23 ก.พ. 2021 เวลา 22:59 • ปรัชญา
“คนฉลาดจะรอฉลองวันไม่เกิด”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
พวกเรามักจะคิดว่าการเกิดนี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะเราคิดว่าเมื่อเราเกิดแล้วเราจะได้ใช้ร่างกายไปหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ ไปหาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกัน เราจึงมักจะชอบฉลองวันเกิดกัน พอถึงวันครบรอบวันเกิดนี้แทนที่เราจะหวาดกลัวเสียใจ เรากลับไปดีใจที่เราได้มาเกิดกัน มาฉลองวันเกิดกัน เพราะว่าเรายังไม่ได้มองไปไกลกว่าปัจจุบันของร่างกายที่ยังแข็งแรง ที่ยังมีความสามารถที่จะหาความสุขต่างๆ ให้กับเราได้อยู่นั่นเอง แต่ถ้าเราเฉลียวสักนิดฉลาดสักหน่อย คือมองไกลจากปัจจุบัน เราก็จะเห็นอนาคตของร่างกายของพวกเราว่า  นั่นก็เป็นเพราะว่าเราไม่มองไปข้างหน้ากัน เรามองแต่ในปัจจุบัน มองในขณะที่ร่างกายของเราแข็งแรงสมบูรณ์พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของเรา พร้อมที่จะพาเราไปหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกัน เราก็เลยชอบฉลองวันเกิดกัน พอครบรอบวันเกิดครั้งหนึ่งก็ฉลองวันเกิดกันใหญ่โดยไม่รู้สึกตัวว่ากำลังฉลองความทุกข์กัน ฉลองความทุกข์ที่จะตามมาต่อไปในอนาคต
เพราะว่าร่างกายของพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะรวยจะจนจะใหญ่จะเล็กนี้จะต้องเจอกับความแก่ เจอกับความเจ็บไข้ได้ป่วย เจอกับความตายด้วยกันทุกคน ดังนั้นคนฉลาดถึงมักจะไม่ฉลองวันเกิดกัน คนฉลาดนี้จะรอฉลองวันไม่เกิดกัน วันที่ไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุขอีกต่อไป จะฉลองในวันนั้นว่า บัดนี้เราไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุขให้กับเราแล้ว เราไม่ต้องพึ่งร่างกายอีกต่อไปแล้ว ร่างกายจะเป็นจะตายไม่เป็นปัญหากับเราอีกต่อไปแล้ว เราจะไม่มีร่างกายใหม่อีกต่อไป ร่างกายที่เรามีอยู่ในปัจจุบันนี้จะเป็นร่างกายอันสุดท้ายของเรา เราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เพราะเราไม่ต้องการที่จะมาเจอความทุกข์จากร่างกายนี้เอง นี่แหละคือพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย ท่านเป็นคนฉลาด ท่านจะฉลองวันไม่เกิดกัน แต่พวกเรานี้เรายังเป็นคนไม่ฉลาด เรายังไม่เห็นความทุกข์ที่มีกับการมาเกิด กับการมามีร่างกายกัน เราก็เลยมาฉลองต้อนรับร่างกายของเรากัน เพราะเราคิดว่าเรามีเครื่องมืออันวิเศษ คือมีร่างกายที่จะคอยหาความสุขต่างๆให้กับเรานั่นเอง แต่เราลืมไปว่าร่างกายนี้ไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องเข้าสู่ความแก่ เข้าสู่ความเจ็บไข้ได้ป่วย และเข้าสู่ความตาย และบางทีอาจจะเจ็บไข้ได้ป่วยก่อนแก่ก็ได้ และตายก่อนที่จะป่วยหรือจะแก่ก็ได้ บางคนตายแบบกะทันหัน ร่างกายยังแข็งแรงเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แต่ไปเจออุบัติเหตุอุบัติภัยเข้า รถคว่ำตายบ้าง ถูกเขาฆ่าตายบ้าง นี่เป็นเรื่องของร่างกายของพวกเราทุกคน ที่พวกเราไม่ควรที่จะประมาทนอนใจ ไม่ควรที่จะหลงใหลไปกับความเข็งแรงของร่างกายของเราในขณะนี้ เราต้องพยายามมองไปข้างหน้า เรื่องเกี่ยวกับร่างกายของเราทุกคนไม่มีข้อยกเว้น
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าร่างกายของพวกเราทุกคน “เมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ ย่อมมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความเจ็บไข้ได้ป่วยไปไม่ได้ ย่อมมีความตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้” ให้เราหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ และอีกอย่างหนึ่งที่เราล่วงพ้นไปไม่ได้ก็คือการพลัดพรากจากกัน เพราะเราจะไม่ได้อยู่ร่วมกันไปตลอดไม่ว่าจะรักกันมากขนาดไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิทมิตรสหายเป็นพ่อแม่ลูกกันก็ยังต้องมีการพลัดพรากจากกันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว ไม่จากกันตอนเป็นก็ต้องจากกันตอนตาย นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเรามาศึกษามาสอนตัวพวกเราให้รู้ว่าอนาคตของร่างกายของพวกเราจะเป็นอย่างไร เราจะได้ไม่ไปหลงระเริงกับการมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงในขณะนี้ แล้วเราจะได้เริ่มคิดเปลี่ยนวิธีหาความสุขกันว่า วิธีที่เราหาความสุขแบบนี้มันจะต้องเจอกับความหายนะในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน ถ้าเป็นเหมือนเรือที่เรานั่งอยู่ก็เป็นเรือที่จะต้องจมลง
เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเรือจะจมนี้เราจะต้องเตรียมชูชีพกันเอาไว้ ก่อนที่จะลงเรือที่จะจมนี้เราต้องเตรียมชูชีพเพราะว่าเวลาที่เรือจมเราจะได้อาศัยชูชีพช่วยพยุงร่างกายของเราไม่ให้จมลงไปกับเรือนั่นเอง ฉันใดร่างกายของพวกเรานี้ก็เป็นเหมือนเรือที่พาเราล่องในทะเลหาความสุข เหมือนพวกเรือสำราญต่างๆ เรือสำราญนี่เขามีเครื่องอำนวยความสุขเหมือนกับอยู่บนดินเลย มีความสุขทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย การบันเทิงมหรสพอะไรต่างๆ มีพร้อมให้ผู้ที่โดยสารในเรือนั้นเพลิดเพลินโดยไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองกำลังลอยอยู่กลางทะเล และมีโอกาสที่เรือจะล่มได้ ถ้าเกิดวันดีคืนดีเรือไปเจอมรสุมเกิดพายุทำให้เรือล่มลง ผู้ที่อยู่ในเรือถ้าไม่มีชูชีพเตรียมไว้ก่อนก็ต้องจมลงไปกับเรือ ร่างกายของพวกเรานี้ก็เป็นเหมือนเรือที่พวกเราอาศัยกันอยู่ เรือสำราญที่พาให้เราไปหาความสุขชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้กัน แต่พวกเราลืมไปว่าเรือที่พวกเราอาศัยอยู่นี้มันจะต้องอับปางลงวันใดวันหนึ่ง ถ้าเราไม่ได้เตรียมชูชีพเอาไว้เวลาเรืออับปางเรือล่มลงเราก็จะต้องจมลงไปกับเรืออย่างแน่นอน
นี่คือสิ่งที่เราควรที่จะรำลึกอยู่เรื่อยๆ สอนใจอยู่เรื่อยๆ ว่าเราเป็นเหมือนผู้โดยสารบนเรือที่จะต้องอับปางกลางทะเล ถ้าเราไม่อยากที่จะต้องจมน้ำลงไปกับเรือก็อย่าลงเรือ หรือถ้าลงเรือแล้วก็เตรียมหาชูชีพ การไม่ลงเรือก็คือการอย่ากลับมาเกิด แต่ถ้าเมื่อเกิดแล้วเราก็ต้องมาเปลี่ยนวิธีหาความสุขกัน มาเปลี่ยนวิธีที่จะไม่ต้องทำให้เราต้องพึ่งร่างกายกัน ให้เราเปลี่ยนที่พึ่งใหม่ ให้เราเตรียมชูชีพขึ้นมาเวลาที่ร่างกายอับปางเวลาที่ล่มจมเราจะได้มีชูชีพที่จะพยุงให้จิตใจของพวกเรานี้ไม่ล่มจมไปกับร่างกาย ชูชีพนี้ก็คือการปฏิบัติตามคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้านี่เอง ปฏิบัติ ศีล สมาธิ และปัญญา
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โฆษณา