10 ธ.ค. 2019 เวลา 14:37 • ความคิดเห็น
ตอนผมเกิดมาปี 1995 คำที่ผมได้ยินคือ "บริโภคนิยม"คงเป็นยุคที่ประชาชนใส่ใจอาหารการกินของตนเองมากขึ้น แต่ไม่ใช่ เป็นยุคที่คนสนใจปากท้องของตัวเองต่างหาก ไม่ค่อยฟุ้งเฟ้อ ซึ่งเป็นยุคที่ผมกับเพื่อนหลายๆคนเกิดมาช่วงนั้น
ยุคนั้นคนอีสานทิ้งบ้านไปหากินในกรุงเทพฯซึ่งครอบครัวผมเช่นกัน แม่ไปทำงานตั้งแต่อายุ 14 ปี และผมเกิดตอนแม่อายุ 29 ปี ซึ่งในสมัยนั้น เวลาพ่อแม่กลับบ้านก็มักจะเอาของเล่นที่แม่ซื้อมาไปอวดกัน ซึ่งในตอนเด็กมันก็เป็นการข่มเพื่อนอย่างหนึ่ง
ปัจจุบันนี้ ผมทำงาน ผมเจอคนเป็นพ่อคน แม่คน ทำงานส่งเงินให้ลูก ผมเห็นว่าชีวิตเค้าก็ไม่ได้สบาย สังคมโรงงาน สอนให้พวกเค้าเล่นหวย หวังรวยทางลัดแต่ก็ไม่ค่อยจะสมหวัง และยังสอนการเห็นแก่ตัว รวมไปถึงการแก่งแย่งชิงดีให้แก่พวกเค้าด้วย ผมได้แต่คิดในใจว่า"นี่สินะ สังคมที่พ่อกับแม่เคยอยู่"
พอมาถึงช่วงที่อินเตอร์เน็ตเริ่มเข้ามามีบทบาท พีอกับแม่ผมไม่ให้ยุ่งเรื่องนี้ กลัวเรียนไม่ทันเพื่อนผมจึงไม่รู้จักโทรศัพท์สมาร์ทโฟน และใช้ไม่เป็นเกือบๆ 5 ปีเลยทีเดียวผมถึงได้รู้จักโซเชียลมีเดีย ก็ตอนอายุ 18 ปี ที่จบ ม.6 เป็นยุคที่ผมได้ยินคำว่า"วัตถุนิยม"เข้ามา
วัตถุนิยม เป็นศัพท์ที่เรียกกันช่วงมือถือแข่งขันกันในด้านเทคโนโลยีต่างๆเพื่อนกระตุ้นยอดซื้อ และยอดขาย เริ่มมีการออกค่านิยมการพกมือถือสองเครื่อง เพื่อรองรับมือถือที่ผลิตมาจนแทบล้นตลาด และการมาของสินค้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
ผมเคยเข้าเพจสยามแวนโดร่าที่ขายนาฬิกาพก ผมสั่งมา 1 เรือน 590 บาท กับ สั่งจากจีน 159 บาท เมื่อมาเทียบเคียงดู พบว่าวัสดุแทบตล้ายกันต่างกันแค่กล่องเท่านั้น จุดนี้จึงเห็นว่า เป็นช่วงที่คนสั่งสินค้าจีนมาขายเอากำไรในยุค"วัตถุนิยม"ที่ใครมีอะไร ฉันก็ต้องมีตามเขา
ปัจจุบัน เชื่อไหมว่าคนไม่ค่อยเห่อของใหม่ๆกันเท่าไร ขนาดมือถือชื่อดังออกมา ก็ยังไม่เป็นที่อึกทึกครึกโครมเช่นคราวที่ออกมาเมื่อ 10 ปีก่อน ต้องยอมรับว่า ผู้คนเริ่มเข้าสู่ยุคที่ผมกำลังจะบัญญัติศัพท์ๆหนึ่งมาเรียก หรือถ้าท่านได้ยินคำนี้ที่ไหนก็บอกผมหน่อยนะครับ ผมเพิ่งคิดมาหยกๆเอง
คือในปัจจุบัน คนไม่ค่อยหลงวัตถุเท่าไรจะใช้เท่าที่จำเป็น อาจจะเพราะเครียดจากงาน รวมไปถึงแคมเปญห่วงใยสุขภาพที่ชวนคนมาออกกำลังกาย จัดวิ่งมาราธอนบ้าง ซึ่งเป็นยุคที่คนเริ่มหันหน้าเข้าหาตนเอง ผมเรียกยุคที่เรากำลังจะเปลี่ยนผ่านไปถึงนี้ว่า "ยุคอัตนิยม"
อัตตะ คือ ตนเอง ดังนั้นอัตนิยม คือการเข้าใจตนเอง รู้จักพอ ไม่หลงวัตถุ นั่นทำให้มีผลเสียต่อธุรกิจหลายๆอย่างเช่นกัน คือ รถยนตร์ ขายไม่ค่อยได้เพราะคนจะซื้อเท่าที่จำเป็น 1 บ้าน 1 คัน คงจะมีแต่รถยี่ห้อหรูๆที่คนรวยล้นฟ้าเค้ายังซื้อใช้อยู่ ก็พออยู่ได้
ธุรกิจมือถือ อิเล็กทรอนิกส์ที่แข่งขันขับเคี่ยวมานานต้องมีการปรับตัวลง อย่างจะตั้งราคาสูงๆมหาโหดมากๆ ก็แทบหาคนซื้อไม่ได้แล้ว เพราะเสปคระดับกลางก็สามารถตอบโจทย์บางคนได้แล้ว ทำให้คนเริ่มเข้าใจตัวเอง
ขณะเดียวกันธุรกิจโลจิสติกส์กลับเติบโตในยุคอัตนิยม!!! เป็นไปได้ยังไง ลองไปหาคำตอบกันมาดูครับ แต่ผมเคยได้ยินมาว่า การรับส่งของที่นอกเหนือจากไปรษณีย์ก็มีมานานแล้วนะ...
โฆษณา