17 ก.พ. 2021 เวลา 07:01 • หนังสือ
🌟 รีวิวหนังสือ The Miracle Morning หนังสือที่จะช่วยเปลี่ยนชีวิตคุณให้เป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม 🌟
The Miracle Morning ✨
เขียนโดย Hal Elrod
ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนเคยได้ยินบทสัมภาษณ์หรือบทความที่เล่าถึงกิจกรรมที่บุคคลที่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ คนในโลก เช่น Bill Gates, Jeff Bezos, Tim Cook หรือ Oprah Winfrey ทำในช่วงเช้า หรือที่เรียกกันว่า “Morning Routine”
ซึ่งเราได้ยินสิ่งที่คล้าย ๆ กันว่าบุคคลเหล่านั้นมักจะตื่นเช้าและมีกิจกรรมในตอนเช้าที่ทำเป็นประจำซ้ำ ๆ วนไป และส่วนใหญ่ก็จะมีบางส่วนที่คล้ายกันอยู่มากทีเดียว
ตัวผมเองก็ได้ยินได้อ่านเรื่องเหล่านี้มาเยอะ แต่ก็ยังไม่เคยพยายามจะทำเหมือนกัน เพราะทุกคนก็ทราบดีว่าการตื่นเช้านั้นเป็นอะไรที่ทรมานมาก ๆๆๆๆ.............😂
แต่พอได้มาอ่านหนังสือเล่มนี้ช่วงปีที่แล้วที่ work from home พอดี ก็เลยคิดลองดู เอาซักตั้งวะ ดูดิ๊จะเป็นยังไง! พอลองตื่นเช้าดูปรากฏว่าง่วงครับ 555 🤣 แรก ๆ บอกเลยว่าง่วงมากครับ กว่าจะลากตัวเองออกจากเตียงนอนได้ แต่พอทำไปซักพักมันเริ่มจะชิน ร่างกายเริ่มปรับตัว ประกอบกับเมื่อเราตื่นเช้า ร่างกายเราก็จะอยากนอนเร็วขึ้นในคืนถัดไป ทำให้เราได้เข้านอนเร็วขึ้นกว่าเดิมเพื่อที่จะตื่นเช้า แล้วมันก็จะเป็นวัฏจักรแบบนี้วนไปครับ
คราวนี้เดี๋ยวเราลองมาดูกันครับว่าในหนังสือ Miracle Morning เค้าแนะนำให้เราทำอะไรบ้างครับในช่วงเช้าก่อนที่เราจะเริ่มทำงานในชีวิตประจำวัน...🧐
โดยผู้เขียนนั้นเล่าว่าตัวเค้าเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์หนักจนเกือบถึงขั้นเสียชีวิต ต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน ช่วงนั้นเค้าจึงมีเวลามานั่งคิด ไตร่ตรองอยู่ว่าชีวิตและเวลาของเรานั้นมีค่าขนาดไหน โดยมุ่งมั่นว่าจะตั้งใจทำสิ่งที่เป็นความฝันของเค้าและทำให้ดีที่สุด โดยเชื่อมั่นว่าตัวเราเองนี่แหละที่จะกำหนดชีวิตของเรา นอกจากนี้เค้ายังต้องผ่านช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2007 ที่หนักหนาสาหัสอีกด้วย
โดยวันนึงเค้าได้คุยปรับทุกข์กับเพื่อนเค้าในช่วงที่ชีวิตเค้ารู้สึกว่าล้มเหลว โดยเพื่อนเค้าบอกกลับมาว่าให้ลองไปวิ่งตอนเช้าดูสิ แล้วจะดีขึ้น สมองจะปลอดโปร่งมากขึ้นและจะคิดอะไรออกมากขึ้น ซึ่งผู้เขียนก็เลยได้ไปทดลองทำดูจนกระทั่งชีวิตเค้าดีขึ้นตามลำดับ มีความ productive มากขึ้น เริ่มเป็นนักเขียนและนักพูดที่โด่งดังมาก จนเค้าได้สรุปและเขียนเป็นสูตรสำเร็จ “Miracle Morning” กับการทำ Morning Routine เป็นตัวย่อ S.A.V.E.R.S ซึ่งได้แก่กิจกรรม 6 อย่างต่อไปนี้ครับ
📌 Silence
📌 Affirmation
📌 Visualization
📌 Exercise
📌 Reading
📌 Scribing
……………..
“Silence”
สำหรับ S ตัวแรกไม่ใช่ Sleep นะครับ 555 แต่เป็น Silence ซึ่งหมายถึงความเงียบ
“You can learn more in an hour of silence than you can in a year from books”
คือให้เราลองใช้เวลาอยู่เงียบ ๆ กับตัวเองในตอนเช้าดูครับ มันจะช่วยทำให้จิตใจสงบขึ้น บ้างก็ว่าช่วยลดความเครียดให้เราได้ นอกจากนี้จะช่วยทำให้จิตใจเราปลอดโปร่ง มีเวลาได้เรียนรู้ตัวเราเอง ได้คิดทบทวนถึงอะไรที่เป็นเป้าหมายของเราทั้งในชีวิต หรือแม้กระทั่งเป้าหมายในวัน ๆ นั้นของเรา
💡 กิจกรรมที่เค้าแนะนำให้ทำก็คือการทำสมาธิ หรือ “Meditation” 😇 ซึ่งคงไม่ต้องบอกประโยชน์ของการทำสมาธิเพราะว่ามีหนังสือ มีการศึกษาวิจัยมากมายพูดถึงประโยชน์ของการทำสมาธิ อีกทั้งคนที่เป็นชาวพุทธก็ยังได้เรียนรู้เรื่องของการฝึกทำสมาธิกันมาบ้างอยู่แล้วว่ามีประโยชน์มากขนาดไหน ระหว่างการทำสมาธิเราก็อาจจะใช้การสวดมนต์หรืออะไรที่ทำให้เราใจจดจ่ออยู่กับเรื่อง ๆ นึง หรือจะเป็นการจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก หรือการคิดถึงเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา แล้วแต่วิธีการของแต่ละคนเลยครับ
1
……………..
“Affirmation”
สำหรับสิ่งถัดไปคือการทำ “Affirmation” มันคล้าย ๆ กับการปฏิญาณตนหรือบอกกับตัวเราเองว่าเราอยากเป็นอะไร อยากเป็นคนแบบไหน
หากใครรู้จักนักมวยผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก Mohammad Ali เค้าบอกว่า Ali เขียน Affirmation ของตัวเค้าเองว่า “I am the greatest!” ซึ่งเค้าพูดกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าต้องการเป็นที่หนึ่งจนในที่สุดเค้าได้ประสบความสำเร็จดังที่เค้าคาดหวังและได้บอกกับตัวเค้าเองในทุก ๆ วัน...
การปฏิญาณตนบอกกับตนเองเป็นประจำถึงเป้าหมายของเรา ถึงสิ่งที่เราต้องการจะเป็น มันเหมือนเป็นการโปรแกรมเรื่อง ๆ นั้นเข้าไปในสมองของเรา ซึ่งสมองของเรานี่เป็นกลไกอะไรที่น่าทึ่งมาก ๆ ครับ เพราะว่าการที่เราใส่อะไรเข้าไปให้มันบ่อย ๆ มันก็จะดูดซับเอาสิ่งนั้นมาและพยายามคิดหาทางทำให้ได้สิ่งนั้น ๆ มันเหมือนเวลาเราอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองเข้าไปเยอะ ๆ สมองเราก็จะเริ่มจดจำสิ่งเหล่านั้นแล้วมันก็จะเอามาปฏิบัติเป็นอัตโนมัติจนบางทีเราไม่รู้ตัวซะด้วยซ้ำ
1
เค้าบอกว่าทุกเช้าที่เราตื่นขึ้นมาให้เราอ่าน Affirmation ทุกวันเพื่อบอกตัวเราว่าเป้าหมายเราคืออะไร เราอยากจะเป็นอะไร และเราจะทำอะไรถึงจะประสบความสำเร็จดังเป้าหมายที่เราตั้งไว้ มันเหมือนคล้าย ๆ การสะกดจิตเตือนตัวเราเองทุก ๆ วันหลังจากตื่นขึ้นมาแล้วว่าเรามีเป้าหมายอะไรในชีวิต
💡 ตัวอย่าง Affirmation ง่าย ๆ อาจจะเป็นเช่น เราตั้งใจจะมีสุขภาพที่ดีให้ได้ โดยจะออกกำลังกายอย่างต่ำวันละ 30 นาทีเป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์อะไรทำนองนี้ครับ
……………..
“Visualization”
ในส่วนที่ 3 เค้าพูดถึงการจินตนาการภาพที่เราอยากจะเป็นออกมาในหัวสมองเราครับ ซึ่งเค้าบอกว่าหลักการนี้นักกีฬาอาชีพใช้กันค่อนมากเยอะเลยทีเดียว
Tiger Woods นักกอล์ฟที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากที่สุดคนนึงในโลกขึ้นชื่อเกี่ยวกับเรื่องการใช้การจินตนาการเป็นอย่างมาก โดยเค้าจะนึกภาพของวงสวิงของเค้าที่แต่ละหลุมก่อนการแข่งขันจริง
นอกจากนี้ผมยังเคยอ่านเรื่องราวของ Wayne Rooney อดีตนักฟุตบอลคนดังของทีมชาติอังกฤษและสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่เค้าบอกว่าคืนก่อนการแข่งขันเค้าจะหลับตาจินตนาการภาพว่าเค้าจะเล่นอย่างไร เค้าจะยิงประตูได้อย่างไร
โดยผู้เขียนบอกว่าคนเราส่วนใหญ่อาจจะนึกภาพในส่วนนี้ไม่ออก เพราะคนส่วนใหญ่ถนัดกับการนึกภาพในอดีตมากกว่าจะนึกถึงภาพในอนาคต เค้าบอกว่าให้เราลองฝึก หลังจากเราอ่านคำปฏิญาณของเราในหัวข้อที่แล้วไปแล้ว ให้เราลองหลับตาแล้วนึกภาพว่าเราทำงาน หรือทำกิจกรรมตามสิ่งที่เราบอกกับตัวเองไว้ แล้วให้นึกภาพที่เราทำมันสำเร็จว่ามันจะมีความสุขขนาดไหน ซึ่งการ “visualize” เป็นส่วนช่วยเสริม “affirmation” ในข้อที่แล้วให้สมองเราเห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น
💡 เค้าบอกว่ามีอีกเทคนิคนึงคือการทำ “vision board” ซึ่งมาจากหนังสือเล่มดังที่ชื่อ “The Secret” คือให้เราเอารูปสิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เป็นเป้าหมายเรา หรือเอารูปคนที่ประสบความสำเร็จที่เราอยากเป็นอย่างเค้ามาแปะ เพื่อเป็นการช่วยให้เราจินตนาการภาพความสำเร็จที่เราอยากได้ให้มันชัดเจนขึ้น
1
……………..
“Exercise”
สำหรับข้อนี้คือ การออกกำลังกาย คงไม่ต้องพูดอะไรกันเยอะถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายนะครับ สิ่งที่เค้าแนะนำคือให้เราเริ่มจากอะไรง่าย ๆ ไม่ต้องถึงขนาดออกไปวิ่ง ออกไปเข้าฟิตเนส เราแค่อาจเริ่มจากการเดิน หรือการขยับร่างกายง่าย ๆ เช่น การกระโดดตบ ให้เลือดลมมันสูบฉีดซักหน่อย โดยเริ่มจากเวลาไม่ต้องเยอะ แค่ 10 นาทีก็พอ ซึ่งการลุกขึ้นมากระตุ้นร่างกายในตอนเช้าแบบนี้ สิ่งที่ช่วยได้เลยทันทีคือ มันทำให้เราหายง่วง หายงัวเงียได้ทันทีครับ ลองนึกดูว่าหากเราต้องตื่นเช้ามาก แต่ลุกมานั่งสมาธิเฉย ๆ หรืออยู่นิ่ง ๆ มันจะพาเราง่วงอีกรอบเอานะครับ
……………..
“Reading”
ข้อต่อไปคือการอ่านหนังสือครับ เค้าบอกว่าการอ่านทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้เร็วที่สุดแล้ว โดยการอ่านทำให้เราได้เรียนรู้จากคนที่ทำมาแล้วหรือประสบความสำเร็จมาแล้ว ซึ่งหนังสือในแต่ละเรื่องที่เราสนใจนี่มีมากมายจนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าเป้าหมายของเราจะคืออะไร เช่น หนังสือที่บอกเราว่าทำอย่างไรให้รวย ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข
💡 สำหรับหลาย ๆ คนที่มีปัญหาในการเริ่มอ่านหนังสือ ก็ให้เริ่มจากอ่านทีละหน่อยครับ เช่น วันละ 5 หน้า หรือ 10 หน้าก็พอ ถ้าเราสนุกกับมัน ทำมันเป็นนิสัยแล้วเราจะอยากอ่านเพิ่มขึ้นเอง แล้วก็ให้ลองเริ่มอ่านจากหนังสือที่เราชอบ เราสนใจนะครับ มันจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้เราได้อย่างดีเลย
……………..
1
“Scribing”
สำหรับสิ่งสุดท้ายก็คือ การจดบันทึก “Scribing” หรือ “Journaling” นั่นเองครับ ซึ่งการเขียนบันทึกออกมานั้นมีหลายรูปแบบมากๆ ไม่ว่าจะเขียนออกมาเป็นเป็นเรื่องราวแบบไดอารี่ หรือเขียนเป็นหัวข้อ ๆ ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบของเราเลยครับ โดยส่วนตัวผมชอบสไตล์การจดบันทึกแบบ “Bullet Journal” ซึ่งใครสนใจลองไปหาอ่านหนังสือชื่อ “Bullet Journal” ของ Ryder Caroll ดูครับ
ซึ่งการจดเราจะจดแบบดั้งเดิมเลยคือใช้สมุดปากกาจด หรือจะจดแบบอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้คอมพิวเตอร์ หรือมือถืออะไรก็ได้ครับ แล้วให้ลองหารูปแบบการเขียนที่เราชอบดู
💡 โดยการเขียนเค้าก็แนะนำให้เราเขียนสิ่งที่เราคิดอยู่ในหัวเราออกมาครับ ให้ “reflect” มันออกมา ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก หรือไอเดียอะไรที่เรามี เรื่องของความสำเร็จของเรา การรู้สึกขอบคุณใครก็ตาม หรือบทเรียนที่เราได้ในแต่ละวัน เพราะหากเราไม่ถ่ายทอดมันออกมา มันจะทำให้เราลืมครับ อีกทั้งการบันทึกไว้ทำให้เรากลับมาอ่านได้และเราเวลาย้อนกลับมาอ่านก็ทำให้เราได้คิดทบทวนตัวเราเองอีกครั้งครับ
1
……………..
“The Six-Minute Miracle Morning” ⏰
หลายคนอ่านมาถึงจุดนี้แล้วคงคิดว่าเราไม่มีเวลาหรอกมาทำทุกสิ่งที่เล่ามาข้างบนนี้ตั้ง 6 อย่าง ผู้เขียนเค้าแนะนำเลยครับว่าให้ลองเริ่มทำทั้ง 6 อย่าง แค่อย่างละ 1 นาทีพอครับ รวมทั้งหมดคุณก็จะใช้เวลาทั้งหมดแค่ 6 นาทีเท่านั้น! ย้ำแค่ 6 นาทีเท่านั้นครับ!
ลองเริ่มทำดูก่อนครับ เวลาแค่ 6 นาทีคงไม่ได้มากเกินไป และแน่นอนครับแรก ๆ มันก็คงยากหน่อยสำหรับเราในการเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ แต่ทุกอย่างแหละครับมันก็ต้องยากก่อนจะง่ายด้วยกันทั้งงั้น ถูกมั้ยครับ?
……………..
“Customizing Your Miracle Morning”
คราวนี้มาถึงคำถามที่หลาย ๆ คนจะถามว่าแล้วอย่างนี้เราจะต้องตื่นกี่โมงเพื่อมาทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้มันถึงจะเวิร์คที่สุด?
โดยผู้เขียนก็แนะนำว่า มันไม่จำเป็นหรอกที่จะต้องตื่นตีห้า ก็แค่เราตื่นเช้ากว่าเดิมจากปกติที่เราตื่นอยู่แล้วซัก 30-60 นาทีมาทำกิจกรรมเหล่านี้ก็เพียงพอแล้ว
สำหรับหลายคนที่บอกว่า “I am not a morning person” หรือบอกว่า เราตื่นเช้าไม่ได้หรอก เพราะต้องทำงานกะดึก หรือทำงานถึงช่วงดึกดื่นเป็นประจำ แล้วจะทำอย่างไรดี?
คำตอบก็เหมือนข้างต้นครับคือเราก็แค่ตื่นนอนให้เร็วกว่าเดิมที่เราเคยตื่นปกติก็พอแล้วมาให้เวลากับตัวเอง อยู่กับตัวเองมากขึ้นแล้วก็พัฒนาตัวเอง เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นได้แล้วครับ 🙂
……………..
📍 ขอบอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ตัวผมเองอ่านแล้วได้ลองได้ปรับใช้จริงดูแล้วก็คิดว่ามันก็เวิร์คอยู่ พอทำเป็นประจำกลายเป็นว่าเราอยากทำต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนเราได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้นในช่วงเช้าที่สงบ ได้มีเวลานั่งคิดทบทวนเรื่องต่างๆ เป้าหมายของเรา รวมถึงสิ่งที่เราจะต้องทำในแต่ละวันด้วย นอกจากนี้มันเหมือนว่าเราได้ทำอะไรสำเร็จไปแล้วตั้งหลายอย่างในช่วงเช้าแล้ว ในขณะที่หลายต่อหลายคนกลับเพิ่งตื่นนอนแล้วก็รีบอาบน้ำแต่งตัวรีบไปทำงาน ผมว่าความรู้สึกของการได้ทำอะไรสำเร็จมันทำให้เราจะรู้สึกดีกับวันนั้น ๆ ครับ
📌📌📌 สุดท้ายผมเองคิดว่าเราคงไม่จำเป็นต้องทำตามที่หนังสือเค้าแนะนำทั้งหมดหรอกครับ สิ่งที่สำคัญจริง ๆ น่าจะอยู่ที่การที่ตัวเรามีความมุ่งมั่นแน่วแน่มากพอมั้ยที่จะเอาชนะตัวเอง ที่จะพยายามตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมที่เราคิดว่ามีคุณค่ากับชีวิตเรา ความมุ่งมั้นตั้งใจอย่างสม่ำเสมอนี้จะก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “วินัย” และผมคิดว่า “วินัย” นี่แหละครับจะเป็นตัวช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้
#TheMiracleMorning #BookReview #สิงห์นักอ่าน
ป.ล. ถ้าไม่อยากพลาดการติดตามการรีวิวหนังสือดี ๆ แบบละเอียดยิบ ฝากกด Like กดติดตามเพจ รวมถึงยังติดตามได้อีกหนึ่งช่องทางใน facebook - facebook.com/TheCrazyBookReader
โฆษณา