4 มิ.ย. 2019 เวลา 12:35 • ปรัชญา
Whispering Angel
ตั้งแต่จำความได้ ผมมักจะได้ยินเสียงกระซิบในหัวตลอดเวลา เป็นเรื่องปกติที่ คนทั่วๆไปก็ได้ยินเช่นกัน แต่เสียงที่ผมได้ยินนั้น เป็นเสียงของผู้หญิง!
“กินข้าวเยอะๆสิ จิน”
“อย่าดื้อสิ”
“พูดกับแม่ดีๆหน่อยสิ”
“ไปขอโทษแม่เดี๋ยวนี้”
มันเป็นเสียงของหญิงสาวที่อ่อนโยน และ อบอุ่น
ผมเริ่มถามคนรอบข้างเมื่อผมเริ่มโตเข้าสู่วัยรุ่นว่าทุกคนได้ยินแบบผมหรือเปล่า
แน่ละ ไม่มีใครได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน เพื่อนๆหาว่าผมเป็นบ้า แม้แต่พ่อกับแม่ ก็บอกว่า ผมคงคิดไปเองอยู่คนเดียว
“ห้ามสูบบุหรี่เด็ดขาดนะ จิน”
เสียงนั่นดังขึ้น
เมื่อผมพยายามจะลองสูบบุหรี่เป็นครั้งแรก แต่มันไม่ทำให้ผมเลิกล้มความตั้งใจ
“กรี๊ดดดดดดดดดด!”
เสียงกรี๊ดนั่นทำให้ผมต้องรีบคายบุหรี่ออกจากปาก
“พ่อกับแม่ทำงานหาเงินมาเหนื่อยนะ จิน อย่าออกไปเที่ยวผับสิ”
เสียงนั่นเริ่มรบกวนความเป็นส่วนตัวของผมมากขึ้น
ผมเคยไปโรงพยาบาลมา 2-3 ครั้ง
เพื่อหาต้นทางของเสียงนั่น
คุณหมอตรวจอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติเลย
“อย่าไปเลยนะจิน รีบเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้มีสอบนะ”
ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนๆชวนผมไปร้านอาหารยามค่ำคืนย่านเกษตรนวมินทร์
ไม่รู้อะไรเหมือนกัน ที่ทำให้ผมปฏิเสธ คำชวนนั่น
รุ่งเช้า ผมได้ข่าวว่ารถคันที่เพื่อนๆขับไป เกิดอุบัติเหตุ เพื่อนที่ขับรถไม่เป็นอะไรมาก แต่เพื่อนอีกคนที่ไปด้วย ได้รับบาดเจ็บหนัก
ผมไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล มันบอกผมว่า มันต้องใช้เวลาทำกายภาพบำบัดอีกสักพัก ถึงจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง
หลังจากนั้นผมก็เริ่มเชื่อฟังเสียงของผู้หญิงคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ต้องมีใครสักคนส่งเทพธิดามาดูแลผมแน่
ผมเชื่อแบบนั้น
น่าแปลกที่ผมไม่เคยพูดคุยโต้ตอบกับเสียงนั่นได้เลย
ราวกับว่าเธอจะคอยมองดูผมอยู่ใกล้ๆ แต่ผมไม่สามารถพูดคุยกับเธอได้
“ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยสิ จะได้ช่วยพ่อแม่อีกแรง”
“ปิดเทอมไปช่วยงานที่อู่ซ่อมรถลุงดำสิ เรียนวิศวะไม่ใช่เหรอเราน่ะ”
“อย่านอนดึกสิ พักผ่อนเยอะๆนะ”
“บางวันก็รีบตื่นเช้าไปออกกำลังกายบ้างสิ ดูแลตัวเองบ้างนะ”
“อ่านหนังสือสอบได้แล้ว อดทนอีกนิดนะ เรียนใกล้จบแล้ว”
“ชอบเหรอ รุ่นน้องคนนั้นน่ะ น่ารักดีนี่”
“คุยกับเธอสิ ยิ้มแล้ว บอกเธอว่า เช้านี้อากาศดีจังนะครับ แล้วชวนเธอไปกินกาแฟเลย”
แต่หลังจากผมแต่งงานมีครอบครัว เสียงนั้นก็ค่อยๆเงียบหายไป
ผมเริ่มจะตั้งหลักได้ หลังจากเป็นพนักงานประจำอยู่พักนึง ก็ออกมาเปิดอู่ซ่อมรถเล็กๆเป็นของตัวเอง
วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตอีกวันนึง ภรรยาของผมได้คลอดลูกสาว
ผมรีบขับรถกลับมารับคุณพ่อกับคุณแม่เพื่อไปเยี่ยมหลาน
พวกท่านดูจะดีใจมากที่จะได้อุ้มหลาน
แต่ผมมีคำถามที่คาใจเหลือเกิน
“พ่อ จำเรื่องเสียงผู้หญิงที่ผมได้ยินบ่อยๆได้ไหมครับ”
“ตอนนี้ผมไม่ได้ยินแล้วครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ถึงผมจะโตขึ้นมากแล้วก็เถอะ ผมยังอดคิดถึงเสียงนั่นไม่ได้เลย”
พ่อกับแม่มองหน้ากันพักนึง คุณแม่น้ำตาไหลอาบแก้ม ท่านพยักหน้าน้อยๆ แล้วบอกกับผมว่า
“นั่งลงก่อนสิลูก เดี๋ยวพ่อจะไปหยิบอะไรให้ลูกนะ”
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าๆ ที่ยังคงใช้งานได้ดีตั้งแต่ผมยังเด็ก
คุณพ่อเดินไปหยิบอัลบั้มรูปเก่าๆ เล่มนึง มีฝุ่นจับเต็มไปหมด ท่านยื่นมาให้ผม
ผมปัดฝุ่นเล็กน้อยก่อนจะเริ่มเปิดดู
มันเป็นรูปของผมตอนสมัยยังเด็ก จะว่าไปผมก็พึ่งเคยเห็นครั้งแรกนี่ละ แต่ที่พิเศษกว่านั้น ทุกรูปจะมีเด็กผู้หญิงอายุมากกว่าผมเล็กน้อยอยู่กับผมเสมอ
เธอเป็นเด็กผมยาว ถักเปียทั้งสองข้าง ดวงตาโตกลมใส ผิวสีขาวนวล รอยยิ้มอันน่ารักสดใส ของเธอทำเอาผมขนลุกอย่างน่าประหลาด
มีรูปที่เราไปเล่นชิงช้า ใกล้ๆบ้าน
รูปที่เราไปเที่ยวทะเลด้วยกัน
รูปที่เราช่วยกันขนของย้ายบ้าน
รูปที่เธอพยายามอุ้มผม แต่เหมือนจะอุ้มไม่ไหว
รูปที่ผมนั่งตักเธอ
มีรูปที่เธอปักเทียนวันเกิดให้ผมด้วย
“จิน จำพี่จ๋าได้ไหมลูก”
คุณแม่ยิ้มทั้งน้ำตาขณะกล่าวขึ้น
ผมค่อยๆทบทวนความจำ แต่ยังจำเรื่องราวเหล่านั้นไม่ค่อยได้
คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า ผมมีพี่สาวอยู่หนึ่งคน อายุมากกว่าผม4ปี แต่ผมกับพี่จ๋าประสบอุบัติเหตุรถยนต์ มีรถชนท้ายรถเราอย่างจัง อวัยวะภายในของพี่จ๋าแหลกละเอียด คงอยู่ได้อีกไม่นาน ส่วนตัวผมนั้น สมองกระทบกระเทือน และหัวใจล้มเหลว เราทั้งคู่มีอาการเข้าขั้นวิกฤต คุณหมอ แนะนำว่า ให้ปลูกถ่ายหัวใจของพี่จ๋าให้กับผม เพื่อรักษาชีวิตผมเอาไว้ แต่คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ยอม สิ่งที่เกิดขึ้นมันยากเกินกว่าที่พวกเราจะรับไหว
“จ๋า เค้าเอื้อมมือมาจับแขนพ่อ แกยิ้มแล้วก็พยักหน้า”
คุณพ่อเล่าไปน้ำตาซึมไป
“ตอนนั้นที่ลูกเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง พ่อก็อยากจะบอกลูก แต่แม่เค้าห้ามไว้ บอกว่ารอให้ลูกโตสักหน่อย”
“แม่ว่า พี่เค้าน่าจะอยากอยู่ดูแลลูกน่ะ”
คุณแม่พูดขึ้น พลางเอานิ้วมือปาดน้ำตา
ผมยังอึ้งกับเรื่องที่ได้รับรู้มา ผมกอดคุณพ่อกับคุณแม่ แล้วขอตัวออกไปข้างนอกสักพัก
ผมไปนั่งบนชิงช้าใกล้ๆบ้าน ที่ๆผมเคยไกวเล่นกับพี่จ๋า
มีเพียงเสียงลมเบาๆ ผ่านตัวผมไป ใบไม้บนต้นไม้ใหญ่สั่นกระพือเล็กน้อยตามแรงลม
ผมค่อยๆทบทวนความจำ
มันเป็นภาพที่แสนเรือนราง
พี่จ๋ามักจะคอยดูแลผมตั้งแต่ผมยังแบเบาะ
พี่มักจะปกป้องผม เมื่อถูกเด็กแถวบ้านรังแก
ขนมที่พ่อแม่ซื้อให้ พี่มักจะเอาให้ผมเสมอ แล้วบอกว่า
“ไม่เป็นไร พี่กินแล้ว”
พี่คอยกอดผม ตอนที่ผมนอนร้องไห้
ในคืนที่ฟ้าร้องเสียงดัง
พอผมได้รู้ความจริง ผมรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
ผมดีใจที่รู้ว่าพี่สาวของผมเป็นเทพธิดาที่คอยกระซิบข้างหูผมตลอดมา
แต่ผมก็เสียใจเหลือเกินที่พี่จ๋าไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว
“สบายดีไหมจิน ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ
ไม่ทันไร โตเร็วเหมือนกันนะเนี่ย
โตแล้วก็หล่อเหมือนกันนะ ตอนเล็กออกจะขี้แยแท้ๆ
พี่ดีใจนะ ที่เห็นจินเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งได้ขนาดนี้
ดูแลพ่อกับแม่ดีๆละ
พี่มีหลานแล้วสินะ เป็นผู้หญิงซะด้วย
ต้องหน้าตาสวยน่ารักแบบพี่แน่ๆเลย
จริงๆ พี่ก็อยากจะอยู่อุ้มหลานเหมือนกันนะ
แต่มันถึงเวลาที่พี่ต้องออกเดินทางไกลแล้ว
ขอให้หัวใจของพี่ได้เต้นเพื่อจินตลอดไปนะ”
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมแต่งขึ้น โดยไม่ใช่เหตุการณ์ที่ผมพบเจอด้วยตัวเอง หวังว่าทุกคนจะชอบครับ
โฆษณา