25 ก.พ. 2021 เวลา 05:08 • ท่องเที่ยว
วัดปากน้ำภาษีเจริญ
“วัดปากน้ำ” .. เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกใหญ่ อันเป็นลำแม่น้ำเจ้าพระยาเดิม ก่อนที่จะมีการขุดคลองลัดหน้าวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร และกลายเป็นลำแม่น้ำเจ้าพระยาในปัจจุบัน
“วัดปากน้ำ” .. ได้ชื่อมาจากสถานที่ตั้งของวัด ซึ่งตั้งอยู่บริเวณปากคลองด่าน ที่แยกไปจากคลองบางหลวง จึงถูกเรียกขานตามตำบลที่ตั้งว่า “วัดปากน้ำ” ซึ่งชื่อนี้มีปรากฏเรียกใช้ในจดหมายเหตุโบราณหลายฉบับ แต่ได้พบชื่อของวัดที่แปลกออกไปในแผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2453 และ พ.ศ. 2474 ว่า “วัดสมุทธาราม” แต่ไม่เป็นที่นิยมเรียกขานกัน และยังคงเรียกว่า “วัดปากน้ำ” ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
“วัดปากน้ำ” .. เป็นวัดโบราณสร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง (ระหว่าง พ.ศ. 2031-2172) สถาปนาโดยพระราชวงศ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่ปรากฏพระนามแน่ชัด
สถาปัตยกรรมและศิลปวัตถุที่อยู่คู่วัดมาเช่น หอพระไตรปิฏก ตู้พระไตรปิฎกทรงบุษบก ล้วนเป็นฝีมือช่างหลวงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และตัวพระอุโบสถก็ใช้เทคนิคการก่อสร้างในสมัยนั้น ได้ค้นพบนามเจ้าอาวาส 1 รูป ในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) คือ พระครูธนะราชมุนี วัดปากน้ำ ได้มีบทบาทสำคัญมาแต่โบราณเพราะได้รับสถาปนาเป็นพระอารามหลวงที่อยู่นอกกรุงศรีอยุธยา เป็นวัดสำคัญประจำหัวเมืองหน้าด่านทางทะเล
คณะของเรา รวมถึงผู้คนหลายคนที่มาที่วัดแห่งนี้ ด้วยความตั้งใจที่จะมากราบไหว้ "หลวงพ่อสด" หรือ "หลวงพ่อวัดปากน้ำ" พระเกจิชื่อดังที่มีพุทธศาสนิกชนเลื่อมใสมากมาย ... เราเดินตรงเข้ามาที่ด้านใน เพื่อสักการะรูปหล่อเหมือนของหลวงพ่อสด มาจุดธูปเทียนบูชา และสามารถปิดทองที่รูปหล่อได้ โดยรูปหล่อนี้หล่อขึ้นจากโลหะ และนำมาประดิษฐานไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2527
"หอสังเวชนีย์มงคลเทพนิรมิต" หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “หอหลวงพ่อ” .. เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนในการมากราบสรีระของหลวงพ่อสดที่อยู่ในโลงทอง รวมถึงประกอบบุญกุศลต่างๆและการนั่งสงบจิตทำสมาธิ
พระอุโบสถของวัด ... ประดิษฐานพระประธาน เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง ศิลปะอยุธยา ซึ่งพระพักตร์จะคล้ายกับพระมงคลบพิตรในวิหารมงคลบพิตร จ.อยุธยา ... ในวันที่เราไปเยือนนั้น พระอุโบสถปิด
“พระพุทธธรรมกายเทพมงคล” ... พระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งรูปแบบของพระพุทธรูปนั้น สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ จัดสร้างขึ้นตามนิมิตของหลวงพ่อสด อดีตเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ซึ่งหลวงพ่อสดนิมิตเห็นลักษณะของพระพุทธรูปนี้ในขณะที่กำลังเจริญสมาธิกรรมฐาน
พระพุทธรูปดังกล่าวเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ เกศดอกบัวตูม สร้างจากแผ่นทองแดง องค์พระมีขนาดใหญ่ สูง 69 เมตร เทียบเท่าตึก 20 ชั้น หน้าตักกว้าง 40 เมตร สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
1
“พระพุทธธรรมกายเทพมงคล” ... เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่โตมาก การสร้างจึงมีความซับซ้อนพอสมควร ต้องใช้การตีแผ่นทองแดงประกอบขึ้นตามรูปแบบหุ่นองค์พระ จากนั้นจึงตัดชิ้นส่วนขององค์พระออกขนาดประมาณ 2-3 เมตร บรรทุกใส่ตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งทางเรือจากเมืองเซียะเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน และมาประกอบขึ้นรูปเป็นองค์พระพุทธรูป ที่วัดปากน้ำ
ส่วนดอกบัวสัตตบงกช หล่อขึ้นด้วยทองคำน้ำหนักประมาณ 6 กิโลกรัม ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ นำไปบรรจุไว้ภายในพระเกศ “พระพุทธธรรมกายเทพมงคล” ขณะที่หัวใจขององค์พระหล่อขึ้นด้วยทองคำน้ำหนักประมาณ 6 กิโลกรัมเช่นกัน นำไปบรรจุบริเวณหน้าอกด้านซ้ายขององค์พระ
"พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล" .. เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมผสมทรงกลม มีฐาน 9 ชั้น สร้างโดยผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนาและศิลปะรัตนโกสินทร์ และได้รับต้นแบบมาจากเจดีย์วัดโลกโมฬี จ.เชียงใหม่เพื่อเป็นอนุสรณ์ทางพระพุทธศาสนาให้พุทธศาสนิกชนรุ่นหลังได้เห็นความงดงามของสถาปัตยกรรมไทย
"พระมหาเจดีย์มหารัชมงคล" เป็นนามที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญองค์ปัจจุบันได้ตั้งขึ้น โดยมีความหมายคือ "มหารัช" หมายถึงแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่ และ "มงคล" มาจากราชทินนามของ "พระมงคลเทพมุนี" หรือ "หลวงพ่อสด" นั่นเอง
ตัวเจดีย์มีสีขาว ความสูงจากฐานถึงยอด 80 เมตร กว้าง 52 เมตร สูง 52 เมตร มี 5 ชั้น .. บริเวณปลียอดของพระมหาเจดีย์ฯ หุ้มด้วยทองคำน้ำหนัก 7,185.55 บาท ทั้งยังมีแผ่นทองคำกว้าง 9.9 เซนติเมตร ยาว 4.9 เมตร สลักคำว่า “สติ มตฺตญฺญุตา ชาตา” หมายความว่า สติเป็นเหตุให้เกิดเศรษฐกิจพอเพียง และ “ปญฺจสีลํ สุรกฺขิตํ โลกสฺสตฺถิ สนฺติสุขํ” หมายความว่า ศีล 5 ที่รักษาดีแล้ว สันติสุขย่อมมีแก่ชาวโลก
เราจะเริ่มการทัวร์พระมหาเจดีย์กันนะคะ
พระมหาเจดีย์บริเวณชั้นสอง ... สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือประตูทางเข้า เป็นประตูไม้สักทองแกะสลักรูปท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ประกอบด้วย ท้าวธตรัฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งตามความเชื่อในพระพุทธศาสนา เพื่อคอยให้ความคุ้มครอง และคอยดูแลรักษาพระมหาเจดีย์ บานประตูมีการลงรักปิดทองอย่างสวยงามจากทองคำเปลว 1 แสนแผ่น พร้อมทั้งประดับด้วยคริสตัล คิดเป็นมูลค่าบานประตูละ 2 ล้านบาท
ชั้น 5 (ห้องพุทธคุณารมณ์) เป็นที่ประดิษฐานของเจดีย์แก้ว มีชื่อเรียกว่า "พระรัตนเจดีย์ศรีมหามงคล" จำลองแบบมาจากพระมหาเจดีย์มหารัชมงคล
สร้างจากกระจกที่มีความหนา 1 เซนติเมตรมาซ้อนกัน 800 ชั้น (ลายกระแสน้ำ) กว่า 800 ชิ้น 800 ชั้นสูงกว่า 8 เมตร น้ำหนักกว่า 18 ตัน ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี
ด้านบนของเจดีย์แก้วบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และมีการสร้างเจดีย์ทองคำครอบบนยอดของเจดีย์
ส่วนที่บริเวณฐานจะใช้กระจกแกะสลักเป็นรูปพญานาคจำนวน 80 ตัว เท่ากับอายุของพระพุทธเจ้า ดวงตาพญานาค 160 คู่ สุกสกาวแวววาวดั่งมีชีวิต
และเจดีย์แก้วนี้เป็นแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีแก้วเป็นส่วนประกอบ
รอบๆโดม เป็นภาพขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียงรายโดยรอบ ... ด้านบนคล้ายเป็นภาพดาวเพดาน
มีภาพเขียนลายไทยที่วิจิตรรอบๆโถงหัอง ดละมีภาพที่มองดูเหมือนภาพชุมนุมเทวดา
ระเบียงด้านนอก ... สามารถออกไปเดินชมทัศนียภาพรอบๆ วัดในมุมสูงด้วย
ชั้น 4 (ห้องธัมมคุณารมณ์) เป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนบูรพาจารย์ของหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เช่น พระมหาเถระ และพระเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ผู้เป็นต้นแบบด้านคันถธุระ วิปัสสนาธุระ หรือผู้เป็นต้นแบบด้านการบริหาร หรือการปกครอง
ประกอบด้วยรูปหล่อทองคำพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หรือ "หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ" ขนาดเท่าครึ่งขององค์จริงหล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์หนักถึง 1 ตัน (1,000 กิโลกรัม)
ชั้นที่ 3 (ห้องสังฆคุณารมณ์) ห้องนี้ ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ ของที่ระลึก เครื่องสักการะที่ได้รับถวายมาในโอกาสต่างๆ
พระพุทธรูป รูปเหมือนบูรพาจารย์ พัดยศโบราณ ประวัติเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ซึ่งเขียนด้วยลายมือของท่านเอง
ชั้นที่ 2 (ธรรมกายคุณารมณ์) เป็นพื้นที่ว่างไว้สำหรับจัดประชุม สัมมนา และปฏิบัติธรรม รวมไปถึงพิธีการสำคัญต่างๆ เช่น พิธีมอบประกาศสำนักนายกเรื่อง พระราชทานวิสุงคามสีมา
"ห้องมหาชนคุณารมณ์" ในชั้น 1 เป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธบารมีมงคล" (พระพุทธรูปหยกเขียว) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปหยกจากประเทศอิตาลี ขนาดหน้าตัก 50 นิ้ว น้ำหนัก 1,600 กิโลกรัม รวมถึงเป็นสถานที่แสดงพิพิธภัณฑ์พื้นฐาน และสิ่งของเครื่องใช้โบราณจำนวนมาก เช่น สมุดข่อย ภาพถ่ายของเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เครื่องมือเกษตรกรรม เรือ รถม้า เครื่องเบญจรงค์ เครื่องปั้นดินเผา รวมไปถึงรถยนต์โบราณ หนึ่งในนั้นมีรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานครด้วย
Credit : ภาพจาก Internet
หอพระไตรปิฏก ซึ่งแต่เดิมนั้นสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่หอไตรหลังที่ปรากฏอยู่นี้ สร้างขึ้นใหม่จากการถอดแบบของเดิม ทำลวดลายเดิม มีการลงรักปิดทองฝาผนังด้านนอกทั้งหลัง
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปกับ พี่สุ
ท่องเที่ยวทั่วโลก กับพี่สุ
ซีรีย์เที่ยวเจาะลึก ประเทศนอร์เวย์
Iceland ดินแดนแห่งน้ำแข็งและเปลวไฟ
Lifestyle & อาหารการกิน แบบพี่สุ
สถานีความสุข by Supawan
โฆษณา