14 ก.พ. 2020 เวลา 02:00 • หนังสือ
The ONE%
สิ่งที่คนสำเร็จ 1% ของโลกทำ คน 99% อยากรู้
หนังสือ "The ONE% สิ่งที่คนสำเร็จ 1% ของโลกทำ คน 99% อยากรู้" เขียนโดยคุณพอล ภัทรพล ศิลปาจารย์ (นักเขียน All Time Best Seller) ในหนังสือมีทั้งหมด 220 หน้า และมี Video Book เป็นบาร์โค้ดให้สแกนไว้ฟังสำหรับคนที่อยากฟังเป็นหนังสือเสียงในแต่ละตอนของหนังสืออีกด้วย
คน 1% ที่สำเร็จที่สุดในโลกมีปรัชญาการใช้ชีวิตอยู่ 7 เรื่องหลัก ๆ เท่านั้น ที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาจากคนธรรมดา ๆ ไปเป็นที่สุดของที่สุดหรือ 1% ได้
"หนังสือเล่มนี้คือ Google Map สู่ความสำเร็จของคนที่เป็น 1% ของโลก"
นี่คือหน้าที่ของหนังสือเล่มนี้ ที่เหลือคือหน้าที่ของคุณที่ต้องก้าวไปข้างหน้า ขอเพียงไม่หยุดก้าวผมการันตีว่าคุณถึงเส้นชัยแน่นอน
สิ่งที่คุณจะได้จากหนังสือเล่มนี้ ใช่แค่คุณจะมั่งคั่งในรายได้เท่านั้น แต่ 7 เรื่องนี้ จะทำให้คุณเป็นกลุ่มคน 1% ในด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น สุขภาพ ความสัมพันธ์ และความสุข (ที่สำคัญ! ไม่ใช่ความพิเศษที่ทำซ้ำ(เลียนแบบ) ไม่ได้)
ถ้าผมมี Time Machine ย้อนกลับไปหาตัวเองตอน 5 ขวบได้ ผมก็จะสอน 7 เรื่องนี้ให้ตัวเองเช่นกัน เพราะจะได้ประหยัดเวลาก้าวสู่ความสำเร็จตั้ง 2-3 ทศวรรษ!!!
หนังสือ THE ONE% สิ่งที่คน 1% ทำ ที่ 99% ควรรู้ จะเฉลย 7 กฎแห่งความสำเร็จที่คน 1% ของโลกทำ และถ้าพวกเราอีก 99% ได้ลองค่อย ๆ ทำความเข้าใจ และลงมือทำบ้าง ไม่ว่าใครก็ประสบความสำเร็จในแบบฉบับของตัวเองได้เช่นกัน
"ก้าวแรกของความสำเร็จ เริ่มต้นเมื่อคุณไขกุญแจเปิดประตู แล้วก้าวออกจากความคิดเดิม ๆ"
● นิยาม 1%
"กลุ่มคน 1% ที่ร่ำรวยที่สุดที่ว่ากันว่ามีเงินมากที่สุด มีที่ดินและอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด และมีอำนาจมากที่สุดในสังคม"
คน 1% ในหนังสือเล่มนี้หมายถึง กลุ่มคนที่เป็นที่สุดของที่สุดของแต่ละวงการและสาขาอาชีพ เก่งที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่ได้เพียงแค่บอกให้รู้จักเท่านั้นนะครับ เพราะผมยังต้องการให้คุณได้เข้าใจว่าต้องทำอะไร และอย่างไรบ้าง ถึงทำให้คุณกลายเป็นคนกลุ่ม 1% ไม่ใช่ 99% ที่เหลือ
แต่ถ้าคุณเป็นกลุ่ม 1% อยู่แล้ว หนังสือเล่มนี้ก็จะช่วยยกระดับความคิดคุณไปเป็นกลุ่ม 0.1% หรือ 0.01% ต่อไปครับ
● กฏที่ 1% ใช้ ที่ 99% ควรรู้
"ทำไมคนบางคนจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง ในขณะที่บางคนพยายามแทบตาย แต่ก็ได้เพียงแค่อยู่รอดไปวัน ๆ"
คุณสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมคนเราจึงต่างกัน?
ทำไมคนบางคนทำอะไรก็สำเร็จ ในขณะที่บางคนไม่เคยทำอะไรได้ใกล้เคียงคำว่าสำเร็จเลย
มีคนไทยเพียงแค่ 1 ใน 100 คนเท่านั้นหรือ 1% เกษียณได้อย่างมั่งคั่ง 4% มีเงินแค่พอใช้ตลอดชีวิตหลังเกษียณและอีก 95% ไม่สามารถเกษียณได้ บัญชีเงินฝากในไทย 1% เท่านั้นที่มี 10 ล้านขึ้นไป
มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก 8 คน มีทรัพย์สินรวมเท่ากับคน 50% ล่างของโลกรวมกัน(3.5 พันล้านคน!!!) ทุกอาชีพ คนสำเร็จน้อยกว่าคนไม่สำเร็จทั้งหมดอันนี้เราทราบกันดี ตั้งแต่นักธุรกิจ นักลงทุน นักกีฬา นักแสดง แม้กระทั่งนักเรียน
แล้วอะไรล่ะ? ที่ทำให้พวกเขาแตกต่างคุณทราบหรือไม่
คำตอบคือ "Mindset" ครับ
ช่องว่าง(GAP) ที่ต่างที่สุดของคน 1% กับ 99% คือ "ช่องว่างทางความคิด หรือ Mental Gap"
Mindset คือตัวกำหนดผลลัพธ์ในชีวิตคุณ
คุณจะมีผลลัพธ์ในชีวิตเท่ากับขนาดของ Mindset ของคุณ ทั้งความกว้างและความลึก
● 7 Rule(กฎ) ที่ทำให้ 1% สำเร็จได้
ไม่ว่าตอนนี้คุณจะมีผลลัพธ์แบบไหน มี Mindset อย่างไร คุณเปลี่ยนมันได้
ทุก ๆ ความสำเร็จที่ทุกคนต้องการ นั่นก็คือ Purpose/Why/Dreams/Vision/Calling/Burning/ Desires
ซึ่งมันก็คือ เป้าหมาย ความฝัน วิสัยทัศน์ จุดมุ่งหมายที่คุณต้องการไปถึง แต่มันไม่ใช่เพียงเป้าหมายทั่ว ๆ ไปที่คุณเคยอ่านหรือเคยฟังมา
สมองประกอบไปด้วย 2 ส่วนใหญ่ ๆ ที่เราเรียกว่า จิตสำนึก(Conscious) และ จิตใต้สำนึก(Subconscious)
ความคิดก็เหมือนเมล็ดพันธุ์ เมล็ดพันธุ์จะงอกเงยได้ต้องผ่านการรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยใช่มั้ยครับ จึงจะเติบโตเป็นต้นไม้สูงใหญ่ได้
2
แล้วการรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยของความคิดคืออะไร ก็คือการที่เราย้ำความคิดเดิม ๆ พูดคำเดิม ๆ กับตัวเองซ้ำ ๆ โดยใช้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เพื่อส่งความคิดที่ระดับจิตสำนึกลงไปยังจิตใต้สำนึกของเรานั่นเอง
"Idea + รดน้ำพรวนดิน -> Subconscious"
เราต้องย้ายความฝัน หรือเป้าหมายของเรา จากแค่เป็นเพียงความคิดที่อยู่ระดับจิตสำนึก ให้ลงไปอยู่ที่จิตใต้สำนึก ความฝันจึงจะกลายเป็นความจริง
● 2 วิธีเปลี่ยนจากความคิดในหัวเป็นผลลัพธ์ที่เราต้องการ
วิธีแรกคือ การช็อก(Shock)
นั่นคือการทำให้เกิดการกระทบกับระดับจิตใต้สำนึกของเราอย่างรุนแรง รวดเร็ว ฉับพลัน ไม่สามารถตั้งตัวได้ ทั้งเรื่องดีและร้าย
ลักษณะนี้สามารถเปลี่ยน Mindset ระดับจิตใต้สำนึกได้ทันที ส่วนใหญ่จะเป็นอุบัติเหตุ หรือเรื่องสะเทือนใจขั้นรุนแรง
วิธีที่สองคือ การทำซ้ำ(Repetition)
เมื่อเราคิด จินตนาการ พูด ทำ อะไรซ้ำ ๆ สมองของเราก็จะเก็บบันทึกเอาไว้ จนสิ่งนั้นซ้ำบ่อยจนเพียงพอที่สมองรับรู้แล้วว่า สิ่งที่คุณทำซ้ำ ๆ อยู่นี่คือส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณ
อยากให้คุณจำ 3 คำนี้ไว้ให้ดี ๆ นะครับ
BE การเป็น(ความเชื่อ)
-> DO การลงมือทำ
-> HAVE (ผลลัพธ์)
เป้าหมายที่เราต้องการคือ Have(ผลลัพธ์)
การที่เราจะได้ Have ต้องเกิดจาก Do(ทำ)
และสิ่งที่จะทำให้เกิด Do คือ Be(การเป็นหรือความเชื่อ)
**ดังนั้น สิ่งที่ผมจะให้คุณเริ่มคือ หา Have ของคุณให้เจอ ระบุออกมาให้ได้ เขียนออกมาให้ชัดเจน**
ปล. หยิบกระดาษขึ้นมา 1 แผ่น แล้วเขียนเป้าหมายของคุณออกมาให้ชัดเจนที่สุด บรรยายให้ฉ่ำเลยนะครับ ให้ได้ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
1
● กฎน้ำใสใหม่ในเหยือกแก้ว(สร้างโปรแกรมใหม่ให้จิตใต้สำนึก)
การล้างโปรแกรมเก่าแล้วลงโปรแกรมใหม่ให้จิตใต้สำนึกลงไปแทนอันเดิมที่เราเก็บสะสมไว้
น้ำในเหยือก "ขุ่นดำ" ก็คือจิตใต้สำนึกของเราที่เก็บไว้แต่เรื่องลบ ๆ แย่ ๆ นั่นจึงทำให้ชีวิตของเราได้รับแต่เรื่องแย่ ๆ ไปตามจิตใต้สำนึก
วิธีเปลี่ยนคือ เราต้องทำให้น้ำในแก้วกลับมาใสสะอาดอีกครั้งโดยการเติมน้ำที่ใสสะอาดลงไป จนน้ำขุ่นดำในแก้วล้นออกมาเรื่อย ๆ ให้น้ำใสเข้าไปแทนที่จนน้ำในแก้วกลายเป็นน้ำใสสะอาด
1
แล้วเรามารินน้ำใสใส่ลงไปในแก้ว จนน้ำขุ่นดำมันล้นออกมาโดยการบอกตัวเองซ้ำ ๆ ในสิ่งที่คุณต้องการเป็น
การพูดซ้ำ ๆ จินตนาการซ้ำ ๆ คือการเทน้ำใสใหม่เข้าไป เมื่อคุณลงโปรแกรมให้จิตใต้สำนึกใหม่จนมากพอ ก็เหมือนกับที่น้ำในแก้วกลับมาใสจิตใต้สำนึกคุณก็เปลี่ยนไปแล้ว
1
เมื่อใส่ข้อมูลดี ๆ Mindset ดี ๆ เข้าปแทนที่ในจิตใต้สำนึก แน่นอนว่า ผลลัพธ์ในชีวิตของเรากจะ็เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
**มีการวิจัยว่า "การสร้างนิสัยใหม่ต้องใช้เวลากี่วัน?" บ้างก็บอกว่า 7 วัน บ้างก็บอกว่า 30 วัน บ้างก็บอกว่า 60 วัน**
"95% ในการตัดสินใจของมนุษย์ใช้อารมณ์นำเสมอ"
Mindset ที่ 2 ที่กลุ่มคน 1% มีแตกต่างจากคนทั่วไปคือ การมี Extreme Ownership
Extreme Ownership คือ
"การควบคุมอารมณ์ ความคิด และความรู้สึก"
เมื่อคุณควบคุมทั้ง 3 อย่างนี้ได้ คุณก็จะควบคุมการกระทำได้
เมื่อควบคุมการกระทำได้ ผลลัพธ์ก็จะเป็นไปตามที่คุณต้องการ
สมการที่ส่งผลทั้งชีวิต :
Event + Response = Outcome
เหตุการณ์ + การตอบสนอง = ผลลัพธ์
ถ้าเราต้องการผลลัพธ์แบบไหน สิ่งที่เป็นตัวแปรต่อผลลัพธ์นั้นคือ R หรือการตอบสนองของคนแต่ละคนที่ต่างกัน ภายใต้ Event หรือเหตุการณ์เดียวกัน
แย่ + เรียนรู้ = เติบโตขึ้น
แย่ + ทรมาน = แก่ แย่ลง
Personal Growth คือจุดเริ่มต้นของทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะการเติบโตทางกาย อารมณ์ ความคิด จิตวิญญาณ
คนส่วนใหญ่คิดว่าการตอบสนองคือการกระทำ แต่ความจริงแล้วมันเริ่มจากในหัวของคุณแล้ว มันจึงจะส่งออกมาเป็นการกระทำ
คนที่มี Growth Mindset จะเชื่อว่า...
ฉันเรียนรู้ได้ เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าให้เวลาฉัน ฉันแค่ยังทำไม่ได้ในตอนนี้ Not Yet (เป็นไปได้)
ส่วนคน Fixed Mindset จะเชื่อว่า...
ฉันเกิดมาเป็นอย่างนี้ ทำได้แค่นี้ จำกัดอยู่แค่นี้ ฉันไม่มีวันทำได้ไม่ว่าตอนไหน Never (เป็นไปได้)
คนสำเร็จ 1% ทุกคนล้วนมีเรื่องนี้สูง นั่นก็คือ Perseverance
บางคนก็ใช้คำว่า Persistence Resilience หรือ Adversity Quotient (AQ) ซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด มันมีมากมายหลายความหมาย ไม่ว่าจะเป็น ความมานะ เพียรพยายาม อดทน ความยากลำบาก อึด วิริยอุตสาหะ กัดไม่ปล่อย ไม่ได้ไม่ได้ ต้องได้เท่านั้น
ความสามารถในการโฟกัสกับเป้าหมายในระยะยาว ไปต่อได้ทั้ง ๆ ที่เจออุปสรรคมากมาย หรือ AQ (AQ หรือ Adversity Quotient : ความฉลาดในการแก้ปัญหา ความพยายามเอาชนะอุปสรรคความยากลำบากของตัวเองได้ โดยไม่ย่อท้อ)
คนที่มี AQ สูง เขาจะมองปัญหาว่าเป็นความท้าทาย ซึ่งต้องเอาชนะมันให้ได้
● 8 วิธีเพิ่มความ "กัดไม่ปล่อย"
1. ต้องมีฝันในระดับจิตใต้สำนึก :
เริ่มจากการมีความฝัน มีเป้าหมายเป็นจุดเริ่มต้น คุณต้องรู้สิ่งที่คุณต้องการให้ชัดเจนก่อน
2. Growth Mindset คุณต้องเชื่อก่อนว่าคุณทำได้ทุกอย่าง :
ทุกอย่างเรียนรู้ได้ ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขอะไรก็ตาม
3. Hang Out กฎค่าเฉลี่ย :
พาตัวเองไปอยู่ใกล้คนขยัน คนที่มีความฝัน และคนที่มีความมานะพยายาม คนที่กัดไม่ปล่อย
4. ศึกษาคนที่มี AQ :
ศึกษาเรื่องราวของยุคคลที่สำเร็จที่เขามี AQ สูงดูครับ ศึกษาเรื่องราวของเขาให้มาก ๆ ศึกษาและคิดตามว่า ถ้าคุณเจออย่างเขา คุณจะทำอย่างไร ฝึก E+R+O ในหัวได้
5. ฝึกสติ :
ต้องรู้เท่าทันทุกเหตุการณ์ เห็นตัวเองว่ากำลังรู้สึกอย่างไร กำลังจะทำอะไร เมื่อคุณมีสติ คุณจะรู้ทันและจะตอบสนองต่อเหตุการณ์นั้นได้ในทางที่ดี
6. Focus ที่ระหว่างทาง :
คนสำเร็จเขาไม่สนใจเหตุการณ์ เขาจะโฟกัสไปกับสิ่งที่อยู่ในเป้าหมายของเขาเท่านั้น
7. ทำอะไรท้าทายมากขึ้นทุกวัน :
ออกจาก Comfort Zone ทำในสิ่งที่ไม่กล้าทำ ทำอะไรที่มันอึดอัด พัฒนาขึ้นทุกวัน การที่คุณพัฒนาตัวเองขึ้น ไม่ต้องมากแต่ทุกวัน สุดท้ายมันก็เพิ่มมากขึ้น ๆ จนคุณกลายเป็นคนละคนไปเองโดยไม่รู้ตัว
8. ฝึกข้อ 1-7 สม่ำเสมอ :
กลับไปฝึกข้อ 1-7 อย่างสม่ำเสมอ ถ้าถามว่านานขนาดไหน สำหรับผม ผมคิดว่าทั้งชีวิตครับ เพราะสำหรับคน 1% เขากัดไม่ปล่อยจนวันตายครับ
บุคคลที่สำเร็จที่สุดของที่สุดในโลกแล้ว ได้บอกตรงกันว่า กุญแจแห่งความสำเร็จของเขาคือ "การ Focus"
แสดงให้เห็นว่าการ Focus เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
สตีฟ จ็อบส์ บอกว่า คนมักว่า Focus คือ การ Say Yes กับสิ่ง ๆ เดียวในสิ่งที่ใช่ แต่ความจริงแล้ว มันคือการ Say No ในสิ่งที่ไม่ใช่นับร้อยนับพันตลอดเส้นทางต่างหาก
ดังนั้น ในการดำเนินไปสู่เป้าหมายความสำเร็จของคุณ จึงต้องเลือกอย่างระมัดระวังมาก ๆ อะไรที่ไม่ใช่ให้ตัดทิ้งทันที
####################
Multi-task :
เวลานี้หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าการทำอะไรพร้อมกันหลาย ๆ อย่าง คือดี ใครทำได้แปลว่าเก่ง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ซึ่งวิทยาศาสตร์รับรองเรื่องนี้ชัดเจน
การที่คุณทำอะไรสักอย่างให้ประสบความสำเร็จในระดับที่สูงนั้น คุณจะต้องพุ่งไปที่สิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียว
สมองทำได้ทีละ 1 อย่างเท่านั้น การ Multi-task เป็นเพียงการใช้สมองให้มากขึ้น สลับกับกิจกรรมที่ 1 ไป 2 ไป 3 ไป 4 กลับไป 2 กลับไป 1 แต่สุดท้ายคือการทำทีละ 1 อย่าง และยังส่งผลเสียต่อสมองด้วย เช่น ใช้พลังงานสมองเกินความจำเป็น ลด IQ ลด Productivity ทำลายสุขภาพสมอง ลดประสิทธิภาพความจำ การควบคุมอารมณ์ถดถอย
เพราะฉะนั้น เลิก Multi-task เดี๋ยวนี้
แล้วฝึก Single-task ซะ
งานวิจัยบอกว่า คนสำเร็จมักจะเป็นคนคิดเข้าข้างตัวเอง(Optimism Bias) เขาจะคิดว่าฉันต้องทำได้แน่ ๆ ถ้าวันนี้ยังไม่สำเร็จ ฉันจะต้องมีวิธีทำให้สำเร็จได้แน่ ๆ แล้วใจจดจ่อ ทำต่อจนสำเร็จ
ส่วนคนไม่สำเร็จก็จะมัวแต่คิดว่าถ้าไม่สำเร็จจะเกิดอะไรขึ้นบ้างต่าง ๆ นานา(Pessimism Bias) ไปโฟกัสแต่เรื่องที่ทำให้ไม่สำเร็จเขาจึงไม่กล้าลงมือทำอะไรเลย
● 10 วิธีเพิ่ม Focus
คนที่สำเร็จสูงมาก ๆ หรือกลุ่มคน 1% พวกเขาไม่ได้แค่โฟกัสธรรมดา แต่เขามีภาพโฟกัสที่เรียกว่า "Flow State"
1. มีเป้าหมายชัดเจน :
คุณต้องมีเป้าหมายในระดับจิตใต้สำนึกให้ได้ เพราะถ้าคุณไม่มีเป้าหมายที่ลึกระดับนั้น โฟกัสไม่เกิดขึ้นแน่นอน
2. จัดลำดับความสำคัญ Priority :
เรื่องนี้สำคัญมาก!! เพราะถ้าคุณยังไม่รู้ว่าอะไรสำคัญก่อนหลัง คุณก็จะเลือกโฟกัสไม่ได้เลย
กราฟการจัดลำดับความสำคัญ
• สำคัญ/เร่งด่วน
• สำคัญ/ไม่เร่งด่วน
• ไม่สำคัญ/เร่งด่วน
• ไม่สำคัญ/ไม่เร่งด่วน
คนสำเร็จจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในข้อที่ 2 คือการทำเรื่องสำคัญที่ไม่เร่งด่วน คือรู้ว่าอะไรต้องทำ ก็หยิบมาทำก่อนเลย ไม่ต้องรอให้จวนเวลา
คนที่สำเร็จ เขาจะไม่มีอะไรเหลือในข้อแรกที่ต้องให้ทำเลย(สำคัญ/เร่งด่วน) อย่างนี้คือจัดลำดับความสำคัญได้เก่งมาก ๆ อะไรที่สำคัญก่อน หยิบมาทำตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เร่งด่วน แล้วคุณจะมีโฟกัสที่มากขึ้น
####################
Prioritizing is your No.1 priority : การจัดลำดับที่สำคัญที่สุดอันดับ 1 คือ เรื่องการจัดลำดับ!!!
คุณบริหารเวลาไม่ได้ คุณบริหารได้แค่ตัวเอง
3. สมาธิ Mindful :
มีงานวิจัยมากมายรองรับเกี่ยวกับเรื่องทำสมาธิ ว่าช่วยให้คุณมีโฟกัสที่มากขึ้นซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความสำเร็จด้วย คนสำเร็จในโลกล้วนใส่ใจกับการนั่งสมาธิมาก
เรานั่งสมาธิเพื่อให้สามารถโฟกัสและสามารถสร้างผลลัพธ์ในชีวิตได้มากขึ้น
####################
จิตเราเหมือนคลื่นในมหาสมุทร ข้างล่างนิ่ง แต่ข้างบนมีคลื่น การนั่งสมาธินั้นมี 3 วิธี ที่จะมาคอยจัดการคลื่นด้านบนในมหาสมุทรของเรา
วิธีที่ 1 : รวมคลื่นมาอยู่ที่จุดเดียว เป็นการนั่งสมาธิโดยการจับจ้องรวมจิตไปไว้ที่จุดใดจุดหนึ่งเพียงจุดเดียว เช่น ลมหายใจ เพื่อให้เกิดสมาธิ (Focus Attention)
วิธีที่ 2 : การปล่อยให้คลื่นเป็นคลื่น แล้วเฝ้าดู คือ การนั่งสมาธิแบบพิจารณาเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดสมาธิ (Open Monitoring)
วิธีที่ 3 : การกดคลื่นลงทั้งหมด TM หรือ Transcendental Meditation (Automatic Self Transcending)
ประโยชน์ของการนั่งสมาธิ
• ลดความเครียด
• ลดความกังวล
• ลดโอกาสความจำเสื่อม
• ลดการเสพติด
• ลดความดันโลหิต
• เพิ่ม EQ
• เพิ่มการรู้เท่าทันตัวเอง
• เพิ่มความเมตตา
• เพิ่มคุณภาพการนอน
• ทำให้ Focus ได้นานขึ้น
• ช่วยลดอาการเจ็บปวด
4. สร้างบรรยากาศที่สอดคล้อง :
เช่น ถ้าคุณอยากลดน้ำหนักแต่ซื้อคุกกี้กลับมา แล้วบอกตัวเองว่า ฉันจะไม่กินคุกกี้ อย่างนี้คงยากน่าดูใช่มั้ยครับ ทางที่ดีที่สุดคือ ไม่ต้องซื้อมาตั้งแต่แรก แบบนี้คือ การสร้างบรรยากาศให้สอดคล้อง
5. เรียนรู้ที่จะปฎิเสธ :
อะไรที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย เราต้องตัดทันที คุณต้องเลือกเองว่าอะไรที่คุณตัดออกไปได้ เพื่อที่คุณจะนำเวลาตรงนั้นไปคิดเรื่องที่สำคัญกว่า
6. อ่านหนังสือ :
ถ้าคุณรักจะสำเร็จจริง ๆ แล้วคุณไม่อ่านหนังสือ บอกเลยว่ายากมากที่จะไปถึง คนสำเร็จทุกคนเป็นนักอ่านทุกคน การอ่านหนังสือให้ประโยชน์มาก คุณได้เรียนชีวิตคนสำเร็จ 30-40 ปีในหนังสือเพียง 1 เล่ม การอ่านหนังสือทำให้คุณมีสมาธิและเพิ่มโฟกัสให้คุณได้ด้วย
มีงานวิจัยบอกไว้ว่า การอ่านช่วยเพิ่มทั้ง IQ และ EQ อีกด้วย
####################
ประโยชน์จากการอ่าน :
• เพิ่มความฉลาด
• เพิ่มโฟกัส
• เพิ่มความสุข
• ป้องกันการเสื่อมของความจำ
• ลดความเครียด
• เพิ่มทักษะการคิด วิเคราะห์
7. หยุด Multi-task :
จริงอยู่ว่าสมองเรานอดเยี่ยมมาก สามารถใช้งานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าอยากให้ดีต้องทำทีละอย่าง
8. กินดี ออกกำลังกาย นอนให้เพียงพอ :
เรื่องที่แสนจะธรรมดาพื้น ๆ ที่ช่วยเพิ่มโฟกัสได้ ถ้าคุณมีสุขภาพไม่ดี มันก็ยากที่คุณจะมีพลังงานเพื่อความโฟกัสในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้
9. กฎค่าเฉลี่ย :
คุณต้องอยู่กับคนที่มีโฟกัส ถ้ารอบตัวไม่มีก็ลองไปหาในช่องทางต่าง ๆ เช่น หนังสือ ,Youtube ,Internet
1
10. ทำข้อ 1-9 ซ้ำ ๆๆๆๆๆๆๆ :
กลับมาทำข้อ 1-9 ซ้ำ ๆ ทุกวัน และที่สำคัญต้องทำตลอดชีวิต
● วิธีก้าวสู่ภาวะ Flow State
ก็คือ "การอยู่ในภวังค์" นั่นเอง
การที่จะเข้าสู่ Flow State ได้ มีปัจจัยประกอบ 2 เรื่องเท่านั้น คือ
1. Skill หรือทักษะ
2. Challenge หรือความท้าทาย
คนสำเร็จจะพาตัวเองไปอยู่จุด Flow State ที่ต้องใช้ทั้งทักษะและความท้ายทายที่มาก มันจึงทำให้เขามีสมาธิ จดจ่อ สนุกทุกครั้งเมื่อได้ทำสิ่งนั้น และที่สำคัญทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
เมื่ออยู่ในจุด Flow State คุณจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหล่านี้
• ลืมเวลา ลืมปัจจัยภายนอก ลืมกาย
• สนุก ท้าทาย
• ชัดเจน
• มีความสุข สงบ
คนสำเร็จ 1% เขามี Super Discipline หรือการมีวินัยโคตร ๆ ไม่ใช่วินัยธรรมดา หนักเอาเบาสู้ คิดแล้วทำ พูดแล้วทำ ทำจนเสร็จ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ ไม่ว่าสถานะจะไม่เอื้อแค่ไหนก็ตาม
ถ้าคุณมีวินัยอะไรก็เป็นไปได้ ถ้าไร้ซึ่งวินัยอะไรก็เป็นไปไม่ได้
วินัย คือ การตอบสนองอัตโนมัติ ในระดับจิตใต้สำนึกที่ฝึกฝนได้
วอร์เรนบัฟเฟตต์ บอกว่า ถ้าอยากสำเร็จไม่จำเป็นต้องฉลาดกว่าคนอื่น แต่ต้องมีวินัยมากกว่าคนทั่วไป
วินัย คือ การทำสิ่งที่ควรทำแม้ว่าเวลานั้นไม่มีอารมณ์ไม่อยากจะทำก็ตาม
● บอกลานิสัยผัดวันประกันพรุ่งแบบถาวร
1. ติดอยู่กับอดีต :
หลายคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า เขาปล่อยให้อดีตยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ หนึ่งในสาเหตุที่คาดไม่ถึง คือ "การดื้อเงียบ" ไม่ทำทันทีหรือการถ่วงเวลา
2. กลัวความสำเร็จ :
คนบางคนมีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่า สำเร็จเท่ากับภาระ เขาคิดว่าคนสำเร็จต้องเหนื่อย ต้องลำบาก ต้องแบกโลกไว้ทั้งใบ
คุณต้องเปลี่ยนภาษาจากลบให้เป็นบวก เช่น
สำเร็จ = ช่วยคนได้เยอะ / สำเร็จ = สบาย
3. กลัวความล้มเหลว :
คนเหล่านี้คิดว่าถ้าพยายามทำแล้วล้มเหลวล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วจินตนาการถึงชีวิตที่ล้มเหลวต่าง ๆ นานาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาจึงไม่กล้าลงมือทำ
เพราะถ้าเขาทำแล้วไม่สำเร็จ ฉันโดนด่าเละแน่เลย จึงใช้ข้ออ้างว่าไม่มีเวลา ก็คือการผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ นั่นเอง
4. กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร :
ทำให้ตัวเองเลื่อนการลงมือทำไปเรื่อย ๆ เช่น หลายคนอยากลาออกจากงาน แต่ที่ไม่กล้าเพราะกลัวว่าพ่อแม่จะคิดอย่างไร กลัวเพื่อนจะพูดอะไร หรือแฟนจะกังวลมั้ย ถ้าเจ๊งคงมีคนซ้ำเติม เลยทำให้คุณไม่กล้าลาออก หรือลงมือทำอะไรเสียที
5. โดนเวลาหลอก :
ลองดูตัวอย่างนี่นะครับ
ธันวาคม 2018 ถึง กรกฎาคม 2019 และ
มิถุนายน 2018 ถึง ธันวาคม 2018
คุณคิดว่าข้อไหนมีเวลาเยอะกว่ากัน?
ซึ่งถ้าดูกันดี ๆ แล้ว มันเท่ากัน คือ 6 เดือนเท่ากันเลยนะครับ แต่เมื่อคนส่วนใหญ่เห็นข้อแรกว่าเป็นคนละปี รู้สึกว่ายังอีกนาน ยังมีเวลา อย่างนี้จึงชะล่าใจ ไม่ลงมือทำทันที
6. มี Mindset แบบผู้แพ้ :
ความคิดของเขามีแค่ "ได้กับไม่ได้ สำเร็จกับไม่สำเร็จ" เพียงเท่านั้น เช่น ต้องลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัม คุณจะเริ่มมีความคิดแล้วว่ามันยาก
วิธีการแก้คือ นำเป้าหมายนั้นมาซอยย่อย
เช่น ลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมหรอ งั้นคิดแค่เดือนละกิโลก็แล้วกัน
7. กดดันตัวเองมากเกินไป :
ซึ่งหลายคนก็ไม่รู้ตัว และที่สำคัญนานวันไปมันจะลากคุณไว้โดยไม่มีทางรู้ตัวเลย ต่อให้สิ่งนั้นดีแค่ไหน แต่จิตใต้สำนึกบอกว่า "แกทำไม่ได้หรอก" คุณก็จะไม่ทำ
วิธีเปลี่ยน คือ คุณต้องมีเมตตาต่อตัวเอง เปลี่ยนจากกดดันตัวเอง เป็นให้กำลังใจตัวเอง
8. ไม่เห็นคุณค่าของเวลา :
คนส่วนมากเป็น ถ้าคุณไม่เห็นคุณค่าของชีวิตก็จะไม่เห็นคุณค่าของเวลา เพราะความจริงแล้วมันคือเรื่องเดียวกัน
ถ้าเวลาคุณหมดก็เท่ากับชีวิตของคุณจบแล้ว ถ้าคุณเข้าใจและรู้คุณค่าของเวลา คุณจะไม่มัวเสียเวลาไปทำอะไรไร้สาระเลย
เพราะเวลาคือ ทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตคุณ
คน 1% เขารู้ว่าเขามีเวลา "จำกัด" บนโลกใบนี้ ดังนั้นเขาต้องทำให้คุ้มค่าที่สุด
9. H A L T :
"ช่วงเวลาที่คุณเปราะบางที่สุด" ประกอบไปด้วย..
• H = Hungry : หิว
• A = Angry : โกรธ
• L = Lonely : เหงา
• T = Tried : เหนื่อย
นี่แหละคือ ตัวการสำคัญที่รั้งคุณไว้ไม่ให้ทำอะไรสักที
วิธีแก้ก็ง่าย ๆ ตรงไปตรงมานั้นก็คือ..
• หิว : ก็กินซะ กินดี ๆ ด้วยล่ะ
• โกรธ : ก็ปล่อยวาง มี Ownership
• เหงา : ก็ออกไปหาเพื่อน
• เหนื่อย : ก็พัก
แก้ไขง่าย ๆ ตรงไปตรงมาอย่างนี้เลยครับ เมื่อคุณหายแล้ว คุณจะมีแรงมีพลังกลับไปลุยกับชีวิตต่อ(การแก้เชิงรับ) ดีที่สุดคือป้องกันไม่ให้มี HALT แต่แรก(การแก้เชิงรุก)
● 9 วิธีสร้างวินัยให้ถาวร
1. แน่นอนว่าต้องเริ่มจากการมี Purpose ที่ชัดเจน :
เป้าหมายที่ชัดเจนทั้งละเอียดและหยาบ
• หยาบคือสิ่งของ
• ละเอียดคือข้างใน
2. Reprogram เพื่อให้ Automatic :
การใช้คำพูดซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ลงไปจนฝังลงไปในจิตใต้สำนึก
เทคนิคคือ อย่าไปโฟกัสว่าจะแก้สิ่งไม่ดี แต่ให้โฟกัสสิ่งที่ต้องการเลย เช่น แทนที่จะพูดว่าฉันจะไม่ขี้เกียจ ให้พูดว่าฉันเป็นคนขยันไปเลย
3. มีแผนการที่ชัดเจน :
เป้าหมายที่ต้องการคืออะไร และ Action ที่ต้องทำชัดเจน
Key Stone Action คือ การกระทำบางอย่างที่จะส่งผลเป็น Domino Effect ส่งผลไปเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตของคุณด้วย
เช่น ออกกำลังกายแล้ว ทำให้กินอาหารดีขึ้น หลับดีขึ้น ช้อปปิ้งน้อยลง เพราะได้รับฮอร์โมนความสุขเพียงพอแล้ว ทำให้ประหยัดขึ้น หุ่นดีขึ้น มั่นใจขึ้น
4. รับผิดชอบ รู้ว่าอะไรควรทำก็ต้องทำ :
อะไรไม่ควรทำก็ไม่ทำ ควรมีการลงโทษตัวเอง เช่น ปรับเงินเมื่อไม่ทำตามกฎที่ตัวเองตั้งไว้ แล้วนำเงินไปทำบุญหรือยกให้คนอื่น และให้รางวัลตัวเองเมื่อทำได้ ควรเป็นจำนวนเงินที่มากพอให้คุณไม่กล้าผัดวันประกันพรุ่งอีกเลย
5. สร้างองค์ประกอบชีวิต :
ให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ที่อยากได้ เช่น ไม่ชอบอ่านหนังสือจึงต้องใช้วิธีซื้อไว้หลายเล่ม แล้ววางไว้หลาย ๆ จุดเพื่อดักตัวเอง ไม่ว่าจะไปตรงไหนก็เจอ เจอแล้วก็ต้องหยิบมาอ่าน อย่างนี้เป็นต้น
6. Start Small and Simple ซอยเป้าหมายใหญ่ให้เป็นเป้าหมายย่อย ๆ :
เช่น จากไม่เคยวิ่งเลย ตั้งใจจะวิ่งมาราธอนให้ได้ โดยเริ่มจากวิ่งให้ได้วันละ 500 เมตร ถึง 1 กิโลเมตร หรือน้อยกว่านี้ก็ยังได้ ขอให้ได้เริ่ม แล้วค่อย ๆ เพิ่ม เป็นต้น
7. Law of Average กฎค่าเฉลี่ย :
รายล้อมไปด้วยเพื่อนที่มีวินัย
8. แสร้งทำไปเรื่อย ๆ :
จนวันหนึ่งเราจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ Fake it until you make it. หรือจะเรียกว่าฝึก "ฝืน" จนชินก็ได้
9. ทำข้อ 1-8 ซ้ำ :
ทำซ้ำ ๆๆๆๆๆๆ ตลอดไปทั้งชีวิต
● กฎ 5 วินาที
กฎ 5 วินาทีนี้ จะทำให้คุณสามารถสำเร็จมากขึ้น ทำงานได้เข้าเป้ามากขึ้น มีพลังมากขึ้น เพราะกฎนี้จะลดอัตราการผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ ซึ่งการผัดวันประกันพรุ่งนี่เองเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษย์
สมองเราถูก Design มาเพื่อปกป้องร่างกายหรือปกป้องเราให้อยู่รอดปลอดภัย
การที่เราจะอยู่รอดได้ ก็ต้องไม่ทำอะไรที่เป็นอันตราย แล้วอะไรบ้างที่สมองถือว่าเป็นอันตราย ก็คือสิ่งที่อยู่นอกเหนือ Comfort Zone
Comfort Zone คือ สิ่งที่ทำแล้วคุณไม่อึดอัด ทำแล้วสบายใจแล้วก็ชิน เมื่อคุณอยู่ใน Comfort Zone คุณก็จะทำอะไรแค่แบบเดิม ๆ แล้วผลลัพธ์ก็จะได้แบบเดิม ๆ คือปลอดภัย
ถ้าคุณไปดูคนที่ประสบความสำเร็จ เขาสามารถทลายกำแพง Comfort Zone นี้ออกไปได้
ถ้าคุณไม่ทำสิ่งที่คุณอยากทำภายใน 5 วินาที คุณจะไม่ได้ทำเลย เพราะสมองจะเริ่มผลิตเหตุผลให้คุณไม่ทำมัน
วิธีง่าย ๆ วิธีเดียวที่จะสามารถทำลายข้อจำกัดเหล่านี้ได้ คือการใช้กฎ 5 วินาที และมันใช้แบบนี้ครับ คือการนับถอยหลัง 5...4...3...2...1 แล้วทำเลย!! ห้ามนับ 1 ไปถึง 5 อย่างนั้นไม่เวิร์ค เหตุผลเพราะว่าการนับถอยหลังจะทำให้สมองโฟกัสมากกว่า
Rule ที่ 6 ที่คนกลุ่ม 1% มีแตกต่างจากคนทั่วไป นั่นคือเรื่องของ Self-Confidence ซึ่งเป็น Mindset ที่เกี่ยวกับการลงมือสร้างความสำเร็จ
ถ้าคนเราไม่มีความมั่นใจในตัวเองจะไม่มีวันสร้างอะไรได้สำเร็จเลย
ความมั่นใจของเราประกอบด้วย 2 เรื่อง
1. Self Confidence : ความมั่นใจในตัวเอง
2. Self Esteem การรู้คุณค่าในตัวเอง รู้ว่าตัวเองดีพอ การนับถือตนเอง
ถ้าเพียงแค่มีอย่างใดอย่างหนึ่งต่ำ คนคนนั้นจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เมื่อควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จึงไม่กล้าลงมือทำอะไรก็ตามที่อยากทำ เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง
ความมั่นใจในตนเองมีผลโดยตรงต่อความสำเร็จ
BE -> DO -> Have
● Checklist 12 เหตุผลที่ทำให้คนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
1. เกิดจากผู้เลี้ยงดู :
คนดูแลวิจารณ์ คือ การที่เด็กคนนั้นถูกพ่อแม่ หรืออาจเป็นใครก็ได้ที่เลี้ยงดูเขาวิจารณ์ต่อว่าจนเสียความมั่นใจในตัวเอง จึงติดตัวมาจนถึงตอนโต
2. ผู้ดูแลไม่ว่าง :
ผู้ดูแลไม่สนใจ จนทำให้เขาคนนั้นคิดว่าตัวเองไม่มีความสำคัญ
3. ผู้ดูแลทะเลาะกัน :
เมื่อเขาเห็นผู้ดูแลทะเลาะกันจึงเกิด Nagative Emotionส่งผลให้เกิดความรู้สึกว่า "ฉันดีไม่พอ" กลายเป็นคนมีปม
4. โดนแกล้งแล้วไม่มีคนมาช่วย :
ทำให้รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง รู้สึกว่าตัวเองเป็นของมีตำหนิ
5. โดนแกล้งแล้วถูกช่วยมากเกินไป :
ส่งผลให้กลายเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะเขาจะแก้ปัญหาอะไรไม่เป็นเลย
6. โดนใส่ใจมากเกินไป :
คนที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้จะไม่กล้าทำอะไรเลย เพราะเขาไม่เคยต้องทำ ไม่เคยต้องตัดสินใจ กลายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตนเองเมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
7. ปัญหาการเรียนในวัยเด็ก :
หลายคนถูกเปรียบเทียบจากผลการเรียน เมื่อถูกผู้ใหญ่ตัดสินว่าเรียนไม่เก่งคือไม่เก่งไปหมด เขาจึงมองว่าตัวเองไม่ได้เรื่องไม่ดีพอ
8. Trauma เคยถูกกระทำรุนแรง :
ทั้งทางร่างกาย ความรู้สึก และเพศ ทำให้อาย รู้สึกว่าตัวเองเป็นของเสีย
9. อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ไม่ดี :
เด็กที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ไม่ดี เกเร ทำร้าย ว่ากล่าว ให้ร้ายนินทากัน เขาก็จะมีความกังวลและเติบโตขึ้นมากลายเป็นคนไม่มั่นใจในตนเอ
10. Body :
ไม่พอใจในรูปร่าง หลายคนให้ค่ากับค่านิยมของสังคมมากเกินไป
11. รู้สึกหลงทิศหลงทาง :
รู้สึกเหมือนเป็นปลาน้อยในมหาสมุทร เคว้งคว้าง ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ควรทำอะไรกับชีวิต
12. ความคิดลบเป็นชุด ๆ :
เขาก็จะมองตัวเองไม่ขึ้นแล้วกัน มองโลกในแง่ลบ มองตัวเองในแง่ลบ คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ
● 8 วิธีเพิ่มความมั่นใจในตัวเองที่คน 1% ทำ
1. มีสติ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณต้องมีสติ
2. พูดดี ๆ กับตัวเองซ้ำ ๆ บอกตัวเองว่า คุณเป็นคนที่คุณต้องการจะเป็น ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ จนลงไปที่จิตใต้สำนึก
3. เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
4. รู้ไว้เสมอว่า เราทุกคนเก่ง ดี ในทางของตัวเอง
5. ออกกำลังกาย เมื่อคุณออกกำลังกายคุณจะมีพลังงาน และได้รับเติมเต็มความสุขด้วยตัวคุณเอง
6. ช่วยเหลือผู้อื่น วิธีนี้ได้ผลมาก เมื่อคุณช่วยเหลือคนอื่นแล้ว คุณจะเกิดความภูมิใจในตัวเอง
7. ให้อภัย การให้อภัยจะทำให้ใจของคุณผ่อนคลาย
8. อยู่เหนือสถานการณ์ เมื่อคุณมีทัศนคติว่าคุณควบคุมทุกอย่างได้ คุณก็จะรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
● 7 เทคนิคพิเศษ เพิ่มความมั่นใจกล้าทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
1. Start Taking Action :
เริ่มอะไรสักอย่าง ต่อให้คุณยังทำอะไรไม่เป็นเลยแต่ขอให้คุณมีการกระทำอะไรบางอย่าง แล้วคุณจะเชื่อมากขึ้น ในที่สุดผลลัพธ์ที่ต้องการเกิดขึ้นแน่นอน
2. Own Your Success :
หลายคนไม่ยอมรับความสำเร็จ ไม่เปิดรับคำชม ดังนั้นต่อไปนี้เวลามีใครชมคุณก็แค่เปิดรับ ยอมรับมันซะ
3. Monitor Your Self-Talk :
เฝ้าระวังสิ่งที่คุณพูดกับตัวเองให้ดี ๆ นะครับว่า คุณกำลังพูดในทางบวก หรือลบ ถ้าสิ่งนั้นเป็นลบ ให้เปลี่ยนทันที
3.1 ต้องมีสติ
3.2 ลงโทษตัวเองเมื่อคิดลบ
1
4. Stay Away From "Hoover People" :
อย่าอยู่ใกล้คนที่คอยดูดพลังงานของคุณ อยู่ให้ไกลคนกลุ่มนี้ไว้ ถ้ารอบตัวคุณมีแต่คนที่คอยดูดพลัง คุณก็แค่เลือกว่าต้องออกห่าง
5. Go Ahead Fake It! :
จงแสร้งทำจนกว่าจะเป็น เดี๋ยวคุณจะเป็นไปเอง วิธีแสร้งทำที่ง่ายที่สุดคือ การทำท่าทางอย่างคนมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นการยืดตัวขึ้น การทำท่าแบบ Wonder Woman หรือท่าชูมือของคนที่วิ่งเข้าเส้นชัย
6. Find Your Sense of Humor :
คุณต้องมีอารมณ์ขัน ไม่ว่าคุณจะเครียดอยู่ เจอปัญหาอะไรก็ตาม คุณหัวเราะออกมาเลย มันช่วยได้ครับ งานวิจัยบอกว่าการหัวเราะทำให้เอนดอร์ฟินหลั่งมากกว่ามอร์ฟีนถึง 200 เท่าเลยนะครับ
7. Develop Your Attitude of "Gratitude" :
การรู้สำนึกขอบคุณ เห็นคุณค่าในทุกสิ่งรอบตัว คนมักเข้าใจว่าคนที่มีความสุขแล้วจะเป็นคนที่เห็นคุณค่า ที่สำคัญยิ่งคุณรู้คุณค่าสิ่งใดก็ตามคุณจะมีสิ่งนั้นมากขึ้นด้วย
Rule สุดท้าย เป็น Mindset ที่สำคัญที่สุดของกลุ่มคน 1% โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณต้องการประสบความสำเร็จทางด้านการเงิน
นั่นก็คือ Entrepreneurial Mindset หัวใจผู้ประกอบการ หัวการค้า
ถ้าคุณอยากรวย คุณต้องทำธุรกิจและมีความเป็นผู้ประกอบการ
● 5 องค์ประกอบความมั่งคั่งของคน 1%
1. ภาวะผู้นำ หรือ Leadership :
จำไว้นะครับว่า เงินวิ่งหา "ผู้นำ" ไม่ใช่คนฉลาด
ผู้นำจะต้องเป็นคนที่ Interdependent คือ มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่มีอะไรมากระทบได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมาก เหนี่ยวนำผู้คนได้
Your net worth is your network : Debbie Cameron ความมั่งคั่งของคุณจะเท่ากับจำนวนเครือข่ายที่คุณมี หรือจำนวนคนที่คุณเกี่ยวข้อง
ภาวะผู้นำคืออะไร?
มาดูความหมายจากบุคคลระดับโลกกันครับ
• Warren Bennis : ความเป็นผู้นำ คือ ความสามารถในการเปลี่ยนวิสัยทัศน์ให้เป็นความจริงได้
• Bill Gates : ผู้นำในอนาคต คือ กลุ่มคนที่ให้พลังผู้อื่น
• Andrew Canegie : คนที่พยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แล้วอยากได้เครดิต ไม่ใช่ผู้นำ
• John D.Rockefeller : ผู้นำที่ดีจะแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่าคนเก่งทำอย่างไร
• Steve Jobs : การเปลี่ยนแปลงเกิดจากคนที่บ้าพอที่คิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงโลกได้
• Sheryl Sandberg : ผู้นำ คือ การสร้างให้คนอื่นดีขึ้น เก่งขึ้น เมื่อคุณไม่อยู่เขาก็ยังเก่งอยู่
ผู้นำที่ดีต้องมี EQ ที่ดี แล้ว EQ คืออะไร?
EQ (Emotional Quotient) คือ ความสามารถในการรับมือ ควบคุมกับอารมณ์ ทั้งของตัวเองและของคนอื่น
คนที่ EQ ไม่ดีก็เหมือนคนเต้นค่อมจังหวะตลอด พูดผิดกาลเทศะ อารมณ์สวนทางชาวบ้าน
EQ แบ่งเป็น 5 เรื่องย่อย
• Self - Awareness เท่าทันอารมณ์ตัวเอง
• Self - Regulation กำหนดอารมณ์ได้
• Self - Motivation สามารถสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองได้
• Empathy เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
• Social Skill การเข้ากับคนหมู่มากได้ดี
IQ มีผลต่อความสำเร็จน้อยมาก แต่ EQ ต่างหากที่เป็นปัจจัยหลักต่อความสำเร็จ อยากมีรายได้สูง EQ ต้องสูง ถ้าคุณควบคุมอารมณ์ไม่ได้ คุณควบคุมอะไรไม่ได้เลยทั้งนั้น
2. เก่งเรื่องเงิน หัวการค้า :
คนบางคนทำธุรกิจอะไรก็เจ๊ง ซื้อหุ้นก็ผิดตัว ลงทุนอสังหาฯ ก็ขาดทุน ซื้อหวยยังไม่ถูกเลย 55555
ในขณะที่บางคนจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง ทำอะไรก็ขึ้น จะหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ ผมบอกได้เลยว่า มันขึ้นอยู่กับ Financial Blueprint หรือพิมพ์เขียวทางด้านการเงิน ซึ่งอยู่ในจิตใต้สำนึกที่เปลี่ยนได้
เพราะทักษะการทำงานคือความสามารถเพียงด้านเดียว แต่การทำธุรกิจนั้นคุณต้องเก่งรอบด้าน มีทักษะรอบด้าน จึงจะเรียกได้ว่า Entrepreneurial Mindset
3. Big Picture Thinking การเห็นภาพใหญ่ :
การมี Long-Term Mindset การมองการณ์ไกล เห็นภาพระยะยาว และอดทนรอคอยได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเสถียรของรายได้ที่คุณต้องมี แล้วค่อยคิดเพิ่มให้มีจำนวนเยอะและความเร็วค่อยตามมา
ความสำเร็จมันคือ เกมระยะยาว
4. รักการเรียนรู้ ผู้สำเร็จไม่หยุดเรียนเพียงแค่ในห้องเรียนเท่านั้น แต่เขาเรียนรู้ตลอดชีวิต :
ความรู้ที่เราเรียนรู้จากห้องเรียนนั้นตกรุ่นเร็วมาก หลายสิ่งที่คุณเรียนมานั้น ทุกวันนี้ใช้ไม่ได้แล้วครับ โลกเปลี่ยนไปไวมาก ดังนั้นคุณก็ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และตลอดชีวิต
วิธีการเรียนรู้
• อ่านหนังสือ
คนสำเร็จทุกคนเป็นนักอ่าน ถ้าคุณอยากสำเร็จคุณต้องอ่านหนังสือครับ
• ตั้งคำถาม
คนสำเร็จเขาจะถามตัวเองอยู่เสมอว่า ฉันยังไม่รู้อะไรอีกไหม เพื่อให้เก่งขึ้น ดีขึ้น ต้องรู้อะไรอีกบ้าง
• กฎค่าเฉลี่ย
คุณต้องแวดล้อมไปด้วยคนที่รักการเรียนรู้
5. เป็นศิษย์มีครู มีพี่เลี้ยง มี Mentor :
คนสำเร็จจะมีคนที่เป็นครู มีที่ปรึกษา มีคนคอยให้คำปรึกษาแนะนำทุกคน ไม่มีใครที่คิดว่าตัวเองเก่งเพียงพอโดยที่ไม่ต้องขอคำแนะนำจากใคร
ดังนั้น หากคุณอยากเป็นคนสำเร็จ คุณต้องหาพี่เลี้ยง ต้องหาที่ปรึกษาที่คุณเชื่อใจได้อย่างแท้จริง
● แล้วเราจะพบกันที่ 1%
หลายคนอาจคิดว่าคน 1% นั้น ทำ "มากเกินปกติ" หรือ Over Perform และ คน 99% ซึ่งเป็นคนส่วนมากนั้น "ปกติ" หรือ Normal
แต่ผมอยากให้ทุกคนคิดใหม่ว่า คน 1% นั่นแหละที่ปกติ พวกเขา Normal ส่วนคน 99% นั้น "ทำน้อยกว่าปกติ!" หรือ Under Perform
การที่คิดว่าคน 1% ทำมากกว่าปกติ รู้มั้ยครับว่าลึก ๆ แล้วมันคือข้ออ้างให้เรารู้สึกดี รู้สึกว่าเราไม่ผิด มันเป็นการชี้นิ้วออก เพื่อให้เราไม่ต้องพัฒนา
ปล.1
ทุกวันนี้ ทุกอย่างแค่ปลายนิ้วสัมผัส อยากได้รถ Taxi กดเรียก Grab อยากได้อาหารกดสั่ง Line Man อยากไปใช้ Google Map อยากโอนเงินใช้ Mobile Banking ง่ายจนทำให้เราไม่อยากจะทำอะไรเลย
เราคุยกันเรื่องความเหลื่อมล้ำของรายได้ หรือ Wealth Gap ใช่มั้ยครับ ที่คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนชั้นกลางยิ่งหด คนจนยิ่งมากขึ้น
Mindset ต่างกันไม่มาก แต่พอนาน ๆ เข้า 10 ปี 20 ปี 30 ปี ต่างกันฟ้ากับเหว
คนส่วนใหญ่คิดว่าต่างกันเล็กน้อย
เปรียบเหมือนเครื่องบินที่ออกจากสุวรรณภูมิ จะบินไปลอสแองเจลิส ถ้าเครื่องบินเอียงเพียง 1% เท่านั้นไม่ต้องเยอะ เครื่องบินลำนี้ไม่ใช่แค่พลาดจากลอสแองเจลิสไปหลายกิโล แต่เครื่องบินลำนี้อาจโผล่ไปยุโรปเลยก็ได้
ทำไม่เป็นอย่างนั้น?
เพราะระหว่างทางมี "ลมต้าน" ไม่ต้องแรงมากด้วย แค่ลมเบา ๆ แต่ผลของมันมหาศาลมาก อย่าเข้าใจว่าเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญนะครับ เล็ก ๆ แต่นาน ๆ ผลของมันมหาศาลมาก
ปล.2
อย่าพยายามเป็นคน 1% เพียงเพราะเงิน นั่นมันคือแรงขับเคลื่อนจากภายนอกหรือ Exotrinsic Drive เพราะแรงขับเคลื่อนจากภายนอกเป็นแรงขับที่แย่ที่สุด
เพราะถ้าวันนั้นคุณได้ก้าวไปเป็นคน 1% จริง ๆ เพราะอยากได้ดงินเยอะ ๆ โดยไม่มีแรงขับเคลื่อนภายใน วันนั้นคุณจะรู้สึกเคว้งคว้างเป็นอย่างมาก
คน 1% ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จริง ๆ นั้นล้วนมาจากแรงขับเคลื่อนภายในหรือ Intrinsic Drive คือ พวกเขาพัฒนาเพราะอยากพัฒนาจริง ๆ ไม่ใช่อยากพัฒนาเพราะมีรายได้มากขึ้น จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว แต่ยังพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้ง
เพราะแรงขับของเขามาจากภายใน ไม่มีปัจจัยภายนอกมาเกี่ยวข้อง เขา "อยากพัฒนา เพราะอยากพัฒนา"
ปล.3
7 Rule (กฎ) แรกก็ทำให้คุณประสบความสำเร็จเป็นคน 1% ได้แล้ว แต่ถ้าคุณมี Mindset พิเศษนี้ ผมการันตีว่า คนจะจดจำคุณไปตลอดกาล แม้ว่าคุณลาจากโลกนี้ไปแล้ว
ถ้ารวยแล้ว เก็บเงินไว้ใช้เพียงคนเดียว ไม่นำเงินที่หาได้ไปแบ่งปันช่วยเหลือผู้อื่น นั่นเป็นการรวยที่ไร้ประโยชน์มาก
โดยส่วนตัวผมเองจะพยายามอ่านหนังสือให้จบพร้อมกับพิมพ์สรุปเนื้อหาทั้งเล่มภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์/เล่ม สำหรับเล่มนี้อ่านสนุกมาก ยิ่งอ่านยิ่งเพลิน ผมอ่านวนไปวนมาหลายรอบมาก ๆ เพราะเราอยากอ่านแล้วสามารถนำไปปฎิบัติได้เลย แล้วหนังสือเล่มนี้ก็สามารถเป็นแบบนั้นได้จริง ๆ
ในทุกวันผมจะอ่านหนังสือเฉลี่ยวันละ 10-15 หน้า/วัน(อ่านตอนเช้าและก่อนนอน) บางวันมีเวลาว่างระหว่างวันจะได้อ่านทั้งวันมากกว่า 50+ หน้า ในทุกครั้งที่ผมอ่านจบก็จะสรุปเนื้อหาที่อ่านจากหนังสืออีกที
สุดท้าย..
ขอบคุณทุกกำลังใจจากทุกคนมากจริง ๆ ที่มาคอมเม้นบทความเก่า ๆ ที่ผมได้ทำลงไปในแต่ละครั้ง พอได้เห็นคอมเม้นจากทุกคนแล้วทำให้ผมมีไฟอยากจะมานั่งสรุปหนังสือให้ทุกคนได้อ่าน ได้ฟังกันต่อไปเรื่อย ๆ เลย
เพียงคุณพิมพ์คอมเม้นมาพูดคุยก็เหมือนให้กำลังใจคนที่ทำบทความแล้ว หรือคุณกดติดตาม เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นกำลังใจ เป็นแรงขับเคลื่อน ให้กับเพจเล็ก ๆ เพจนี้แล้วครับ
>>> อ่านหนังสือพัฒนาตนเอง <<<
14.02.2020

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา