19 ธ.ค. 2018 เวลา 09:21 • ประวัติศาสตร์
100ปีจุดจบราชวงศ์โรมานอฟ ฉากต่อฉากวันสังหารโลกตะลึง
ย้อนเหตุการณ์สะเทือนขวัญสังหารหมู่ราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซียที่เกิดขึ้นในปี 1918 และครบรอบ 100 ปีเมื่อวันที่ 17 ก.ค.2018
หากใครเป็นคอประวัติศาสตร์ อาจจะคุ้นเคยกับราชวงศ์โรมานอฟ ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่สองและราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซีย โดยราชวงศ์นี้ปกครองจักรวรรดิรัสเซียตั้งแต่ปี 1613-1917 และมีจุดสิ้นสุดของราชวงศ์เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 1918 หรือ 100 ปีที่แล้วพอดิบพอดี
ย้อนไปร้อยปีที่แล้ว ราชวงศ์โรมานอฟซึ่งประกอบด้วย พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 พระมเหสีอะเลคซานดรา ฟอโดรอฟนา ธิดา 4 พระองค์ คือ โอลกา นิโคเลฟนา, ทาเทียนา นิโคเลฟนา, มาเรีย นิโคเลฟนา, อานาสตาซียา นีคาไลยีฟนา และพระโอรส อเล็กซี ถูกบอลเชวิคสังหารหมู่อย่างเลือดเย็นที่บ้านอีปาเตียฟ ในเมืองเยคาเทรินบุร์ก และเนื่องในโอกาสครบรอบหนึ่งศตรรษ เราจะมาย้อนรอยเหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้แบบนาทีต่อนาทีกัน
1
วันที่ 16 ก.ค. 1918
เวลา 11.30 น.
หลังจากนำตัวราชวงศ์โรมานอฟมายังบ้านกักกันพิเศษ คาคอฟ ยูรอฟสกี จากพรรคบอลเชวิค ซึ่งเป็นผู้บัญชาการที่บ้านหลังนี้ ได้สั่งให้สมาชิกราชวงศ์ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติเพื่อไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งสงสัยว่ากำลังจะมีภัยมาเยือน โดยพระราชธิดาโอลกาและพระมารดาได้ใช้เวลาว่างแอบเก็บของมีค่า เพชรนิลจินดาต่างๆ ไว้ในเครื่องแต่งกาย เพื่อเป็นหลักประกันว่าครอบครัวจะไม่ต้องอดตายในการย้ายที่อยู่ครั้งหน้า
เวลา 12.30 น.
คาคอฟ ยูรอฟสกี บอกกับลูกน้องของเขาว่าจะสังหารหมู่ราชวงศ์โรมานอฟในวันนี้ เขาเลือกมือสังหารมา 11 คน ให้พอดีกับจำนวนคนที่จะถูกสังหาร โดยคนที่จะถูกสังหารรวมถึงแพทย์ประจำราชวงศ์ คนทำครัว แม่บ้าน และคนใช้ด้วย ยูรอฟสกีเลือกสถานที่จะทำการสังหารที่ห้องใต้ดินของบ้าน เพราะเก็บเสียงปืนได้ดี และสามารถทำความสะอาดคราบเลือดเจิ่งนองได้ง่าย โดยได้ว่าจ้างวาน ปีเตอร์ เออมาโคฟ ให้ทำหน้าที่ทำลายศพ ซึ่งเออมาโคฟเป็นโจรปล้นธนาคารที่เคยติดคุกในยุคของพระเจ้าซาร์นิโคลัสนาน 9 ปี และคาดว่าน่าจะมีความแค้นกับพระเจ้าซาร์ ในฐานะผู้นำบ้านเมืองที่เคยลงโทษเขามาก่อน
เวลา 20.00 น.
ทหารบอลเชวิคเตรียมปืนพกให้พร้อมแทนปืนไรเฟิลที่เสียงดังและเป็นที่สังเกตเห็นได้ง่าย พวกเขาไม่อยากให้เป้าหมายตื่นตูมไปก่อน
เวลา 22.00 น.
ยูรอฟสกีวิตกกังวลว่ารถขนศพจะมาถึงเมื่อไหร่ เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้น และอาจมีคนเห็นได้ จึงกระวนกระวายที่จะต้องทำภารกิจให้เสร็จก่อนรุ่งสาง
เวลา 22.15 น.
พระมเหสีอะเลคซานดรา ฟอโดรอฟนา เขียนบันทึกประจำวันตามปกติ ใจความว่า “เข้านอนอุณหภูมิ 15 องศาฯ” โดยพระองค์ยังได้เขียนวันที่ของวันพรุ่งนี้เผื่อไว้ด้วย ถึงแม้มันจะไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับพระองค์และครอบครัวก็ตาม
วันที่ 17 ก.ค. 1918
เวลา 02.15 น.
เมื่อรถขนศพมาทันกำหนด ยูรอฟสกีจึงบอกให้แพทย์ประจำราชวงศ์ไปปลุกสมาชิกราชวงศ์ และบอกว่าทุกคนต้องย้ายไปพักที่อื่นเนื่องจากมีการจลาจลกลางเมือง โดยทุกคนแต่งพระองค์และถูกลำเลียงตัวมาที่ห้องใต้ดิน พระธิดาทั้ง 4 มีอาการยิ้มแย้มและร่าเริงที่จะได้ย้ายที่อยู่ ทุกคนยังไม่ทราบในชะตากรรมที่กำลังต้องเผชิญ
เวลา 02.25 น.
ยูรอฟสกีเริ่มต้นอ่านการตัดสินใจของคณะกรรมการบริหารพรรคบอลเชวิคเขตอูราล ที่ตัดสินว่าทุกคนในราชวงศ์โรมานอฟต้องถูกประหาร ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน พระเจ้าซาร์นิโคลัสถามขึ้นมาว่า “อะไรนะ” ก่อนที่พระองค์จะถูกยิงสวรรคตในทันที หลังจากนั้นทุกพระองค์พยายามหนี กรีดร้อง แต่ก็ไม่เป็นผล สมาชิกในราชวงศ์ทุกพระองค์ถูกยิงสิ้นพระชนม์ทีละพระองค์ เจ้าหญิงอนาสตาเซียเป็นรายสุดท้ายที่สิ้นพระชนม์ เพราะในครั้งแรกมือสังหารยิงไม่เข้า เนื่องจากฉลองพระองค์ประดับด้วยเพชรซึ่งมีความแข็งแกร่งมาก แต่สุดท้ายเจ้าหญิงถูกยิงและแทงสิ้นพระชนม์ (แต่การที่เจ้าหญิงอนาสตาเซียถูกยิงแต่ไม่สิ้นพระชนม์ในทันที ทำให้มีผู้สวมรอยในภายหลังว่าเป็นเจ้าหญิงที่รอดชีวิตจากการสังหารหมู่)
หลังจากนั้นพระศพของทุกพระองค์ถูกขนขึ้นรถก่อนนำไปทำลายโดยการฝังและอำพรางบนอุโมงค์เหมือง ถนนคอพท์ยาคี แต่ต่อมาถูกบอลเชวิคนำออกมาเผา ราดซ้ำด้วยกรด และเคลื่อนย้ายไปฝังไว้ในที่ปิดลับ ส่วนยูรอฟสกีได้กำชับให้ลูกน้องทุกคนที่ร่วมปฏิบัติการนี้ไม่ให้พูดเรื่องนี้กับใคร และให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมด
อย่างไรก็ตาม หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย ได้มีการรื้อฟื้นพระเกียรติยศของราชวงศ์โรมานอฟขึ้นมาใหม่ และมีการติดตามพระศพที่ถูกลืมเลือนมานานกว่า 70 ปี และด้วยความช่วยเหลือจาก เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระสวามีของ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ ซึ่งทรงมอบหลักฐานสำหรับตรวจดีเอ็นเอ (เนื่องจากทรงเป็นพระญาติฝ่ายพระมเหสีอะเลคซานดรา) จึงมีการยืนยันพระศพสำเร็จในที่สุด
ในปัจจุบันนี้ ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน กลับมาให้ความสนใจกับเรื่องราวของราชวงศ์โรมานอฟมากขึ้น โดย Russian Public Opinion Research Center (VTsIOM) ได้ทำโพลสำรวจว่าคะแนนความนิยมของราชวงศ์โรมานอฟที่สูญสิ้นไปเป็นร้อยปีแล้วนั้น ได้รับคะแนนความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงหลังมานี้ โดยการรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตที่แสนเจ็บปวดนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของการปลุกกระแสรักชาติของรัฐบาลก็เป็นได้
โฆษณา