27 ก.พ. 2021 เวลา 03:30 • ไลฟ์สไตล์
Sporty and Rich เสื้อผ้าสไตล์สปอร์ต ที่สวยเกินกว่าใส่แค่ในยิม
1
แฟชั่นแต่งตัวง่ายๆ สบายๆ ดูเหมือนจะเป็นเทรนด์ที่มาแรงมาตั้งแต่ปี 2020
ที่หลายๆ คนเลือกใส่เสื้อผ้าที่เน้นความคล่องตัว อย่างเสื้อยืดคู่กับกางเกงวอร์ม
แต่การแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูสบาย ให้ดูดีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
แล้วเราจะแต่งตัวสไตล์สปอร์ตอย่างไร ให้ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งออกมาจากยิมกันล่ะ?
วันนี้ลงทุนเกิร์ลจะพามารู้จักแบรนด์ Sporty and Rich ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแนวกีฬาธรรมดาๆ ให้ดูมีเสน่ห์
และเป็นเอกลักษณ์ของคนรักสุขภาพอีกด้วย
ซึ่งแบรนด์นี้ยังฮิตมากๆ ในกลุ่มวัยรุ่นและเหล่าเซเลบริตีชื่อดังระดับโลก รวมถึงในประเทศไทย
อย่างเช่น Hailey Bieber, เต้ย จรินทร์พร, คิม คิมเบอร์ลี และเจนี่ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร
แล้วแบรนด์นี้น่าสนใจอย่างไร? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
Sporty and Rich คือ แบรนด์เสื้อผ้าแนวสตรีตแฟชั่นจากประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่มีกลิ่นอายย้อนยุค เน้นความสวยใส่สบายเหมาะสำหรับใส่อยู่บ้าน
แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ดูเรียบหรูในลุคสปอร์ต
1
ซึ่งจุดเด่นของแบรนด์นี้คือความมินิมัลที่มีไม่กี่สี และมีเพียงโลโก้แบรนด์สกรีนอยู่บนสินค้าเท่านั้น
นอกจากชุดที่ดูดีมีสไตล์แล้ว การสร้างแบรนด์ Sporty and Rich ยังน่าสนใจไม่น้อย
เพราะมันถูกสร้างจากการโพสต์รูปลงบนอินสตาแกรมเท่านั้น
1
โดยรูปเหล่านี้ ถูกโพสต์โดยคุณ Emily Oberg ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์นี้
คุณ Oberg เป็นอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังชาวแคนาดา ที่ปัจจุบันมีผู้ติดตามบนอินสตาแกรมส่วนตัวกว่า 3 แสนคน
1
และก่อนหน้าที่แบรนด์ Sporty and Rich จะเป็นแบรนด์เสื้อผ้าอย่างทุกวันนี้
Sporty and Rich นั้นเคยเป็นนิตยสารแฟชั่นมาก่อน
1
ย้อนกลับไปเมื่อปี 7 ก่อน คุณ Oberg เพิ่งย้ายจากประเทศแคนาดา มาทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยทำงานที่ Complex Magazine บริษัทนิตยสารในตำแหน่งบรรณาธิการนิตยสาร ด้วยอายุเพียง 21 ปี เท่านั้น
ซึ่งตอนแรกที่คุณ Oberg ย้ายมาทำงานที่ต่างประเทศครั้งแรก
เธอยังปรับตัวได้ไม่ดีนัก ทำให้เธอมักใช้เวลาว่างหมดไปกับการเล่นสื่อโซเชียลเป็นหลัก
ประจวบกับที่เธอทำงานในสื่อแฟชั่น ทำให้เธอมักอัปเดตเทรนด์แฟชั่น
เช่น การแต่งตัวหรือแรงบันดาลใจต่างๆ ลงบนอินสตาแกรมของเธอเป็นประจำ
ซึ่งรูปภาพที่เธอลงบ่อยๆ มักจะเป็นสิ่งของแนววินเทจย้อนยุค
ไม่ว่าจะเป็นรถเก่า รูปจากกล้องฟิล์ม หรือแม้แต่การแต่งตัวในสไตล์ยุคปี 70s จนถึงปี 90s
คุณ Oberg ลงรูปภาพของเธอไปเรื่อยๆ จนอินสตาแกรมของเธอเสมือนเป็น “มูดบอร์ด”
หรือ “กระดาษรวบรวมไอเดีย” ให้กับใครหลายๆ คน
จนกระทั้งในปี 2016 รูปภาพของเธอทั้งหมดก็สามารถทำเป็นนิตยสารแฟชั่นเป็นเล่มได้
โดยเธอตั้งชื่อนิตยสารของเธอว่า Sporty and Rich ซึ่งยังอยู่ภายใต้บริษัท Complex Magazine
ในขณะเดียวกันเธอก็ยังพัฒนาสายงานของเธอต่อไป
จากบรรณาธิการสู่ที่ปรึกษาด้าน Creative ให้กับเสื้อผ้าแบรนด์หรูอย่าง Kith Women
ดูเหมือนว่าคุณ Oberg ประสบความสำเร็จในสายงานของเธอแล้ว
แต่เรื่องราวของเธอยังไม่จบเพียงเท่านี้
เพราะในปี 2018 เธอก็เริ่มอยากสร้างแบรนด์เสื้อผ้า Sporty and Rich อย่างจริงจัง
โดยคอลเลกชันแรกมีเพียงแค่เสื้อสเวตเตอร์ ฮูดดี้ และเสื้อยืดเท่านั้น
แต่ปัจจุบัน แบรนด์เป็นที่นิยมอย่างมากจนสามารถแตกไลน์สินค้ามากมาย
ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ ตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมทั้งยังมีสินค้าเกี่ยวกับกีฬาอีกด้วย
และที่น่าสนใจกว่านั้น ก็คือ เสื้อผ้าแบรนด์ Sporty and Rich ไม่สามารถซื้อเมื่อไรก็ได้
เพราะสินค้าทุกชิ้นของ Sporty and Rich ต้อง “สั่งซื้อล่วงหน้า”
โดยทางแบรนด์จะแจ้งวันที่เปิดจองบนเว็บไซต์
และหลังจากปิดยอดการสั่งซื้อ ทางแบรนด์จะผลิตสินค้าตามจำนวนยอดที่สั่งไว้
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสินค้าค้างสต็อก และกลายเป็นขยะในที่สุด
เพราะจุดมุ่งหมายของแบรนด์นี้ ก็คือ “ความยั่งยืน”
อย่างที่รู้กันดีว่า อุตสาหกรรมแฟชั่นสร้างมลพิษทางขยะให้กับโลกมากมาย
นอกจากจะก่อมลพิษระหว่างการผลิต ยังยากที่จะทำลายอีกด้วย
ทำให้คุณ Oberg พยายามที่สร้างสินค้าโดยรบกวนธรรมชาติให้น้อยที่สุด
รวมทั้งแพ็กเกจห่อสินค้าทุกชิ้น ยังสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ 100%
รวมทั้งแบรนด์ Sporty and Rich ยังจับมือร่วมกับ “องค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร”
โดยจะแบ่งกำไรบางส่วนให้กับพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือ
เช่นแคมเปญสั่งซื้อสินค้า 1 ครั้ง = ต้นไม้ 1 ต้น
โดยทุกๆ ยอดการสั่งซื้อ 1 ครั้ง จะเท่ากับการปลูกต้นไม้ 1 ต้น ที่ประเทศมาดากัสการ์
ร่วมกับโครงการ Eden Reforestation Projects
และในทุกๆ ปี ที่หลายแบรนด์มักจะลดสินค้าในวัน “Black Friday”
แต่แบรนด์ Sporty and Rich กลับเลือกวันนี้เป็น “Green Day”
ที่จะขายในราคาเท่าเดิม แต่บริจาค 20% ของรายได้ให้กับองค์กรการกุศลที่ชื่อ “1% For the Planet” แทน
2
อย่างที่บอกข้างต้นว่า จุดเด่นของแบรนด์ Sporty and Rich
คือ การนำเสนอเสื้อผ้าที่เรียบง่ายสวมใส่สบาย
1
ทำให้ยุคโรคระบาดไม่มีผลกระทบกับทางแบรนด์เลย
เพราะคนส่วนใหญ่เริ่มมองถึง “ความจำเป็น” ในการซื้อเสื้อผ้า
มากกว่า การซื้อตามแฟชั่นแต่ไร้ประโยชน์
ซึ่งนั่นก็ทำให้ได้แบรนด์ Sporty and Rich รับผลประโยชน์จากการกักตัว
และมียอดขายเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
 
ใครจะไปคิดว่า การโพสต์รูปลงในอินสตาแกรม จะสามารถสร้างแบรนด์เสื้อผ้าจนกลายเป็นที่นิยมได้
อย่างไรก็ตาม หาก Sporty and Rich เป็นแค่แบรนด์เสื้อผ้าที่มาเพียงแค่กระแส
และไม่มีเอกลักษณ์น่าจดจำ ก็คงไม่สามารถสร้างแบรนด์ได้ประสบความสำเร็จขนาดนี้
แต่ Sporty and Rich กลับเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่ใส่ใจมากกว่าคุณภาพของสินค้า
นั่นก็คือพยายามเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญ ในการเป็นแบรนด์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
และพยายามสร้างอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ยั่งยืน
1
โฆษณา