17 ธ.ค. 2018 เวลา 11:39 • กีฬา
แดงเดือด ที่สนุกอยู่ฝ่ายเดียว นี่คือบทสรุป 23 ข้อ ของเกม ลิเวอร์พูล vs แมนฯยูไนเต็ด คืนวันอาทิตย์
1
พูดถึง เกม "แดงเดือด" เราจะคิดถึงเกมของ 2 ทีมที่สู้กันแบบดุเดือดเลือดพล่าน ใบแดงเป็นแดง แต่ในความรุนแรง ก็เต็มไปด้วยเทคนิคอันร้ายกาจ ต่างคนต่างถือศักดิ์ศรีไม่มีใครยอมใคร
แต่เกมลิเวอร์พูล ชนะแมนฯยูไนเต็ด เมื่อคืนนี้ มันไม่ใช่แบบนั้นเลย ถามว่าสนุกไหม ก็ใช่ แต่ก็คาดหวังอะไรที่มากกว่านี้ โดยเฉพาะจากฝั่งแมนฯยูไนเต็ด
1) จุดที่น่าสนใจในไลน์อัพ ของลิเวอร์พูลคือ การกลับมาของนาธาเนียล ไคลน์ เพราะคล็อปป์ไม่เหลือแบ็กขวาในมืออีกแล้ว (เทรนต์,โกเมซ,มิลเนอร์ เจ็บหมด) ต้องดันเอาไคลน์ลงเล่นเกมแรกในซีซั่นนี้
2) ส่วนการวางกองกลางก็น่าสนใจ คล็อปป์เลือกถอดจอร์แดน เฮนเดอร์สันออก เพราะเกมนี้ ต้องการใช้ gegenpressing นั่นคือเล่นเพรสเต็มรูปแบบ ลุยบุกเข้าไป พอเสียบอลก็เร่งเพื่อแย่งบอลกลับมา และแผนนี้ นักเตะต้องมีความเร็วในการเคลื่อนที่ เพราะต้องวิ่งตลอด ดังนั้น คล็อปป์จึงเลือก ไวจ์นัลดุม, ฟาบินโญ่ และ เกอิต้า ที่มีพลังร่างกายมากกว่าเฮนเดอร์สัน
3) แมนฯยูไนเต็ด เกมนี้วางแผนคือ 3-4-3 และเปลี่ยนผู้เล่นจากเกมแพ้บาเลนเซียถึง 9 คน (เหลือแค่ลูกากู กับ เอริค ไบยี่ ที่เป็นตัวจริงต่อ)
นัดนี้น่าสนใจ เพราะวางกองหลังมา 3 คน ซึ่งเอาจริงๆเป็นแผนที่มั่วง่าย กองหลัง 3 คน ยืนกันสับสนเมื่อไหร่ก็จบ แล้วแนวรับของแมนฯยูไนเต็ดเกมนี้ แต่ละคนก็เล่นกันไม่ชัวร์เลย ลินเดอเลิฟ เลี้ยงตรงๆทื่อๆ จนโดนมาเน่ ตัดบอล เกือบจะเสียประตูตั้งแต่ต้นเกม
4) กรรมการเกมแดงเดือด คือมาร์ติน แอตกินสัน วัย 47 ปี ผู้ตัดสินที่อายุมากที่สุดอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก (เป็นรองแค่ไมค์ ดีน,โจนาธาน มอสส์ และ อันเดร มาร์ริเนอร์) นี่คือคนที่ไล่สตีเว่น เจอร์ราร์ดออกจากสนาม ใน 38 วินาทีด้วย คือเกมใหญ่ขนาดนี้ ผู้ตัดสินจำเป็นต้องเป็นคนเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ ไม่หวั่นไหวไปกับเสียงเร้าของแฟนบอล ดังนั้น แอตกินสันที่ผ่านประสบการณ์นับไม่ถ้วน จึงเหมาะที่สุด
5) ประตูของแมนฯยูไนเต็ด ที่แอชลีย์ ยัง ครอสเข้ามาแล้วลอยเข้าประตูไปเลย ลูกนี้ ล้ำหน้าลูกากู แน่นอน 100% คือกฎของการล้ำหน้าระบุไว้ชัดเจน คือคุณไม่จำเป็นต้องโดนบอล แค่มีส่วนร่วมกับเกม ทำให้คู่แข่งรู้สึกไขว้เขวก็นับว่าเป็นล้ำหน้าแล้ว
1
6) ด้วยฟอร์มที่น่ากลัวของซาลาห์ ตั้งแต่กดแฮตทริกใส่บอร์นมัธตามด้วยยิงประตูชัยนาโปลี ทำให้คาดเดาได้ว่า นักเตะแมนฯยูไนเต็ด ต้องประกบเขาแบบติดหนึบแน่ ไม่แปลกที่เกมนี้เขาจะมีโอกาสยิงน้อยมาก แต่จะเปลี่ยนตัวออกก็ไม่ได้ เพราะต้องมีไว้ขู่แนวรับแมนฯยูไนเต็ด ซึ่งมันแปลว่า เกมรุกต้องฝากความหวังไว้ที่ ซาดิโอ มาเน่ แทน
7) ถ้าดูจากฟอร์มเกมกลางสัปดาห์ ซาดิโอ มาเน่ ยิงพลาดจ่อๆ 3 หน ยิงไม่คมแบบนั้น แมนฯยู คงไม่มีอะไรต้องกลัว แต่ทว่า ความผิดหวังจากเกมนาโปลี กลายเป็นแรงผลักดัน ให้มาเน่เล่นดีมากๆ ในการเจอแมนฯยูไนเต็ด ประตูที่เขายิงขึ้นนำ สอดขึ้นมาพอดีเป๊ะ ไม่ล้ำหน้า และยิงผ่านเด เกอาเข้าไปแบบเนียนๆ ขณะที่ลูกนำ 2-1 ทั้งหมดก็เริ่มจากเขาที่ล็อกหลบอันเดร เอร์เรร่าอย่างสวย ก่อนตบเข้ากลางมาถึงชาคิรี่ รวมถึงลูก 3-1 ถ้าดูจุดเริ่มต้น จริงๆก็เริ่มเซ็ตจังหวะมาตั้งแต่มาเน่นะ
เขาถึงบอกกันเสมอไงครับ ว่าเวลานักเตะทีมตัวเองพลาดเมื่อไหร่ ถ้าไม่เลวร้ายวิบัติจริงๆแบบคาริอุส ก็อย่าไปด่าแรงมาก เพราะเดี๋ยวเขาก็แก้ตัวได้ การให้กำลังใจกันเวลานักเตะพลาด น่าจะเป็นเรื่องดีกว่านะ
8 ) จังหวะของอลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่ทำให้เสียประตู ลูกนี้เขารับปกติ กดบอลลงพื้นกะให้บอลนิ่ง แต่ตอนเอาบอลลง ด้วยความที่ฝนตกลูกลื่น ทำให้บอลคอนโทรลไม่อยู่ ทะลักมาโดนเข่า แล้วกระเด้งมาเข้าทางเจสซี่ ลินการ์ด ยิงง่ายๆเข้าไป มีปัจจัยฝนตกทำให้ยากขึ้น แต่ระดับ อลิสซอน มันก็ไม่ควรพลาดอยู่ดี ลูกนี้เขาก็ปฏิเสธความผิดไม่ได้ ต้องยอมรับความผิดพลาดไป
โชคดีคืออลิสซอนคือ พลาดทีไร ทีมชนะตลอด เกมกับเลสเตอร์ เลี้ยงจนโดนแย่งหน้าโกล์ สุดท้ายทีมชนะ เกมนี้ก็เช่นกัน เรียกได้ว่าล้มบนฟูก และมักจะไปโชว์ฟอร์มเทพ ในเกมที่ทีมต้องการแทน
9) ฟาบินโญ่ ยิ่งเล่นยิ่งเห็นคุณค่าของเขา บทบาทเกมรับ เขาตัดบอลได้ดี ส่วนบทบาทเกมรุก เราเห็นเขาพยายามวางบอลสวยๆ หลายหน จนเป็นที่มาของประตูขึ้นนำ 1-0 เป็นลูกแอสซิสต์ที่เนียนตามากๆ อีกช็อตนึงที่เข้าตามาก คือสเต็ปหลอกสวยๆ ก่อนไหลบอล ให้มาเน่ ยิงไปติดเซฟเด เกอา คือถ้าเทียบฟาบินโญ่ กับตอนย้ายมาใหม่ๆ ตอนนี้ถือว่าเล่นดีขึ้นเยอะจริงๆ
10) ขณะที่ไวจ์นัลดุม เป็นตัวที่ลิเวอร์พูลขาดไม่ได้ เกมนี้เขาสัมผัสบอลมากที่สุดในสนาม (105 ครั้ง) , จ่ายบอลเยอะที่สุดในทีม (79 ครั้ง) ยิ่งไปกว่านั้นคือ จ่ายเข้าเป้าเยอะสุดในเกม (91.1%) นั่นแปลว่า เขาจ่ายบอลแทบไม่พลาดเลย ไวจ์นัลดุม มีส่วนร่วมกับเกมตลอด เขาเชื่อมเกมได้ดี และตอนนี้ กลายเป็นกองกลางเบอร์ 1 ของทีมไปเรียบร้อยแล้ว
11) ส่วนนาธาเนียล ไคลน์ ถ้ามองว่านี่เป็นเกมแรกในรอบ 8 เดือน ก็ถือว่าเล่นได้ไม่เลว เขาเป็นสายชัวร์ (จ่ายบอลเข้าเป้า 87.8%) มีโอเวอร์แล็ปสวยๆให้เห็นอยู่ 2-3 ครั้ง แต่ความกล้าได้กล้าเสีย ยังน้อยกว่าเทรนต์ เขาไม่ค่อยกล้าครอส ไม่กล้าลากลุย แต่ก็เป็นอ็อปชั่นที่น่าสนใจ คือสามารถลงมาเป็นตัวจริงได้ ไม่เคอะเขินเลย
12) ขณะที่โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ บทบาทของเขาในสายตาคล็อปป์ ไม่ใช่กองหน้าตัวเป้าอีกแล้ว แต่เขาคือเพลย์เมกเกอร์ที่ถอยลงต่ำเพื่อเชื่อมเกม หลายๆครั้ง เราเห็นเวลา ลิเวอร์พูลได้ทุ่ม แถวๆฝั่งตัวเอง ฟีร์มีโน่ จะถอยลงไปเพื่อเรียกบอล เขาอาจจะดูเงียบๆ แต่ก็สร้างประโยชน์ให้ทีมเรื่อยๆ (เกมเจอแมนฯยู ยิงไป 9 หน มากที่สุดในทีม)
13) ปัญหาเล็กๆที่เห็นของลิเวอร์พูลเกมนี้ คือลูกเซ็ตพีซ นัดนี้แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เหมาหมด ทั้งฟรีคิกและเตะมุม คือ โรเบิร์ตสัน นี่เป็นคนครอสบอลในจังหวะโอเพ่นเพลย์ได้ดีนะ แต่พอเป็นเซ็ตพีซแล้วไม่แม่นเลย เช่นเดียวกับไวจ์นัลดุม และซาลาห์ ที่เปิดเตะมุมในครึ่งหลังก็ไม่แม่นพอกัน เราจะเห็นเลยว่า แมนฯยู ยอมเสียเตะมุมแบบไม่ลังเลเลย (หงส์ได้เตะมุม 13 ครั้ง) คือมั่นใจว่า หงส์ใช้ประโยชน์ไม่ได้แน่ๆ ซึ่งจริงๆถ้ามีเทรนต์, มิลเนอร์ หรือ ชาคิรี่ อยู่ น่าจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่านี้
14) ผมเชื่อว่าเกมนี้ นักเตะลิเวอร์พูลได้รับคำสั่งมาให้เสี่ยงยิงไกลนอกเขตโทษบ่อยๆ เราจึงเห็น แม้กระทั่ง ไคลน์, ลอฟเรน, ฟาน ไดค์, ไวจ์นัลดุม หรือ ฟาบินโญ่ เสี่ยงยิงบ่อยมากๆ แต่ปัญหาคือ นายทวารของยูไนเต็ด คือ ดาบิด เด เกอา ถ้าคุณยิงไม่คมจริงๆ ไม่มีผ่านมือเขาหรอก
15) คล็อปป์รู้ดีว่า หงส์ตื้อแล้ว หมดไอเดียในการเจาะเข้าทำ ดังนั้นต้องรีบส่งตัวที่คล่องตัว เคลื่อนที่ได้ดี อย่างเซอร์ดาน ชาคิรี่ลงมา ตอนนี้หงส์ไม่จำเป็นต้องใช้มิดฟิลด์ตัวกลาง 3 คนอีกแล้ว เพราะแมนฯยูไนเต็ด ไม่ได้ขึ้นเกมบุก ดังนั้น จะส่ง 4 ตัวรุกลงเล่นพร้อมกันก็ไม่น่าจะเป็นไร ซึ่งทันทีที่ส่งชาคิรี่ลงมาก็ได้เรื่องทันที เขาอยู่ในสนามแค่ 2 นาทีก็ยิงประตูได้
จริงอยู่ มีคนแซวว่า ชาคิรี่แหมอะไรจะดวงดีจัง ยิงแฉลบ 2 ลูกเลย แต่ถ้าลงลึกไปในรายละเอียด ชาคิรี่ เอาตัวไปอยู่ในพื้นที่สุดท้ายได้ถึง 2 ครั้ง จริงอยู่มันก็มีโชคด้วย ที่ยิงแฉลบเข้า แต่เขาก็ควรได้รับเครดิตอยู่ดี
16) ชาคิรี่คือตัวอย่างที่ดี ว่าทำไมแต่ละทีมต้องเสริมทัพนักเตะเสมอ ถ้าเราดูจากซีซั่นก่อน ก็คงคิดว่า ไม่มีใครจะแย่งตำแหน่ง ซาลาห์,มาเน่,ฟีร์มีโน่ได้ แต่ความจริงคือ ต่อให้คนเก่งแค่ไหน ก็มีวันถูกจับทางได้ การเสริมผู้เล่นชั้นดีเข้ามา ไม่ใช่เพื่อมาสร้างความกดดันให้นักเตะทีมตัวเอง แต่เป็นการเพิ่ม "อ็อปชั่น" ในเกม ให้มีความหลากหลายขึ้น ถ้าโดนจับทางมุกนี้ได้ ก็ยังมีอีกไม้เด็ดอยู่
17) เรื่องปลอกแขนกัปตัน เวอร์จิล ฟาน ไดค์ รู้ดีว่ากัปตันตัวจริงคือเฮนเดอร์สัน ดังนั้น เมื่อเขาเห็นเฮนโด้เปลี่ยนตัวลงมา ก็จะรีบเอาปลอกแขนไปให้ทันที เกมนี้ จังหวะที่มาเน่โดนถอดนาที 85 เราเห็นได้เลยว่า ฟาน ไดค์ วิ่งเอาปลอกแขนไปให้มาเน่ เพื่อส่งต่อให้เฮนโด้ทันที
เรื่องความรู้สึกของคนเรานี่ละเอียดอ่อนนะครับ เว็บบอร์ดหงส์เมืองนอก เขาชอบด่าเฮนโด้กัน แล้วก็จะบอกว่า ฟาน ไดค์คือกัปตันตัวจริง ซึ่งฟาน ไดค์ คงไม่อยากให้ดราม่า เกิดขึ้นกับทีม ดังนั้นถ้ามีจังหวะแบบนี้ ฟาน ไดค์ รู้ว่าควรทำอย่างไร
18) เท่าที่ดูแมนฯยูไนเต็ดวันนี้ เห็นปัญหาเยอะแยะไปหมด คนที่น่าผิดหวังมาก คือ โรเมลู ลูกากู เพราะแผนการเล่นของยูไนเต็ด เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องสวน กองหน้าตัวเป้าต้องพักบอลได้ เพื่อเตรียมจ่ายบอลออกซ้าย ออกขวา ให้แรชฟอร์ด หรือ ลินการ์ด แต่ลูกากูนอกจากจะพักบอลไม่ได้แล้ว ยังดูเคลื่อนที่เชื่องช้าเทอะทะ ไม่แปลกที่เกมนี้ เขาจะไม่ได้ง้างยิงเลยสักหน
คิดถึงยูไนเต็ด แต่ละยุค มีกองหน้าระดับโลกตลอด จากคันโตน่า, โซลชา ,ฟาน นิสเตลรอย ,โรนัลโด้, รูนี่ย์ ,ฟาน เพอร์ซี่ แล้วตอนนี้ต้องมาฝากความหวังไว้กับลูกากู มันน่าเศร้าเกินไปนะ
19) ที่สำคัญคือแท็กติกการเล่น ถ้าเป็น 2 ปีก่อน ลิเวอร์พูลเจอรถบัส เจาะไม่เข้าแน่ๆ แต่ เวลาผ่านไป คล็อปป์แก้ไขปัญหานี้ไปแล้ว พวกเขารู้วิธีเจาะทีมที่ตั้งรับได้แล้ว การที่แมนฯยู ถอยไปรับ (เปอร์เซ็นต์ครองบอล 32%) มันแปลว่าเชื้อเชิญให้หงส์บุกเข้ามา คือรอวันโดนอย่างเดียว ทีมอย่างยูไนเต็ด ไม่สมควรเล่นแบบนี้ ทัศนคติที่จะเอา 1 แต้ม มันไม่ใช่ดีเอ็นเอ ของปีศาจแดงเลยสักนิด
20) มูรินโญ่กล่าวหลังเกมว่า ลิเวอร์พูลมีตัวผู้เล่นคุณภาพมากกว่า ซึ่งก็จริง ส่วนหนึ่งอย่าลืมว่า ซัมเมอร์นี้ มูรินโญ่ไม่ได้นักเตะที่ตัวเองต้องการเลย บอร์ดบริหารซื้อ ดีเอโก้ ดาโลต์, เฟร็ด และ โกล์มือ 3 ลี แกรนท์ คือ แมนฯยูไนเต็ดรวยขนาดนี้ แต่ไม่ยอมทุ่มซื้อนักเตะ แล้วจะให้โค้ชทำอย่างไรได้ ตรงข้ามกับหงส์ เห็นปัญหาที่โกล์ ก็ซื้ออลิสซอน ต้องการตัวสำรองแนวรุก ก็ซื้อชาคิรี่ , เสียเอ็มเร่ ชาน ก็ซื้อฟาบินโญ่มาแทน คือความจริงใจ และความมุ่งมั่นของผู้บริหารมันก็ผิดกันแล้ว
21) เท่ากับว่าเกมนี้ แมนฯยู แพ้ทุกอย่าง ตัวผู้เล่นเป็นรอง นำมาสู่แท็กติกที่ผิดพลาด คือจริงๆแมนฯยู เคยเล่นทรงนี้มาแล้วในการเจอทีมใหญ่ จำเกมเชลซีช่วงเดือนตุลาคมได้ไหมครับ เกมนั้นแมนฯยู แพ็กเกมแบบนี้แหละ ได้ครองบอลแค่ 38% และปล่อยให้เชลซี ได้ยิง 21 หน แต่สุดท้ายเกมเสมอ 2-2 นั่นเพราะเชลซีขาดความคม มูรินโญ่หวังว่าจะใช้แผนนี้สำเร็จอีกครั้ง แต่คำตอบคือ มันไม่ได้ผล
22) เกมนี้ลิเวอร์พูลได้ยิง 36 ครั้ง ตรงกรอบ 11 ครั้ง นักเตะทุกคนยกเว้นอลิสซอน ได้ยิงหมด คือโอกาสมากมายขนาดนี้ ต่อให้ดาบิด เด เกอา เทพแค่ไหน ใครมันจะไปเซฟได้หมด ต้องโดนจนได้แหละ คือถ้าจะมาเล่นเกมรับที่แอนฟิลด์ กองหลังคุณต้องปึ้กจริง แบบแมนฯซิตี้เกมเสมอ 0-0 (จอห์น สโตนส์, ลาป๊อร์กต์, เมนดี้, ไคล์ วอล์กเกอร์) ถ้าแกร่งขนาดนั้น ยังมีลุ้นเก็บแต้มได้ แต่ในสภาพกองหลังครึ่งๆกลางๆ แบบแมนฯยู มาเล่นตั้งรับ มันก็รอโดน
23) บทสรุปเกมนี้ คือลิเวอร์พูล ชนะอย่างสมบูรณ์แบบ และเดินหน้าลุ้นแชมป์ต่อไป ส่วนแมนฯยูไนเต็ด ต้องไปไขปัญหาต่อ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นักเตะฝีมือไม่ถึง, โค้ชไม่เหมาะกับทีม หรือ เพราะอะไรกัน เพราะที่รู้แน่ๆคือ ทีมอย่างแมนฯยูไนเต็ด จะปล่อยให้มันพังพินาศแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
#Liverpool #ManUTD
โฆษณา