26 ก.พ. 2021 เวลา 01:30 • ธุรกิจ
จากเด็กที่ไม่เคยเรียนเมืองนอกสู่การทำงานข้ามทวีป ชีวิตที่กำหนดทางเดินด้วยตัวเอง
ครั้งนี้ Career Fact จะมาเล่าเรื่องราวของ ‘พี่ปิง’ เด็กที่เริ่มจากไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรสู่การทำงานองค์กรใหญ่ระดับโลกอย่าง Facebook
2
เรียนที่ไทยทำไมไปทำงานต่างประเทศ? ทำไมถึงลาออกจากบริษัทของตัวเองที่สร้างมากับมือ? คนต่างชาติกดพนักงานเอเชียจริงไหม? มาหาคำตอบพร้อมกันได้ที่นี่
#วัยเด็กเห็นภาพตัวเองที่เป็นวิศวกรรมซอฟต์แวร์ชัดขนาดไหน
พี่ปิงเล่าว่าไม่เคยรู้จักอาชีพนี้เลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าอาชีพนี้ทำอะไร ตอนเด็กเป็นเด็กกิจกรรมมากๆ วันๆแค่เรียน ทำหน้าที่ประธานนักเรียน ทำกิจกรรม เวลาก็หมดเเล้ว
แต่บังเอิญว่าตอนสอบเข้าได้คะแนนสูง ก็เลยเลือกเข้าวิศวะคอม เหตุผลที่เข้าวิศวะคอมก็ไม่ใช่เพราะชอบเรื่องคอมเป็นพิเศษ แต่เพราะชอบเล่นเกมมากขนาดที่เคยแข่งเกม StarCraft และชอบทำ presentation ต่างๆ
1
พอเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ ที่ตั้งใจเข้ามาสายเขียนโปรแกรมโดยตรงจึงคิดว่าตัวเองน่าจะเลือกมาผิดทางเพราะไม่ได้ชอบเรื่องคอมขนาดนั้น
#จุดที่ทำให้มั่นใจว่าเราชอบซอฟต์แวร์แน่ๆ
1
ช่วงขึ้นปี 2 มีวิชาเขียนซอฟต์แวร์ ตอนนั้นจับทีมกับเพื่อนทำเกม Bomberman พอทำออกมาก็รู้สึกว่าได้เขียนซอฟต์แวร์ให้มันออกมาเป็นชิ้นเป็นอันก็สนุกดี เลยเริ่มสนใจในสาขาที่เรียนมากขึ้น
2
หลังจากนั้นจึงลองไปแข่งรายการ Dtac & Nokia Dot Awards ถึงจะไม่ชนะแต่ก็เข้าถึงรอบสุดท้าย หลังจากนั้นเลยรู้แล้วว่าเรามาถูกทางแน่ๆ เพราะสนุกไปกับมันมากขึ้น แล้วก็เริ่มศึกษาด้วยตัวเองเพิ่มเติม
2
#เลือกเรียนวิศวะคอมพิวเตอร์ทั้งสามใบ
1
ตอนช่วงเรียนปริญญาตรีปี 3 ได้เจอโครงการเรียนตรีควบโท คือได้ปริญญา 2 ใบภายใน 5 ปี เลยสนใจที่จะเรียนปริญญาโทเพิ่มอีกใบ
4
พี่ปิงเล่าว่าช่วงทำ Research Project ตอนปี 3 ได้ลองศึกษาดูหัวข้อที่จะทำวิจัยแล้วได้ไปเจอกับหัวข้อ เทรนด์เทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนโลก เรื่อง Wireless Sensor Network เป็นเรื่องของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ชิ้นเล็กที่สามารถเชื่อมต่อกันโดยไร้สาย พลังงานต่ำ และไม่มีอะไรควบคุม (สิ่งนี้จะต่อยอดมาเป็นอุปกรณ์ IoT หรือ Internet of Things ในปัจจุบัน) พี่ปิงมองว่าเรื่องนี้น่าสนใจเลยเลือกทำเป็น Research Project ปี 3 และต่อยอดมาเป็น Senior Project ในปี 4 พอยิ่งศึกษาลึกๆ ก็ยิ่งชอบ พี่ปิงจึงปรึกษาอาจารย์ว่าอยากจะเรียนต่อปริญญาโทด้านนี้
3
ช่วงจะจบปริญญาตรีและกำลังจะเรียนต่อปริญญาโท พี่ปิงเห็นเพื่อนทำ Senior Project ใน Lab Robotics เรื่องการควบคุมทิศทางการมองเห็นของหุ่นยนต์โดยใช้ลายตารางหมากรุกบนกระดาษ (ที่จะต่อยอดเป็นเทคโนโลยี AR หรือ Augmented Reality ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นอะไรที่ใหม่มากในตอนนั้น จึงคิดอยากเปิดบริษัทกับเพื่อนไปพร้อมๆ กับเรียนปริญญาโท เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับเทคโนโลยี AR เช่น ทำสื่อสารสอน อย่างโมเดลฟันสำหรับคณะทันตแพทยศาสตร์ ทำ AR โมเดลบ้านให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
3
ตอนที่ทำบริษัทเขาได้ประสบการณ์กลับมาเยอะมาก พี่ปิงเล่าว่าครั้งหนึ่งเคยรับงาน Consult ให้กับหน่วยงานราชการ ตอนนั้นบริษัทเขาดูแลระบบทั้งหมดขององค์กร ทั้งเขียนเว็บ ตรวจสอบฮาร์ดแวร์ ทำจัดซื้อ แก้ไวรัส ลงโปรแกรม พูดได้ว่าทำครบทุกอย่างจริงๆ เลยได้เรียนรู้เรื่องระบบขององค์กรมากขึ้น
1
พอมาช่วงเรียนปริญญาโท เขาก็มีโอกาสได้ศึกษางานวิจัยหลายเล่ม แล้วก็นึกสงสัยว่าทำไมไม่มีชื่อมหาวิทยาลัยในไทยตีพิมพ์งานวิจัยในวารสารด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับโลกบ้าง และอยากช่วยผลักดันให้มันเกิดขึ้น เลยคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อเรียนต่อปริญญาเอกในเรื่องเดิมต่อไป จนในที่สุดพี่ปิงก็สามารถตีพิมพ์งานวิจัยระดับโลกตามที่คาดหวังได้สำเร็จ และงานวิจัยที่เขาภูมิใจที่สุดคือการได้ตีพิมพ์ในวารสาร ACM SIGCOMM CCR เพราะเป็นวารสารงานวิจัยที่เน้นเรื่องการคิดค้นไอเดียใหม่ นักวิจัยที่มีชื่อเสียง และหลายๆงานวิจัยที่ได้รางวัล "ACM SIGCOMM Test of Time Paper Award" ก็ตีพิมพ์ที่วารสารนี้
4
#คิดจะเรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอกที่ต่างประเทศบ้างไหม
พี่ปิงบอกว่าไม่เคยมีความคิดที่จะเรียนต่อต่างประเทศเลยแม้ที่บ้านจะสนับสนุนก็ตาม
1
เหตุผลคือ เขาเปิดบริษัทในไทยไปแล้วถ้าเรียนต่อต่างประเทศไปพร้อมกันอีกก็คงจะลำบาก ส่วนช่วงปริญญาเอกก็มุ่งมั่นว่าจะตีพิมพ์งานวิจัยในชื่อของมหาวิทยาลัยไทยเท่านั้น ที่สำคัญคือตอนเรียนเขาโชคดีที่ได้อาจารย์ที่ปรึกษาที่เก่งมาก พอได้อาจารย์ท่านนี้เป็นที่ปรึกษาพี่ปิงจึงมีความมั่นใจว่าอาจารย์จะผลักดันให้เขาไปไกลได้อย่างแน่นอน สุดท้ายเขาเลยตัดสินใจเรียนปริญญาเอกที่ประเทศไทย
2
#จุดเปลี่ยนที่ทำให้ออกจากบริษัทที่สร้างมากับมือ
1
“ตลกมากครับตอนนั้น” พี่ปิงตอบ
หลังจากแต่งงานแล้วและดูแลบริษัทมาเข้าปีที่ 11 ภรรยามีความฝันว่าอยากลองใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ และก็อยากให้พี่ปิงพัฒนาศักยภาพตัวเองและเปิดมุมมองในต่างประเทศมากขึ้น เขาเลยต้องคิดจริงจังว่าจะเอาบริษัทเดิมไปทำต่อต่างประเทศหรือจะเปิดบริษัทใหม่ที่ต่างประเทศไปเลย แต่คำตอบคือทั้งสองทางเป็นไปได้ยากมากๆ เพราะไปต่างประเทศไม่มีคอนเนคชั่นอะไรเลย ไม่รู้จักใครเป็นพิเศษ เขาจึงเลือกที่จะสมัครงานแทน แต่ก็ต้องเลือกบริษัทที่ดีและมีแนวโน้มที่จะก้าวหน้าในอนาคต ซึ่งสุดท้ายก็ได้เข้าทำงานที่ Facebook สิงคโปร์
5
ช่วงที่ออกมาจากบริษัท สถานะของบริษัทคือเติบโตแบบช้าๆ แต่มีรายได้เข้ามาจากหลายทาง เขายอมรับว่ารู้สึกเสียดายที่ออกมาตอนนั้น เนื่องจากตอนนั้นบริษัทกำลังร่วมลงทุนกับบริษัทหนึ่งอยู่ โดยที่ผู้บริหารบริษัทที่จะร่วมลงทุนด้วยเป็นคนที่เก่งมากๆ
2
แต่ก็อยากจะลองใช้ชีวิตในต่างประเทศดูสักครั้งในชีวิต ถ้าไม่ตัดสินใจออกมาในตอนนั้นก็คงจะอยู่ประเทศไทยตลอดชีวิตไปแล้ว แต่พี่ปิงก็ยังย้ำอีกครั้งว่าเสียดายมาก ถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกอยากทำที่บริษัทของตัวเองอยู่
1
#ตอนที่ไปทำงานที่สิงคโปร์ได้อะไรบ้าง
พี่ปิงทำตำแหน่ง Solutions Engineer เป็นลูกผสมระหว่าง Software Engineer กับ Technical Consultant เนื้องานคือทำให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตได้ด้วยการใช้เทคโนโลยี ถ้าเทคโนโลยีไม่พร้อมก็สร้างซอฟต์แวร์มาเพื่อช่วยเสริม
#โอกาสเข้ามาแบบไหนถึงได้ย้ายงานจากสิงคโปร์มาอเมริกา
ช่วงที่พี่ปิงทำงานอยู่ที่สิงคโปร์ก็ได้คุยกับผู้จัดการไว้ว่าถ้ามีโอกาสก็อยากลองไปทำงานที่อเมริกา และบริษัท Facebook เป็นบริษัทที่สนับสนุนให้คนย้ายตำแหน่งงานภายในบริษัทอยู่แล้ว ช่วงนั้นบังเอิญว่าสำนักงานที่ New York มีตำแหน่งว่างพอดี ผู้จัดการเลยมาแนะนำ พี่ปิงก็สมัครตามขั้นตอนจนได้งาน เลยได้ย้ายมาที่อเมริกาในครั้งนั้น
2
#มีแรงกดดันขนาดไหนตอนที่ย้ายบริษัทจากสิงคโปร์มาที่อเมริกา
พี่ปิงเล่าว่าบริษัทต่างชาติสนับสนุนให้เราเติบโตเต็มที่ เพราะตอนคัดคนเข้ามาก็โหดมากแล้วถ้าผ่านจุดนั้นมาได้ คนที่มีความสามารถก็ควรที่จะเติบโต
แต่ก็มีจุดที่พี่ปิงกังวลเหมือนกันคือเรื่องภาษา โดยเฉพาะการพูดและฟัง ช่วงที่ย้ายไปใหม่ๆ มีครั้งนึงที่ประชุมให้พี่ปิงแนะนำตัวเองแต่พี่ปิงฟังไม่เข้าใจ เพราะไม่คุ้นชินกับสำเนียง พี่ปิงเลยพยายามศึกษาภาษาเพิ่มเอาทุกคืน เรียนอยู่ประมาณ 2 ปี ก็ทำให้การสื่อสารลื่นไหลมากขึ้น
1
#11ปีของการทำบริษัทของตัวเองกับการทำงานในบริษัทใหญ่แตกต่างกันขนาดไหน
1
“ต่างกันเยอะเหมือนกันครับ” พี่ปิงกล่าว
เพราะการทำบริษัทใหญ่ทุกคนมีความเป็นมืออาชีพมากๆ ทุกอย่างเป๊ะไปหมด ต้องคอยประชุมกับหลายทีมไม่ใช่แค่ทีมตัวเอง และที่ต่างที่สุดคือความพยายามทำให้ทุกงานมี impact ที่สุดและวัดผลได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
2
#ประสบการณ์การเรียนที่ไทยไปทำงานที่ต่างประเทศ
1
“ทำงานในบริษัทต่างชาติ ถึงเราจะเป็นคนเอเชียแต่ถ้าเราตั้งใจจนสามารถพิสูจน์ความสามารถของเรากับคนต่างชาติได้ เค้าก็จะยอมรับเรา” พี่ปิงบอกว่าคำพูดที่ว่า “คนไทยที่ไปทำงานบริษัทต่างชาติจะโดนกด คำพูดนี้ไม่จริง” เพราะพี่ปิงก็พิสูจน์เองกับตัวเเล้วว่าคนไทยก็สามารถเติบโตในบริษัทระดับโลกได้
1
#อยากทำงานต่างประเทศต้องเรียนจบต่างประเทศจริงเสมอไปไหม
ถ้าจะทำงานที่อเมริกาก็จำเป็นต้องใช้วีซ่าสำหรับทำงานโดยเฉพาะ ซึ่งกว่าจะได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญส่วนใหญ่เลยแนะนำว่าให้ไปเรียนที่อเมริกาเพราะเรียนจบมาจะได้วีซ่าทำงานทันที แต่พี่ปิงก็พิสูจน์แล้วว่าเรียนที่ไทยก็สามารถมาทำงานที่อเมริกาได้
พี่ปิงมีความเชื่อว่า เราไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่ที่คนอื่นบอกว่าต้องอยู่ถึงจะประสบความสำเร็จ เพราะตัวพี่ปิงเองก็ไม่ได้เรียนมาในโรงเรียนชื่อดังอะไร แต่ก็สามารถเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ ไม่ได้เรียนต่อต่างประเทศก็สามารถตีพิมพ์งานวิจัยระดับโลกได้ และสุดท้ายคือจบมหาลัยไทยก็ทำงานบริษัทชั้นนำระดับโลกได้ เราต้องมั่นใจในความเชื่อของตัวเอง แล้วพิสูจน์ให้มันเป็นจริงให้ได้
4
#วางแผนอนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
1
พี่ปิงมองไว้สองทาง ทางแรกอยากทำสตาร์ทอัพ โดยอาจจะกลับมาทำบริษัทเดิมที่เคยร่วมก่อตั้งหรือไม่ก็ทำบริษัทใหม่ อีกทางนึงคือเนื่องจากรู้สึกว่ามีคนไทยที่ประสบความสำเร็จในองค์กรใหญ่ๆในอเมริกา มีน้อยมาก เลยอยากทำที่ Facebook ต่อไปเพื่อพิสูจน์ว่าจะไปได้ไกลขนาดไหน
#Balanceชีวิตคู่และชีวิตการทำงาน
1
พี่ปิงมีเป้าหมายที่อยากให้ทุกวันมีความสุข และทุกวันจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อคนข้างๆ มีความสุขด้วย เขาจึงตั้งใจว่าต้องหาจุดที่สามารถมีความสุขด้วยกันทั้งคู่ได้ ตอนที่จะย้ายจากสิงคโปร์ไปอเมริกาเป็นช่วงที่พี่ปิงกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง ถ้าย้ายไปอเมริกาก็ต้องเริ่มต้นงานใหม่ แต่ภรรยาจะมีความสุขมากเพราะได้ย้ายไปอยู่ New York ซึ่งเป็นเมืองในฝันที่อยากไปใช้ชีวิต และที่สำคัญคือภรรยาก็มั่นใจว่าพี่ปิงสามารถเลื่อนตำแหน่งได้แน่นอนไม่ว่าอยู่ที่ไหน เลยตัดสินใจที่จะย้ายมาที่อเมริกา สุดท้ายจากความตั้งใจและความพยายามก็ทำให้ได้เลื่อนตำแหน่งในบริษัทใหม่จนได้
4
#อยากบอกอะไรกับตัวเองในอดีต
1
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากจะเปิดมุมมองของตัวเองให้มากขึ้น อยากเห็นอาชีพต่างๆมากขึ้น โตมาเลยจัดตั้งสมาคมโปรแกรมเมอร์ไทยขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับอาชีพนี้กับเด็กๆ เหมือนเป็นการให้ของขวัญตัวเองในวัยเด็กไปด้วย
3
จริงๆ ในชีวิตพี่ปิงก็รู้สึกว่ามีสิ่งที่เสียดายเหมือนกัน เช่น ก่อนทำบริษัทตัวเองน่าจะลองทำในบริษัทใหญ่ๆ ดูก่อนจะได้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้น ถ้าตอนนั้นมีความรู้และประสบการณ์มากเท่าตอนนี้ เขาคงพาบริษัทไปได้ไกลกว่าเดิมมาก
2
“หาความชอบของเราให้เจอ ทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด ให้มีผลงานที่เรามองกลับมาเมื่อไหร่เราก็จะภูมิใจกับมันเสมอ” พี่ปิงกล่าวทิ้งท้าย
1
#careerfact
………………
Career Fact เพราะทุกอาชีพ... มีเรื่องราว
พูดคุยเรื่องการงาน ถกประเด็นต่างๆ แบ่งปันความรู้
เข้าร่วมกลุ่ม อู้งานมาคุย by Career Fact
1
โฆษณา