24 พ.ค. 2020 เวลา 02:00
Challenge for Change
ท้าทายเพื่อเปลี่ยนแปลง
หากเราใช้ชีวิตไปวันหนึ่งๆ เหมือนเดิม เราจะไม่รู้เลยว่าเรามีความสามารถอะไรซ่อนอยู่บ้าง ศักยภาพของแต่ละคนเปรียบเสมือนพลังงานมหาศาล ที่หลับไหลอยู่ภายใต้ตัวเรา ซึ่งถ้าเราสามารถปลุกมันให้ขึ้นมาได้ เราจะรู้เลยว่าความสามารถที่ซ่อนอยู่ของเรายังสามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้อีกมากมาย
เราลองมารู้จักกับคำว่า Challenge for change หรือความท้าทายเพื่อการเปลี่ยนแปลงกันดีกว่า
คนเรามีธรรมชาติคือ จะทำอะไรแบบซ้ำๆ ที่เคยทำมา เคยทำอะไรก็จะทำไปอย่างนั้น จนกว่าจะมีผู้กล้าคนใดคนหนึ่งคิดนอกกรอบ และทำนอกกรอบ ทลายกรอบออกมาเผชิญหน้ากับความท้าทาย เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างเช่น เมื่อเกือบหมื่นปีที่แล้ว สังคมมนุษย์เพิ่งเข้าสู่ยุคเกษตรกรรมได้ไม่นาน มีคนบางคนอยู่ริมทะเล มองไปที่ผิวน้ำอันเวิ้งว้างสุดขอบฟ้า เกิดจินตนาการว่า ที่สุดขอบฟ้านั้นมีอะไร ปกติก็แค่ใช้เรือลำเล็กๆ ออกไปจับปลาริมฝั่ง แต่พออยากรู้มากๆ เข้า เกิดความรู้สึกท้าทาย ลองเดินเรือออกไปไกลๆ แรกเริ่มก็ 50 กิโลเมตรแล้วก็กลับ นานๆ เข้าก็ 100 กิโลเมตร 200 กิโลเมตร ไปจนถึง 1,000 กิโลเมตร ไกลออกไปจนได้ค้นพบหมู่เกาะต่างๆ มากมาย
นักมนุษยวิทยาถกกันมาเป็นเวลากว่า 100 ปี ว่าชาวเกาะในหมู่เกาะทะเลใต้ ในมหาสมุทรแปซิฟิกมาจากไหน บ้างก็บอกว่ามาจากทวีปอเมริกา บางคนพยายามพิสูจน์ทฤษฎีโดยผูกแพขึ้น แล้วเดินเรือไปเกาะตาฮิติกันเลยทีเดียว แต่ปัจจุบันได้ข้อสรุปจากผลการวิจัยเรื่องดีเอ็นเอ และเส้นทางการเดินเรือ รวมทั้งพวกข้าวของอุปกรณ์ต่างๆ ที่หลงเหลืออยู่ ได้ข้อสรุปว่า ชาวเกาะเหล่านี้มาจากเอเชียนั่นเอง
ส่วนคำถามว่า เรือลำเล็กๆ เดินทางไปพันๆกิโลได้อย่างไร บางจุดเป็น 10,000 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางไปกลับเป็นปีเลยก็มี เข็มทิศต่างๆ ก็ยังไม่มี หากไปแล้วกลับไม่ถูก หลงทาง เรือล่มจมกลางสมุทร ความเสี่ยงมากมายมหาศาล เขาไม่กลัวกันหรือ หากเพราะมีบุคคลที่พร้อมรับการท้าทาย มีหัวใจที่เข้มแข็ง ระบาดความกล้าหาญไปถึงคนอื่น คนอื่นใกล้ตัวได้ผู้นำที่กล้าหาญก็เกิดความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ร่วมอุดมการณ์พิสูจน์ความท้าทายจนค้นพบเกาะต่างๆ อีกมากมาย
เกือบทุกเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกถูกค้นพบโดยมนุษย์โบราณเหล่านี้ ด้วยเรือลำเล็กๆ กับความเสี่ยงอย่างยิ่งยวด แต่เขาก็ทำจนสำเร็จ ทุกความท้าทายมีความเสี่ยง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจะมีความสำเร็จและความชื่นใจรออยู่
บน Mark Zuckerberg (กลาง) , ล่าง Bill Gates
หากมองใกล้ตัวเราเข้ามา Bill Gates, Mark Zuckerberg มีความคล้ายกัน คือ เรียนอยู่ฮาร์วาร์ด แต่กล้าลาออกมาตั้งบริษัท บิลเกตส์ตั้ง Microsoft มาร์คตั้ง Facebook ทั้งคู่ท้าทายด้วยการลาออกจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก ถ้าบริษัทที่ตั้งขึ้นไม่ประสบความสำเร็จ ตัวเองก็มีวุฒิม.ปลาย เขาทั้งสองอาจจะต้องไปทำอาชีพอื่นๆ ถามว่าทำไมไม่เรียนให้จบเสียก่อนแล้วค่อยไปทำ เขาบอกว่า เขาเห็นความสำเร็จและรู้สึกท้าทาย อยากจะทุ่มเวลาทั้งหมดทำบริษัทให้สำเร็จจึงตัดสินใจลาออก
บุคคลที่ประสบความสำเร็จในโลก ล้วนแล้วแต่มีความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับความท้าทาย เพื่อจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับโลกทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลาย อย่ากลัวความท้าทาย แต่ให้เดินหน้าออกจากคอมฟอร์ทโซน ออกจากความคุ้นเคยเดิมๆ ท้าทายตัวเองแล้วลองทำสิ่งใหม่ๆ อย่าปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับสิ่งที่เป็น routine ไปทุกวัน ๆ
อาตมาตั้งแต่เด็กก็พยายามจะท้าทายตัวเอง ชอบทำกิจกรรม ตอนปลายมศ.2 ก็สมัครเป็นประธานนักเรียน ตัวเองอยู่ไม่ถึงมศ.5 ก็ลงสมัครเลยเพราะไม่ได้มีระเบียบอะไรห้ามไว้ ปกติจะเป็นพี่ มศ.4 สมัครตอนปลายปี และทำหน้าที่ประธานสภานักเรียนตอนมศ.5 แต่เราอยู่มศ.2 มีสิทธิ์สมัครได้ เลยชวนเพื่อนๆ ที่เล่นกีฬาด้วยกันมาช่วยกันหาเสียง ทำโปสเตอร์ปิดประกาศปราศรัย เลือกตั้งเสร็จเราได้คะแนนสูงสุด เลยได้เป็นประธานสภานักเรียน ได้ทำกิจกรรมอะไรที่ไม่เคยทำ ลองผิดลองถูก ทุกอย่างมีโอกาสพลาด แต่ก็ถือว่าผิดเป็นครู ท้าทายสิ่งใหม่ๆ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยไป
จนมาเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เข้าคณะแพทย์จุฬาฯ จนมาบวช บวชแล้วทำหน้าที่อบรมพระธรรมทายาท 4-5 ปี เมื่อถึงคราวหมู่คณะส่งไปเรียนที่ญี่ปุ่นก็ไป ทั้งๆ ขณะนั้นในประเทศญี่ปุ่นมีพระไทยอยู่รูปเดียว ยังไม่มีวัดไทยแม้แต่แห่งเดียว ไปอยู่หอพักนักศึกษา ทั้งๆ ที่ภาษาก็ยังคุยไม่รู้เรื่อง ลูกศิษย์ก็ไม่มี ไปถึงก็ต้องปรับตัว ทั้งภาษา อาหาร วัฒนธรรม ทุกอย่าง หน้าหนาวก็ป่วยเป็นไข้หวัดเป็นเดือน แต่หลังจากนั้นก็ยืนหยัดขึ้นมาได้ แล้วก็เดินหน้าต่อไป ทุกการท้าทายเราต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ ต้องแค้นศักยภาพเราออกมา แต่เมื่อผ่านไปแล้วผลลัพธ์ก็จะงดงามเสมอ เราจะไม่ติดอยู่ในกรอบเปลือกเก่าๆ อีก หรือแม้ตอนนี้อายุเกิน 50 ปีแล้ว พอปลีกเวลาได้ ดูแล้วประเทศจีน 1,000 กว่าล้านคน
การเผยแพร่พระพุทธศาสนาในอนาคตประเทศจีนเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่ง เราเองก็พอมีพื้นภาษาจีนสมัยเด็กๆ มาบ้าง แต่ก็ทิ้งไป 40 กว่าปีแล้ว ก็ไปเรียนภาษาจีนดีกว่า ไปถึงก็ไม่ได้คิดว่าเราอายุมากแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้วไปเรียนกับเด็กๆ ได้อย่างไร ก็ไปเรียนที่สถาบันภาษาในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ผู้เรียนส่วนใหญ่อายุ 20 ปีบ้าง มี 30 กว่าบ้างก็นิดหน่อย อาตมามีอายุมากกว่าอาจารย์ที่สอนเสียอีก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เราเป็นนักเรียนก็ทำหน้าที่เรียน
ตรงนี้เมื่อออกจากคอมฟอร์ทโซน ความคุ้นเคยเดิมๆ เราอย่าไปติดในอายุ ในสถานะเดิมของตัวเอง เปิดใจให้กว้าง ทำตัวใหม่เสมอ ศึกษาเมื่อทุ่มเทจริงจัง สติปัญญานั้นไม่ทราบ แต่ถ้าเรื่องความขยัน อาตมากล้าที่จะพูดว่าเราทุ่มเทไม่แพ้ใครเลย หรือกล้าพูดว่าขยันมากกว่านักเรียนคนอื่นทั้งหมด ถือเป็นการท้าทายตัวเองที่ว่า มีเวลาเรียนนับได้ประมาณ 100 วัน ก่อนจะกลับจึงไปสอบวัดระดับความรู้ภาษาจีนคล้ายๆโทเฟลจีน เรียกว่า HSK มีทั้งหมด 6 ระดับ ระดับ 6 สูงสุด ผลสอบออกมาก็ผ่านด้วยคะแนนสูงที่สามารถเข้าเรียนทุกคณะในมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้หากต้องการจะเข้าเรียน ด้วยเวลา 100 วัน พิสูจน์ว่าทำได้แม้จะอายุ 57 แล้วก็ตาม แต่ก็ต้องทุ่มเทอย่างจริงจัง
ดังนั้นพวกเราทุกคน ขอให้กล้าหาญที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เริ่มง่ายๆ ก่อนก็ได้ วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ขอให้เราปลีกเวลาสัก 1 ชั่วโมง ทำอะไรที่เราเองไม่เคยศึกษาไม่เคยทำมาก่อน เคยแต่คิดๆ ว่าอยากจะทำก็เริ่มทำสักที บางคนอาจคิดว่าตอนนี้อายุมากแล้ว จะเกษียณอยู่แล้ว อย่าไปคิดอย่างนั้น เราสามารถศึกษาเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา ปรับตัวเองอย่ายึดติดอยู่กับความสะดวกสบายหรือความคุ้นเคยเดิมๆ ผจญสิ่งใหม่ลำบากกว่า แต่การที่ท้าทายตัวเองกับสิ่งใหม่ๆ จะกระตุ้นตัวเราให้ตื่นตัว เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น จะนำตัวเราประสบความสำเร็จ สามารถนำความรู้ความสามารถที่เพิ่มขึ้นมานี้ มาเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้
เจริญพร
การเเผยแผ่ศาสนาในญี่ปุ่่น
โฆษณา