26 พ.ค. 2020 เวลา 07:02 • การศึกษา
มงคลที่ 14 ทำงานไม่คั่งค้าง
Cr. kalyanamitra.org
ดินที่พอกหางหมู มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นๆ
และถ่วงหมูให้กินอยู่หลับนอนไม่เป็นสุขยิ่งๆ ขึ้นไปฉันใด
การงานที่ปล่อยทิ้งไว้คั่งค้าง ก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
และถ่วงความเจริญก้าวหน้าทั้งแก่ตนเอง และหมู่คณะฉันนั้น
ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน
หากปล่อยการงานให้คั่งค้าง
ก็เท่ากับกำลังทำลายค่าของตนเอง
เหตุที่ทำให้งานคั่งค้าง
1.ทำงานไม่ถูกกาล ยังไม่ถึงเวลาทำก็ใจร้อนด่วนไปทำ แต่พอถึงเวลาควรทำกลับไม่ทำ เช่น ตอนแดดออกมัวไปถูบ้าน พอฝนตกกลับไปซักเสื้อผ้า ตากเท่าไหร่ก็ไม่แห้ง หรือตอนเด็กไม่ยอมเรียนหนังสือ เที่ยวสำมะเลเทเมา พอแก่เฒ่าจะมาเรียนก็เรียนไม่ไหวแล้ว
2.ทำงานไม่ถูกวิธี ทำผิดขั้นตอน ผิดลำดับ เช่น จะทำความสะอาดบ้าน ก็ไปกวาดพื้นก่อนแล้วกวาดเพดานทีหลัง ฝุ่นผงต่างๆ ก็ตกลงมาต้องกวาดพื้นใหม่อีก
3.ไม่ยอมทำงาน ชอบผัดวันประกันพรุ่ง หรือหาเหตุต่างๆ นานามาอ้าง เช่น รอฤกษ์รอยาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าเราจะทำความดีเมื่อไร ฤกษ์ก็ดีเมื่อนั้น ไม่ต้องรอ ทำไปได้เลย ประโยชน์ย่อมเป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง
ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนโง่ ผู้มัวรอฤกษ์ยามอยู่
ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์เอง ดวงดาวจักทำอะไรได้
ขุ. ชา. เอก. ๒๗/๔๙/๑๖
วิธีทำงานให้เสร็จ
วิธีทำงานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้คือ อิทธิบาท 4 ได้แก่
1.ฉันทะ คือความรักงาน หรือ ความเต็มใจทำ
2.วิริยะ คือความพากเพียร หรือ ความแข็งใจทำ
3.จิตตะ คือความเอาใจใส่ หรือ ความตั้งใจทำ
4.วิมังสา คือการพินิจพิเคราะห์ หรือ ความเข้าใจทำ
ฉันทะ คือ ความรักงาน จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราเล็งเห็นผลดีของงานว่าถ้าทำงานนี้แล้วจะได้อะไร เช่น เรียนหนังสือแล้วจะได้วิชาความรู้ไปประกอบอาชีพ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราก็จะเกิดความเต็มใจทำ
คนสั่งงานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความพอใจให้แก่ผู้ทำงาน ควรจะให้เขารู้ด้วยว่าทำแล้วจะเกิดผลดีอย่างไร หรือถ้าไม่ทำจะเสียผลทางไหน ผู้สั่งงานบางคนใช้อำนาจบาทใหญ่ บางทีสั่งพลางด่าพลาง ใช้ถ้อยคำดูหมิ่นเหยียดหยามไปพลาง เป็นการทำลายกำลังใจของผู้ทำ นับว่าทำผิดอย่างยิ่ง
วิริยะ คือ ความพากเพียร ความไม่ท้อถอย เป็นคุณธรรมทางใจเรียกความรู้สึกนี้ว่า ความกล้า อยากจะรู้ว่ากล้าอย่างไร ต้องดูทางตรงข้ามเสียก่อน คือทางความเกียจคร้าน คนเกียจคร้านทุกคนและทุกครั้ง คือคนขลาด คนกลัว กลัวหนาว กลัวร้อน กลัวแดด กลัวฝน จะทำงานแต่ละครั้งเป็นต้องอ้างว่าหนาวจะตาย ร้อนจะตาย หิวจะตาย อิ่มจะตาย เหนื่อยจะตาย ง่วงจะตาย คนเกียจคร้านทุกคนตายวันละไม่รู้กี่ร้อยครั้ง
การเอาชนะคำขู่ของความเกียจคร้านเสียได้ ท่านเรียกว่า วิริยะ คือ ความเพียรหรือความกล้านั่นเอง แม้จะมีอุปสรรคเพียงใด แต่ก็จะมีความแข็งใจทำ และการจะมีความเพียรขึ้นมาได้ จำเป็นต้องละเว้นจากอบายมุขให้ได้เสียก่อน
มีข้อน่าสังเกตสำหรับคนทำงานร่วมกันคือ จะต้องขยันด้วยกันทั้งหัวหน้าและลูกน้องจึงจะได้เรื่อง ยิ่งผู้เป็นหัวหน้ายิ่งสำคัญมาก ถ้าเป็นคนเกียจคร้านคิดกินแรงผู้น้อยท่าเดียว คิดแต่ว่า ให้แกวิดน้ำท่าข้าจะล่อน้ำแกง ผู้น้อยก็มักขยันไปได้ไม่กี่น้ำ ประเดี๋ยวก็รามือกันหมด แต่ถ้าหัวหน้าเอาการเอางาน ก็ดึงผู้น้อยให้ขยันขันแข็งขึ้นด้วย
ฐานะ 5 อย่างคือ ความชอบนอน ความชอบคุย ความไม่หมั่น ความเกียจคร้าน และความโกรธง่าย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นทางแห่งความเสื่อม เพราะคนถึงพร้อมด้วยฐานะ 5 อย่างนั้น เป็นคฤหัสถ์ก็ไม่ถึงความเจริญของคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิตก็ไม่ถึงความเจริญของบรรพชิตย่อมเสียหายถ่ายเดียว ย่อมเสื่อมถ่ายเดียวแน่แท้
อรรถกถา ปรากวสูตร ขุททกนิกาย สุตตนิบาต
จิตตะ คือความเอาใจใส่ หรือ ความตั้งใจทำ คนมีจิตตะเป็นคนไม่ปล่อยปละละเลยกับงานของตน คอยตรวจตรางานอยู่เสมอ
ปกติคนที่โตเป็นผู้ใหญ่รู้ผิดชอบแล้ว ที่จะเป็นคนเฉยเมยไม่ใส่ใจกับงานเลยมีไม่เท่าไร ส่วนใหญ่มักจะใส่ใจกับงานอยู่แล้ว เพราะธรรมชาติของใจคนชอบคิดทำให้หยุดคิดสิยาก แต่เสียอยู่อย่างเดียวคือ ชอบคิดเจ้ากี้เจ้าการแต่เรื่องงานของคนอื่น คอยติ คอยสอด คอยแทรก คอยวิพากษ์วิจารณ์ ธุระของตัวกลับไม่คิดเสียนี่ เห็นคนอื่นใส่เสื้อขาดรูเท่าหัวเข็มหมุดก็ตำหนิติเตียนเขาเป็นเรื่องใหญ่แต่ทีตัวเอง มุ้งขาดรูเท่ากำปั้นตั้งเดือนแล้วเมื่อไรจะเย็บล่ะ และที่เที่ยวไปสอดแทรกงานเขา แต่งานเราไม่ดูนั้น มันทำให้อะไรของเราดีขึ้นบ้าง เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราเป็นนักตรวจตรางาน คือให้มีจิตตะ แล้วก็ทรงให้โอวาทสำทับไว้ด้วยว่า
ควรตรวจตรางานของตัวเอง ทั้งที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ
ขุ. ธ. ๒๕/๑๔/๒๑
วิมังสา คือความเข้าใจทำ สุดยอดของวิธีทำงานให้สำเร็จอยู่ในอิทธิบาทข้อสุดท้ายนี้ วิมังสา แปลว่า การพินิจพิเคราะห์ หมายความว่า ทำงานด้วยปัญญา ด้วยสมองคิด ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ คนเราแม้จะรักงานนแค่ไหน บากบั่นปานใด หรือเอาใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าขาดการใช้ปัญญาพิจารณางานด้วยแล้ว ผลที่สุดงานก็คั่งค้างจนได้ เพราะแม้ว่าขั้นตอนการทำงานจะสำเร็จไปแล้ว แต่ผลงานก็ไม่เรียบร้อย ต้องทำกันใหม่ร่ำไป
อีกประการหนึ่ง คนทำงานที่ไม่ใช้ปัญญา ไปทำงานที่ไม่รู้จักเสร็จ จะปล้ำให้มันเสร็จ หนักเข้าตัวเองก็กลายเป็นทาสของงาน เข้าตำรา เปรตจัดหัวจัดตีน ตามเรื่องที่เล่าว่า เปรตตัวหนึ่งได้รับคำสั่งจากหัวหน้าเปรตให้ไปเฝ้าศาลาข้างทาง เวลาคนนอนหลับเปรตก็ลงจากขื่อมาตรวจดูความเรียบร้อย ทีแรกก็เดินดูทางหัว จัดแนวศีรษะให้ได้ระดับเดียวกันให้เป็นระเบียบ ครั้นจัดทางศีรษะเสร็จก็วนไปตรวจทางเท้า เห็นเท้าไม่ได้ระดับก็ดึงลงมาให้เท่ากัน แล้วก็วนไปตรวจทางศีรษะอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีวันเสร็จสิ้นได้เลย หาได้นึกไม่ว่า คนเขาตัวสูงก็มี เตี้ยก็มี ไม่เสมอกัน จัดจนตายก็ไม่เสร็จ คนที่ทำงานไม่ใช้ปัญญาจัดเป็นคนประเภท เปรตจัดหัวจัดตีน อย่างนี้ก็มี ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาหน่อยเดียว ทำให้เสร็จเท่าที่มันจะเสร็จได้ใจก็สบาย
คนที่ทำงานด้วยปัญญานั้นจะต้อง
-ทำให้ถูกกาล ไม่ทำก่อนหรือหลังเวลาอันควร
-ทำให้ถูกลักษณะของงาน
สรุปวิธีการทำงานให้สำเร็จนั้น มีลักษณะล้วนขึ้นอยู่กับใจทั้งสิ้นคือเต็มใจทำ แข็งใจทำ ตั้งใจทำ และเข้าใจทำ วิธีการฝึกฝนใจที่ดีที่สุดก็คือ การให้ทาน การรักษาศีล และการทำสมาธิเพื่อให้ใจผ่องใส ทำให้เกิดปัญญาพิจารณาเห็นผลของงานได้ รู้และเข้าใจวิธีการทำงาน มีกำลังใจและมีใจจดจ่ออยู่กับงาน ไม่วอกแวก
อุปสรรคในการทำงานให้เสร็จ
อุปสรรคใหญ่ในการทำงานให้เสร็จก็คือ อบายมุข 6 ได้แก่
1.ดื่มน้ำเมา
2.เที่ยวกลางคืน
3.ดูการละเล่นเป็นนิจ
4.เล่นการพนัน
5.คบคนชั่วเป็นมิตร
6.เกียจคร้านในการทำงาน
อบาย แปลว่า ความเสื่อม ความฉิบหาย มุข แปลว่า ปาก,หน้า
อบายมุข จึงแปลว่า ปากทางแห่งความเสื่อม เนื่องจากมันเป็น ปากทาง ส่วนตัวความเสื่อมจริงๆ นั้นอยู่ ปลายทาง เมื่อมองเพียงผิวเผินเราจึงมักยังมองไม่เห็นความเสื่อม แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและท่านผู้รู้ทั้งหลายมองเห็น
ถ้าจะดูกันแต่ปากทางแล้ว ก็อาจเห็นเป็นความเจริญด้วยซ้ำ เหมือน...
ปากทางที่จะไปเข้าคุกก็เป็นถนนราบเรียบแต่ปลายทางเป็นคุกที่ทรมาน
ปากทางที่จะตกลงบ่อ ก็เป็นพื้นดินสะอาด แต่ก้นบ่อมีน้ำที่จะทำให้ผู้ตกลงไปจมหรือสำลักน้ำตาย
ปากทางที่จะตกลงเหว ก็เป็นป่าหญ้างามดี แต่ก้นเหวลึกมากจนทำให้คนที่ตกลงไปตายได้
เช่นกัน อบายมุขซึ่งเป็นปากทางแห่งความฉิบหายนี้ ดูเผินๆ ก็ไม่มีพิษสงอะไร เที่ยวกลางคืนก็สนุกดี เล่นการพนันก็เพลิดเพลินดี แต่ก็ทำให้ผู้ประพฤติทำการงานไม่สำเร็จ เสื่อมไปจากความเจริญก้าวหน้าและกุศลธรรมทั้งหลาย ที่ถึงกับฉิบหายขายตัวไปแล้วก็มากต่อมาก อบายมุขจึงเป็นเสมือนหน้าตา สัญลักษณ์ของความเสื่อม บุคคลใดยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขก็รู้ได้ทันทีว่าผู้นั้นมีความเสื่อมเกิดขึ้นแล้ว
เรื่องน่ารู้
คุณสมบัติของนายจ้างที่ดี
1.จัดงานให้ลูกจ้างทำตามความเหมาะสม
2.ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความสามารถ
3.ให้สวัสดิการที่ดี
4.มีอะไรได้พิเศษมาก ก็แบ่งปันให้
5.ให้มีวันหยุดพักผ่อนตามสมควร
คุณสมบัตืของลูกจ้างที่ดี
1.เริ่มทำงานก่อน
2.เลิกงานทีหลัง
3.เอาแต่ของที่นายให้
4.ทำงานให้ดียิ่งขึ้น
5.นำความดีของนายไปสรรเสริญ
อานิสงส์การทำงานไม่คั่งค้าง
1.ทำให้ฐานะของตน ครอบครัว ประเทศชาติดีขึ้น
2.ทำให้ได้รับความสุข
3.ทำให้พึ่งตัวเองได้
4.ทำให้เป็นที่พึ่งของคนทั้งหลายได้
5.ทำให้สามารถสร้างบุญกุศลอื่นๆ ได้ง่าย
6.ทำให้เป็นผู้ไม่ประมาท
7.ทำให้ป้องกันภัยในอบายภูมิได้
8.ทำให้มีสุคติเป็นที่ไปเบื้องหน้า
9.ทำให้เป็นนิสัยติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ
10.ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากคนทั่วไป
บุคคลใดไม่คำนึงถึงหนาวร้อน อดทนให้เหมือนหญ้า กระทำกิจที่ควรทำด้วยเรี่ยวแรงของลูกผู้ชาย บุคคลนั้นย่อมไม่เสื่อมจากสุข
(สิงคาลกสูตร) ที. ปา. ๑๑/๑๘๕/๑๙๙
cr.พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ มงคลชีวิต 38 ประการ (ฉบับทางก้าวหน้า)
ติดตามมงคลที่ 15 บำเพ็ญทาน ต่อ...
โฆษณา