
เมี้ยะวดี (เมย์วดี คำแปล-กำแพงมรกต) เป๋นคนปั้นให้น่ะขอรับ.. แหะแหะ..
ตอนนี้นางออกไปเดินเที่ยวเล่น..อยู่ขอรั๊บ นางช๊อบท่องเที่ยวน่ะ ขอรั๊บ
แหะแหะ..”
สมิงเป่อ อมยิ้มเป็นระยะๆ เมื่อพูดถึงลูกสาวสุดที่รัก..
พร้อมกับค่อยๆวางตุ๊กตาเหล่านั้น ของลูกสาวลงบนพื้นทราย อย่างทะนุถนอม..
โดยกำหนดเป็นหมุดหมายตำแหน่งพื้นที่ และกำหนดกลุ่มบุคคล ซึ่งได้ ชี้อธิบาย ต่อไป ว่า
“ตร่งนี้.. เป่นหมู๋ที่เร้า ตั้งค่ายอยู่นะน๋าย..
ส่วนตร่งนี้ เป็นค่ายทัพหลวง ขอรั๊บ..
ส่วนตร่งนี้ เป๋นเส้นท๋าง
เดิ๋นทัพของพระเจ้าอังวะ และชัยภูมิรอบๆ ขอรั๊บ..
1
และตร๋งนี้ เป๋นครอบครัวชาวมอญที่กำลังเดินเท้าหนี๋ น่ะขอรับ..”
ผู้กองหนุ่มกวาดสายตามอง แผนที่นั้นช้าๆ อย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะชี้..
ไปยังตำแหน่งหนึ่งบนแผนที่นั้น และพูดขึ้นว่า..
“เราจะใช้ชัยภูมิ ช่องแคบ
ตำแหน่งนี้ เป็นจุดบดขยี้..
กองทัพพระเจ้าอังวะ..
ให้แหลกเป็นผุยผง เฉกเหมือนเช่น เมื่อครั้ง นักรบสปาร์ตัน เพียง 300 คน คร่าชีวิตนักรบเปอร์เซียนับแสนคน..หึหึหึ
ขอให้ สมิงเป่อรีบส่งม้าเร็ว ไปแจ้งขอให้ ครอบครัวชาวมอญ เปลี่ยนเส้นทางเดินไปผ่านยังช่องแคบ ซึ่งจะมีทัพของเราคอยคุ้มกันอยู่..
พร้อมกันนั้น ให้ส่งจดหมายลวงอีกฉบับโดยพิราบ ทำเป็นแผนศึกหลุดโดยไส้ศึกแมวเซา..เพื่อเร่งให้ทัพพระเจ้าอังวะ เข้าสู่เส้นทางมรณะนี้..
ขอจงรีบแยกย้ายไปเถิด..”
เสียงฮือฮา ฮึกเหิม ดังขึ้นจากในที่ประชุม เมื่อได้ยินคำว่า 300 คนชนะแสนคน..และได้ยินแผนดังกล่าว
“พันไกร..ออเจ้าเคยได้ยินเรื่องผลการรบอันเหลือเชื่อ เช่นนี้ หรือไม่..” ออกขุนพระกระยา (ข้าว) หันมากระซิบถาม เบาๆ..
พันไกรหนุ่ม พยักหน้ารับ และกระซิบตอบ ว่า
“เป็นเรื่องจริงขอรับ.. ข้าเคยได้ฟัง เรื่องการศึกและชัยชนะของนักรบสปาร์ตัน นี้จาก ..บาทหลวงวัลกูอาร์เนรา ในชุมชนโปรตุเกสขอรับ แต่..”
พันไกรหนุ่มเบาเสียงลง ส่งยิ้มแห้งๆ ให้ออกขุนท่านและรำพึงต่อในใจ ว่า..
“ชนะศึกแรก แต่ศึกสุดท้าย
สปาร์ตันทั้งสามร้อยคน..
แพ้พ่าย ตายโหง เรียบสิ้นเลยขอรับ”
เมื่อพันไกร หันไปมองออกยังหลวงพจน์ประภาพ ก็ต้องสะดุ้งโหยง ..
เพราะท่านเดินเข้ามาประชิดตัว พร้อมกับแตะเข้าที่ไหล่ ของทั้งคู่ แล้วพูดว่า
“ขอให้พันไกรรีบส่งคนของเราไปแจ้งแผนของเราแก่ทัพหลวง ให้เคลื่อนทัพ ส่วนหนึ่งมาซุ่มเฝ้าขนาบ ตลอดแนวสันเขา ..
เตรียมตีโอบล้อม หากเมื่อเราให้สัญญาณ..
และให้ออกขุนพระกระยา แยกไปสั่งการ จัดทัพ บัดเดี๋ยวนี้ ว่า เราจะเคลื่อนทัพ ไปที่ช่องแคบให้ถึงก่อนตะวันขึ้นในวันพรุ่ง..”
พันไกรหนุ่ม และออกขุนพระกระยา ยกมือขึ้นไหว้ รับคำสั่ง แล้วรีบแยกย้าย ออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง อย่างรวดเร็ว..
..
..
..
#บริเวณชายน้ำไม่ไกลจากค่ายทหารอาทมาฏ,
คุณหมอชอว์เดินวนเป็นวงกลม กอดอกและใช้นิ้วมือขวา..เคาะซ้ำๆบริเวณขมับ พร้อมกับพูด ว่า..
“นึกให้ออกสิ ..นึกให้ออกสิ คุณหมอชอว์ผู้ปราดเปรื่อง
ศึกในปีชวด ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มีศึกอะไร และผลเป็นเช่นไรบ้าง..นึกให้ออกสิ”
ทันใดนั้น ก็มีเม็ดมะยมถูกเป่ายิงอย่างแรง พุ่งมาโดนตำแหน่งตรงศีรษะ จนคุณหมอชอว์ ร้องเสียงหลง..
“โอ๊ยย..”
คุณหมอชอว์หันมองไปรอบๆตัว อย่างขัดเคือง..
จนกระทั่งสายตาปะทะเข้ากับร่างสาวน้อย ถือไม้ซางเป่าลูกดอก ยืนยิ้มกว้างอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่..
ดวงตากลมดำขลับเป็นประกายของนาง ช่างสุกใส ราวกับลูกกวางน้อย ..
ในขณะที่ใบหน้าเรียว คมได้รูป ก็รับกับสันจมูกโด่ง .. ราวกับนางฟ้า นางสวรรค์ สถิตย์อยู่กลางไพรพนา..
ร่างงามของสาวน้อยลึกลับทำให้คุณหมอชอว์ ตกภวังค์ลืมความเจ็บปวด และยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น..
จนกระทั่ง สาวน้อยลึกลับก้าวกระโดดลงมาจากต้นไม้ใหญ่ ราวกับเหาะ..
และเข้ามายืนต่อหน้าคุณหมอชอว์..พร้อมกับพูดว่า..
“ข้า เมี้ยะวดี (เมย์วดี คำแปล กำแพงมรกต) เห็นออเจ้า เดินเคาะศีรษะ พร่ำบ่นราวกับชายเสียสติ หรือ ผีป่าเข้าสิง..รบกวนการนอนหลับของข้า..
ข้าจึงยิงมะยมอาคมเม็ดเล็ก เข้าใส่ออเจ้า..เพื่อขับไล่ฝูงผีป่า.. หวังว่า ออเจ้าคงไม่ถือสา ในความหวังดีของข้า เมี้ยะวดี นะเจ้าคะ..”
เมี้ยะวดี พูดเสร็จ จึงย่อตัวยกมือไหว้อย่างสวยงาม
คุณหมอชอว์ เห็นการไหว้นั้น จึงได้สติยกมือขึ้นรับไหว้ และพูดขึ้นว่า..
“เป็นเช่นนี้เอง นะขอรับ..
กระผม นายแพทย์ชอว์.. เอ๊ย.. นายแพทย์ชมวิเชียรแห่งกองทหารอาทมาฏ ยินดีที่ได้รู้จัก คุณหนูเมี้ยะวดี นะขอรับ..
พอดีกระผมยืนคิดอะไร
เพลินๆ และคิดว่ายืนอยู่เพียงลำพัง.. จึงเผลอพูดความคิดสงสัยของตน
ออกมา น่ะขอรับ..”
“คิกคิก แล้วออกหลวงชมวิเชียร กำลังคิดสิ่งใดอยู่ กระนั้น หรือ เจ้าคะ..”
เมี้ยะวดี อมยิ้ม และเอ่ยถามถามอย่างสงสัย..
คุณหมอชอว์ ยิ้มรับ และพูดตอบเบาๆ ว่า..
“กระผมกำลังนึกถึงผลของสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้
และกังวลว่า กองทหารอาทมาฏของเราจะเป็นเช่นไรน่ะ ขอรับ..”
เมี้ยะวดี หันไปมองสายน้ำแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นต่อ ว่า..
“แล้วออกหลวงชมวิเชียร วิตกต่อผลอย่างไรบ้าง หรือเจ้าคะ?!?..”
คุณหมอชอว์ หันมองไปสายน้ำตามเมี้ยะวดี แล้ว จึงรำพึงออกมาว่า..
“หากเราแพ้ พวกเราคงจะตายกันหมดทุกคนเป็นแน่นะขอรับ.. แต่หากเราชนะ..”
เมี้ยะวดี หันหน้ากลับมาจ้องคุณหมอชอว์ แล้วพูดแทรก ขึ้นว่า
“หากเราชนะ เหล่าทหารพม่า ก็คงจะตายกันหมดเช่นกัน..สินะเจ้าคะ..
ถึงแม้เราจะไม่ตายในศึกนี้.. แต่ที่สุดแล้ว..
จะมีผู้ใดที่ไม่ตาย รึเจ้าคะ..
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะแสวงหาสงคราม แสวงหาความตาย กันต่อไปเพื่ออะไร นะเจ้าคะ..
แล้วจะเป็นเช่นนี้ กันอีกนานกี่ภพชาติ นะเจ้าคะ..
ทำไมเราไม่ร่วมชื่นชมความสวยงามของโลกใบนี้ ท่องเที่ยว และแบ่งปัน เกื้อกูล นำสวรรค์ให้มาปรากฏอยู่บนโลกผ่านความรักซึ่งกันและกัน นะเจ้าคะ..
นี่สินะเจ้าคะ จึงเป็นเหตุผล ให้เมี้ยะวดี และครอบครัว
เลือกที่จะเป็นผู้เฝ้าสอดส่อง ท่องเที่ยวไปมาระหว่างสองโลก .. เจ้าค่ะ..
เมี้ยะวดี ยินดีที่ได้รู้จักออเจ้า นะเจ้าคะ.. นายแพทย์ชอว์ ผู้มาจากอนาคตอันแสนไกล..
และหากออเจ้าไม่ตายในศึกนี้..ออเจ้าจักติดอยู่ในภพชาตินี้ ตลอดไป เจ้าค่ะ ..”
เมี้ยะวดีพูดเสร็จ จึงยกมือไหว้ลา แล้วเดินอ้อมไปยังหลังต้นไม้ใหญ่ ..
คุณหมอชอว์ ร้องเอ่ยทัก พร้อมกับเร่งเดินตาม เพื่อจะถามข้อข้องใจบางประการกับ เมี้ยะวดี..
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวนะขอรับ”
แต่ทันที ที่คุณหมอชอว์เดินมาถึงหลังต้นไม้ใหญ่..
ก็พบแต่ความว่างเปล่า..
คุณหมอชอว์ จึงอุทานเบาๆ พร้อมกับอาการขนลุกเกรียวทั่วร่าง ยืนสั่นสะท้านอยู่ตรงบริเวณนั้น..
“นี่ มัน.. นี่ มัน
หรือ จะเป็น..
เจ้าแม่ เมี้ยะวดี ผี ต้น
มะ ยม นะ ขอรับ..”
คุณหมอชอว์ ยกมือขึ้นไหว้รอบๆ ..ขออภัย ที่เผลอตัวเผลอใจ ตกหลุมรักเจ้าแม่ เมี้ยะวดี ผีต้นมะยม เข้าแล้ว..
..
..
#บริเวณประตูเมืองบังบดเขตไทรโยคที่ครอบครัวชาวมอญกำลังเดินเท้า,
สมิงเป่อ เร่งขี่ม้า พร้อมกับสมิงอะคร้าน ผ่านทางลัดของเมืองบังบดบริเวณด่านกรามช้าง แล้ว ใช้พระคาถาย่นระยะทางทะลุออกทางลัดบริเวณประตูเมืองบังบดบริเวณไทรโยค ..
เมื่อออกจากประตูทางลัดเมืองบังบดแล้ว ก็พบกับครอบครัวชาวมอญที่กำลังพักค้างคืนอยู่บริเวณดังกล่าว..
และเมื่อสมิงอะคร้าน ศิษย์ผู้น้องของสมิงเป่อ เหลือบเห็นชายหนุ่มรูปงามที่มีเด็กสาวกอดคอนอนหลับ อยู่บนหลัง ก็ตะโกนเรียกชื่อ ด้วยเสียง อันดัง ว่า..
“สมิงไพรหนุ่ม นั่นเจ๊าเอง รึ?!?”
สมิงไพรหนุ่ม หันขวับตามเสียงเรียก อย่างแปลกใจ และพบกับรอยยิ้มจากชายแปลกหน้าบนหลังม้าทั้งสอง..ก่อนที่จะตะโกนตอบไปว่า..
“เราเคยรู้จักกันมาก่อน หรือขอรับ..”
สมิงอะคร้าน สมิงเป่อ หันมามองหน้ากัน ก่อนที่จะหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ดังลั่น แล้วตอบว่า..
“ถ้าเป๋นพ่อของเจ้า ..
สมิงซายม่วน.. ค๋งจะยกปื๋น
ขึ้นยิ๋งก่อน แล้วค่อยถามพวกข้าเป๋นแน่ ฮ่าฮ่า ฮ่า..
เจ้ามันช่างสุภาพผิดพ่อเจ้านั๊ก..ฮ่าฮ่า ฮ่า
พระอาจารย์ของเจ้า คงอบรมเจ๊ามาเป็นอย่างดี.. ฮ่าฮ่า ฮ่า..
มาเถิดขึ้นมานั่งบนหลังม้าข้าเถิด สมิงไพรหนุ่ม.. เราจะได้คุยหารือกัน ในระหว่างที่เราไปหาหัวหน้ามอญ ในค่ายนี้..”
สมิงอะคร้านยื่นมือให้สมิงไพรหนุ่มคว้าจับ ดึงขึ้นมานั่งข้างหลัง..แล้วจึงชวนคุยต่อว่า..
“ส่วนด้านหลังเจ้าคงจะเป๋น
มะตีฮะน้อย บุ๊ตรสาวของโบตูระสินะ..”
สมิงไพรหนุ่มพยักหน้า แล้วจึงถามขึ้นว่า..
“ปีนี้ตรงกับรัชสมัยใด และกำลังจะเกิดเหตุการณ์ใด หรือขอรับ.. จึงเกิดการอพยพหนีของชาวบ้านจำนวนมากมายขนาดนี้ น่ะขอรับ..”
สมิงเป่อหัวเราะขึ้นเบาๆ และตอบสมิงไพรหนุ่ม อย่างมีเมตตาว่า..
“ปีนี้เป๋นปีชวดในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ แห่งราชวงศ์ปราสาททอง กรุงศรีอยุธยา ..
และใน๋วันพรุ่งนี้ ทัพของพระเจ้ากรุงอังวะ (พระเจ้าสิรินันทสุธรรมราชา พระเจ้าอังวะ ,ชื่อทางพม่า-พระเจ้าพินทาเล) แห่งราชวงศ์ตองอูจะเคลื่อนทัพเข้าประชิดไพร่พล ชาวมอญ และเข้ารบพุ่งกันในอีกเช้าถัดไป..
ผลการร๊บในศึกเล็กๆครั้งนี้ พระเจ้ากรุงอังวะ กลับพ่ายแพ้ แล้วจะนำไปสู่การลอบปลงพระชนม์โดยพระอนุชา ในปี๋ถัดไป..
และเนื่องด้วยความแค้น ความทรมาน ที่โดนลอบปลงพระชนม์ อย่างอำมหิตโดยพระอนุชา..
พระเจ้ากรุงอังวะพระองค์นี้ ก็จะจุติเป็นนัตหลวงที่ร้ายกาจ
..ที่อยู่เบื้องหลังของแผนร้ายทั้งป๋วงในภายภาคหน้า..และจะดึงให้นัตโยนบะเยงเข้าสู่ด้านมืดแห่งความเจ็บแค้นอย่างที่สุด
ดังนั้นจึงมีนัตผู้กล้าหาญ และเปี่ยมฤทธิ์ หลายตน เช่นนัต
มินเล และพี่ชาย ได้ขอนัตตะจะมิน (พระอินทร์) หลบเร้นย้อนเวลา ผ่านประตูเขตเมืองบังบด และประตูบาดาลแห่งพระธาตุมุเตา เพื่อมาแก้ไข เข้าร่วมรบหมายให้ พม่ามีชัยเหนือ ศึกในครั้งนี้..”
สมิงไพรหนุ่ม จึงหันไปถามสมิงเป่อ ต่อว่า..
“แล้วพวกท่าน เป็นผู้ใดกันหรือขอรับ จึงเกี่ยวโยงกับสองโลก และมีอายุยืนยาวเช่นนี้..นะขอรับ”
สมิงอะคร้าน เอียงศีรษะ มาถาม สมิงไพรหนุ่ม อย่างสงสัย ว่า..
“เจ้าพูดราวกับไม่ใช่ พวกเราเช่นนั้นแล้ว.. นี่พ่อของเจ้าสมิงซายม่วน มิได้เล่าสิ่งใดๆ ให้เจ้าฟังก่อนหน้านี้เลยรึ?!? เจ้าสมิงไพรหนุ่ม?!?..”
ทันใดนั้นเอง สมิงเป่อ ก็ขยับสายบังเหียนม้า และหันมาพูดกับสมิงอะคร้าน ว่า..
“รีบไปกันเถิด สมิงอะคร้าน.. บุตรสาวข้า เมี้ยะวดี กำลังโบกมือเรียกพวกเราจากค่ายที่พักชาวมอญ ตรงบริเวณตีนเขา อยู่โน่นแน่ะ..”
สมิงอะคร้าน พยักหน้าเข้าใจ แล้วหันไปพูดกับสมิงไพรหนุ่มว่า
“กอดเอวข้าให้แน่นๆ เถิดหน๋า .. ข้าจักพาเจ้าเหาะทะยานไปในบัดนี้แล้ว สมิงไพรหนุ่ม..”
จากนั้นสมิงเป่อ กับสมิงอะคร้าน ก็ควบม้าราวกับเหาะพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
..
..
จบบทที่ 1 ตอนที่ 12
..
#เกร็ดเพิ่มเติม
ในปี พุทธศักราช 2204
เมืองอังวะได้เกิดเหตุการณ์จลาจล  พระเจ้าปเยซึ่งเป็นพระอนุชาของ  พระเจ้าอังวะ  ได้เข้าปล้นพระราชวังชิงอำนาจและจับพระเจ้าสิรินันทสุธรรมราชา  (พระเจ้าอังวะ) ปลงพระชนม์..
แล้วขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่าพระเจ้ามหาสีหสุรสุธรรมราชา
 
 เมื่อข่าวการเปลี่ยนแผ่นดินในเมืองอังวะนั้นล่วงรู้ถึงสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ดังนั้นในปี  พ.ศ. 2205 
สมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงเห็นโอกาสที่จะตีเอาเมืองเชียงใหม่ได้  จึงแต่งตั้งให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี  (ขุนเหล็ก)  เป็นแม่ทัพคุมพล  40,000  คน  ขึ้นไปตีเอาเมืองเชียงใหม่  และสมเด็จพระนารายณ์ฯ  ได้ยกทัพหลวงคุมพล  60,000  คน  ติดตามขึ้นไปอีก  1  กองทัพเพื่อที่จะตีเอาเมืองเชียงใหม่ให้ได้
 
 กองทัพของเจ้าพระยาโกษาธิบดี  (เหล็ก)  ได้มีชัยเหนือเมืองลำปาง  เมืองลำพูน  และยกขึ้นไปตั้งทัพล้อมเมืองเชียงใหม่ไว้
เนื่องจากชาวเมืองเชียงใหม่นั้นได้ป้องกันเมืองไว้เป็นสามารถทำให้ยังตีเอาเมืองไม่ได้  ครั้นเมื่อกองทัพของสมเด็จพระนารายณ์ฯ  ขึ้นไปถึงจึงให้ทำการล้อมเมืองทุกด้านแล้วเข้าปล้นเมืองพร้อมกัน  ทำให้กองทัพนั้นสามารถเข้าเมืองจับเอาตัวพระยาเชียงใหม่และท้าวพระยาอื่นๆ  ไว้ได้
ขณะนั้นกองทัพเมืองอังวะได้ยกมาช่วยเมืองเชียงใหม่ตีเอาเมืองคืน  แต่ถูกกองทัพไทยที่ยกออกไปซุ่มอยู่นอกเมืองและในเมืองเข้าตีกระหนาบจนแตกพ่ายหนีกลับไป
 
เมื่อยกทัพกลับจากเมืองเชียงใหม่นั้น  สมเด็จพระนารายณ์ฯ  ได้อัญเชิญ  พระพุทธสิหิงค์  ซึ่งเป็นสมบัติของราชวงศ์พระร่วง กษัตริย์เมืองสุโขทัย  กลับคืนมายังกรุงศรีอยุธยาด้วย
สวัสดี และขอจบเพียงเท่านี้
ขอบคุณครับ
ร้อยเรียงจันทร์เจ้าขา
(T.Mon)
ข้อมูลสนับสนุนส่วนหนึ่ง:
ลำดับเหตุการณ์ในแผ่นดินของสมเด็จพระนารายณ์ฯ: ปรากฏในหนังสือของชาวต่างประเทศ ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอ้างไว้ใน “พงศาวดารเรื่องไทยรบพม่า”
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา