19 มิ.ย. 2020 เวลา 13:36 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ซื้อหุ้นตัวแรก ทำไมติดดอย >>>
บทความที่น่าจะเป็นประโยชน์และเหมาะกับผู้ที่กำลังสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น.....จุดเริ่มต้น การเข้ามาติดดอยของผู้เขียนเกิดจากอะไร? ผู้เขียนเห็นคนรอบข้าง บอกว่า "ขายหุ้นได้กำไร" ทำให้ผู้เขียนเริ่มสนใจที่จะลงทุนในหุ้นบ้าง (Mindset ตอนแรกของผู้เขียนไม่ใช่แนว VI แต่เป็นแนว Trade คาดหวังกำไรจากการขาย)
"หนาวมั้ยจ๊ะ ข้างบน" อิอิ
เมื่อสนใจก็ต้องเปิดพอร์ต ตกลงกำหนดวงเงินซื้อขายกับ Broker (ครั้งแรกตอนเปิดกำหนดไว้ที่ 1 แสนบาท) โอนเงินเพื่อเป็นการวางเงินประกันกับ Broker ไว้ 2 หมื่นบาท หลังจากนั้นผู้เขียนก็เริ่มต้นหาหุ้นตัวแรก (ตื่นเต้นจัง จะได้ลงสนามแล้ว ฮ่าฮ่า)
หุ้นตัวแรกของผู้เขียนได้มาจากการแนะนำของนักวิเคราะห์หุ้นว่ากลุ่มธุรกิจไหนกำลังมา เมื่อผู้เขียนได้กลุ่มธุรกิจแล้วก็เข้าไปเลือกหุ้นที่จะลงทุน โดยการวิเคราะห์งบการเงินเปรียบเทียบ (ดูแล้วเหมือนจะดีนะ) แต่เอาจริง ๆ ในใจผู้เขียนคือ ได้เลือกหุ้นตัวนึงในกลุ่มธุรกิจไว้แล้ว เลือกเพียงเพราะว่าหุ้นเพิ่งเข้า IPO ราคาน่าจะขยับขึ้นไปเรื่อย ๆ น่าจะขายได้กำไร (ณ วันนั้น คิดแบบนั้นค่ะ)
พอได้หุ้นตัวที่จะซื้อ ด้วยความที่อยากได้ อยากลงสนามแล้ว วันรุ่งขึ้น ผู้เขียนก็โทรสั่งซื้อกับ Broker ทันที และ Broker แจ้งว่า "หุ้นติด Cash Balance" ต้องโอนเงินเข้ามาไว้ก่อนถึงจะสั่งซื้อได้ (Cash Balance คือ หุ้นที่มีการซื้อขายสูงผิดปกติ) ฮ่าฮ่า ตอนนั้นไม่รู้ความหมายค่ะ แค่อยากได้หุ้นตัวนี้ โอนเงินก็โอนสิ่ อิอิ
หลังจากได้หุ้นมาสมใจ ราคาก็ค่อย ๆ ปรับขึ้นตามคาด แต่ด้วยความโลภ จึงยังไม่ขาย จากที่ขึ้นทุกวันให้เห็น เป็น ราคาเริ่มขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ผู้เขียนก็ยังมองในแง่ดี ว่า เดี๋ยวก็ขึ้นเอง (เม่าน้อยเอ้ย) ผ่านไปไม่นาน ราคาค่อย ๆ ปรับตัวลงจนเริ่มขาดทุน ขาดทุน ทุกวัน แต่ก็ไม่กล้า Cut Loss (ทำใจไม่ได้) มารู้ตัวอีกที คือ มูลค่าลดลงมากกว่า 50% และปัจจุบันผู้เขียนก็ยังไม่ได้ขาย (เก็บไว้ดูต่างหน้า แฮ่ะ!) ไม่ใช่ค่ะ จริงๆ ที่ผู้เขียนยังไม่ขายเพราะมองว่าหุ้นมันมีอนาคตจริง แต่ต้องให้เวลากิจการหน่อย จากเริ่มต้นประกอบกิจการขาดทุน ก็เริ่มมีกำไรให้เห็น และจากไม่มีปันผล ก็เริ่มมีปันผลและเริ่มมีโครงการใหม่ ๆ ที่ได้รับ BOI เพียงแต่ตอนที่ผู้เขียนเข้าไปซื้อมันเป็นราคาในอีก 10 ปีข้างหน้าเท่านั้นเองค่ะ ฮ่าฮ่า (ซื้อมาแพงมาก)
หุ้นตัวแรก ขาดทุน 76%
หลังจากไม่ประสบความสำเร็จกับหุ้นตัวแรก ผู้เขียนก็เริ่มซื้อหนังสือหุ้นมาอ่าน ทั้งแนว Trade และ แนว VI (บอกตรง ๆ ยังเลือกไม่ได้ เลยปน ๆ กันไปก่อน) ระหว่างยังเลือก Style การลงทุนไม่ได้ เพื่อนผู้เขียนก็แนะนำหุ้นตัวนึง ว่า ถ้าซื้อไว้ ขายได้กำไรแน่นอน (เพิ่งเข้า IPO อีกแล้ว ฮ่าฮ่า) แต่รอบนี้ผู้เขียนได้กำไรจริง ๆ ค่ะ คราวนี้ไม่โลภมากลงทุนหลักแสน ได้กำไรหลักหมื่นก็ขายแล้วค่ะ (ช่วงนี้ต้องขยายวงเงินซื้อขาย กันเลยทีเดียว เป็น 2 แสนบาท) ผู้เขียนได้กำไรจากการซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นตัวนี้อยู่ 2-3 ครั้ง จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่คิดว่าถ้าได้รอบนี้จะเลิกละ ฮ่าฮ่า แต่ผู้เขียนก็พลาดจนได้ แต่ครั้งนี้ดีตรงที่เริ่ม Cut Loss เป็น (กำหนดราคา หากลดลงมาถึงจุดที่ตั้งไว้ ก็ขายทิ้งทันที) รอบนี้เจ็บตัวไม่มาก แต่ก็เท่ากับว่ากำไรที่เคยได้มาก็คืนตลาดไปหมดเลยค่ะ
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ผู้เขียนตัดสินใจแน่นอนแล้วว่า จะเป็นแนว VI ดูหุ้นจากพื้นฐาน ดูอนาคตกิจการ วิเคราะห์งบการเงิน (เน้นงบกระแสเงินสด) และที่สำคัญหุ้นนั้นต้องมีเงินปันผลสม่ำเสมอ ประกอบกับผู้เขียนเริ่มรอเป็น รอที่จะซื้อหุ้นที่อยากได้ในราคาที่เหมาะสม หลังจากเลือกแนวการลงทุนในหุ้นมาเป็น VI พอร์ตก็เริ่มเป็นสีเขียว ฮ่าฮ่า ยกเว้นในบัญชี Cash Balance ของผู้เขียนนะคะ ยังคงแดงอยู่ ซึ่งคาดว่าอีก 10 ปี คงจะเขียวมั้ง อิอิ
ประสบการณ์ลงทุนของผู้เขียน ไม่ได้เริ่มต้นจากการศึกษาหาความรู้ก่อนลงทุน ผลมันก็จะเป็นอย่างที่เล่ามาค่ะ ทำไมผู้เขียนถึงเล่า เพราะอยากให้นักลงทุนมือใหม่ เริ่มต้นเข้ามาลงทุนด้วยความรู้และความเข้าใจ ศึกษาข้อมูลก่อนลงสนามจริง และที่สำคัญต้องลงทุนด้วยความพอดี ไม่โลภ ด้วยนะคะ
หวังว่าบทความนี้ จะพอเป็นประโยชน์กับนักลงทุนมือใหม่ที่กำลังสนใจลงทุนในหุ้นบ้างนะคะ อยากร่วมแชร์ประสบการณ์เลือกหุ้นตัวแรก หรือ มี Comment ฝากไว้ใต้เพจได้เลยนะคะ แล้วพบกันใหม่ค่ะ
Photo by VI Style by MooDuang
โฆษณา