4 ก.ย. 2020 เวลา 19:56 • ไลฟ์สไตล์
อาทิตย์แรกของการทำงาน ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เพียงแค่ไม่กี่วัน ผมสามารถรับรู้ได้ถึงความหนักหนาสาหัสของการใช้แรงงาน ของร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากการยกจาน ยกโต๊ะ เก้าอี้ ตลอดทั้งวันของการทำงาน ไม่ใช่เรื่องเบาๆเลย ลองนึกถึงจานเป็นตั้งแลัวต้องแบกแบบนั้นทั้งวัน วิ่งเข้าวิ่งออก เคลียจานที่ใช้แล้วมาในครัว แล้วเอาจานใหม่ออกไปจัดโต๊ะ ต้องเคลียพื้น เช็ดทุกอย่างและต้องทำในเวลาที่จำกัด....เท้าผมบวมเหมือนจะปริแตกออกจากร้องเท้าให้ได้ ระหว่างทำงานเหมือนมีคำถามเกิดขึ้นในใจ "ชั้นมาทำอะไรที่นี่"...ไม่ได้สิเราเลือกมาแล้วจะถอยหลังกลับได้ยังไง😥
ภาพประกอบนำมาจากในเนท
เข้าใจหัวอกของแรงงานต่างด้าว ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างลึกซึ้งก็ตอนมาทำงานที่อังกฤษนี่แหละครับ การถูกปฏิบัติเหมือนชนชั้นสอง จากคนร่วมงานนับวันยิ่งแสดงชัดออกมาทุกที....ไม่ใช่ทุกคนที่ทำแบบนี้กับผมนะครับ คนดีๆ มีน้ำใจกับเราก็มีผ่านเข้ามา แม้จะน้อยนิดแต่ก็ทำให้เรามีความรู้สึกว่า ก็ยังมีความเป็นคนเหมือนกับพวกเค้า
ผมได้เพื่อนใหม่ที่มาทำงานในตำแหน่งเดียวกัน เธอชื่อ บาบาร์ร่า เธอชาวโปร์แลนด์ และเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทอยู่ที่บ้านเกิด... ทุกปีช่วง Summer เธอกับแฟนจะมาทำงานที่อังกฤษ เพื่อหารายได้เสริมสำหรับค่าเทอม และจุนเจือครอบครัว รายได้ที่นี่ดีกว่าที่โปรแลนด์ เธอบอกว่าถ้าทำงานที่นี่ 3 เดือนโดยไม่มีวันหยุด เธอจะสามารถเก็บเงินจากการทำงานไปใช้ที่บ้านเธอได้เกินกว่าครึ่งปี Summer ปีที่แล้ว ก่อนที่ผมจะมาอยู่ที่อังกฤษ เธอก็เคยมาทำงานที่นี่....ช่วงกอบโกยของเธอ แน่นอนเธอทำงานแบบNon stop ตลอด3 เดือนที่มาอังกฤษ..ความเป็นจริงของสังคมที่หลายคนอาจไม่รู้ บางประเทศในยุโรปยังคงยากจน ต้องไขว่ขว้าดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด แต่คนอีกหลายคนในประเทศที่ร่ำรวย กลับไมายอมทำงานหนัก เพียงเพื่อรอเงินสนับสนุนที่ทางรัฐบาลช่วยให้เป็นรายสัปดาห์ รายเดือนแล้วแต่คุณสมบัติงานของเหล่านั้น
ผมกับ บาบาร์ร่าทำงานเข้ากันดีมาก แม้ภาษาของเราสองคนจะไม่เพอร์เฟ็ค บางครั้งสื่อสารกันค่อนข้างลำบาก แต่ก็มิใช่ปัญหา เราอยู่ในสถานะเดียวกัน เข้าอกเข้าใจ เห็นใจซึ่งกันและกัน เราถูกปฏิบัติ จากเพื่อนร่วมงานหลายๆคนที่มองเราสองคน ไม่ต่างอะไรไปจากทาส หรือจะเรียกตามชาวบ้านก็คือ ขี้ข้า..เศษเงินที่แขกทิ้งให้เป็นรางวัล ทำให้บรรดาพนักงานเสริฟท์ ทำทุกวิถีทางเพื่อต้องการทิป โดยมองไม่เห็นคุณค่าของความเป็นคนเลย คำพูดหวาน รอยยิ้ม ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องแสแสร้ง เพื่อต้องการให้ผมรีบเคลียโต๊ะให้...นั่นหมายถึงพนักงานที่รับผิดชอบส่วนนั้น จะสามารถทำการเปิดโต๊ะรับแขกได้ทันที.....ผมได้เรียนรู้คนมากขึ้น ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเจอตอนที่ทำงานที่เมืองไทย แต่ที่นี่ชัดเจน หลายคนแสดงให้ผมเห็นจุดต่ำสุดในตัวเค้าเอง
ภาพประกอบนำมาจากในเนท
ผมกับเพื่อนใหม่ บาบาร์ร่ามักจะคุย และปรับทุกข์ด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง คำปลอบโยนเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และมีความหมายมากสำหรับผม แต่ไม่ใช่ว่าเราจะอ่อนแอ เราเองต้องสู้ด้วย...
เวลาพักของที่นี่จะอยู่ที่30 นาที และคุณจะไม่ได้รับเงินในช่วงเวลาที่พัก😑 ฉะนั้นจึงเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดที่ผมจะต้องทำอะไรให้เสร็จทันเวลา....มีอยู่ครั้งนึง ขณะที่ผมกำลังนั่งทานอาหารในช่วงเวลาพัก พนักงานคนนึงเดินมาหาผม แล้วโยนเงินเหรียญ 2 ปอนด์ให้ผม ผมเงยหน้ามอง เวลาที่ผมสมควรได้พักยังมีมารมารังควาน...การกระทำที่ต่ำๆแบบนั้น เหมือนเป็นการดูถูกผมอย่างชัดเจน ผมเหมือนโดนตบหน้าด้วยเศษเงิน ที่คนๆนั้นคิดว่ายิ่งใหญ่ สามารถให้ใครทำอะไรก็ได้ ผมก็มีศักดิ์ศรี ยอมรับว่สโกรธมาก หิวก็หิว "ถ้ากินเสร็จแล้ว ไม่ต้องไปทำโต๊ะให้ใครนะ ทำให้ชั้นก่อน" ฟังดูแล้วเป็นคำสั่ง ไม่ใช่เป็นการขอร้อง พนักงานคนนั้นพูดโดยไม่ฟังคำตอบจากผม นั่นหมายความว่าผมต้องทำ "เดี๋ยวก่อน เอาเงินของคุณคืนไป" ผมใช้นิ้วเขี่ยเหรียญตั้งใจให้ตกลงพื้น ขอบอกก่อนนะครับว่า ผมไม่ได้ดูถูกเงิน จะมากจะน้อยผมถือว่าเป็นเงิน พนักงานคนนั่นหันกลับมามองหน้าผม พร้อมๆกับเสียงที่กระทบพื้น " ตอนนี้เป็นเวลาเบรกของผม คุณไม่มีสิทธิมาบอกให้ผมทำอะไรทั้งนั้น การโยนเงินแบบนี้เป็นการดูถูกกัน และที่บ้านของชั้นเค้าไม่ทำ จะเป็นพวกที่ไม่มีการศึกษาเท่านั้นที่ทำกัน".....พนักงานคนนั้นรีบทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง และบอกชั้นแค่ล้อเล่น....ไม่มีแม้แต่คำขอโทษหลุดออกจากปากพนักงานคนนั้นเลย ผมใช่ว่าจะเจอแบบนั้นแค่ครั้งเดียว หลายครั้ง หลายรูปแบบ กับคนหลายคน
น้ำหนักผมลดไปประมาณ 8 กิโล หลังจากที่ทำงานได้ประมาณหนึ่งเดือน คิดในแง่บวกเราก็ดูดีขึ้น (อันนี้คิดเอาเอง) ไม่ต้องเสีงตังค์ไปเข้ายิม เท้าที่ปวดตอนนี้ลามมาถึงหัวเข่า ข้อมือกับแขนแทบไม่ค้องพูกถึง ยกแทบจะไม่ขึ้น....แต่ละวันที่ไปทำงาน เหมือนเอาแค่ร่างกายไป จิตใจคิดถึงแต่เมืองไทย คิดถึงแม่ ครอบครัว หบายครั้งที่ยิ่มออกมาแบบไม่รู้ตัวขณะยกจานกองใหญ่ จนบาบาร์ร่าต้องถาม "เธอยิ้มอะไร จานหนักขนาดนั้น" มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ "ชั้นนึกถึงที่บ้านน่ะ นั่นทำให้ชั้นยิ่มได้"😃😃
ทุกวัน ผมหวังว่าจะได้พบเจอสิ่งที่ดีขึ้น ขอให้สิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิต ร่างกายอ่อนล้า ได้พักก้หาย แต่ถ้าเป็นเรื่องของจิตใจแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะกลับมาเหมือนเดิม...ยอมรับครับว่า ความมั่นใจที่เคยมีถูกบั่นทอนลงไปมาก และส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบันนี้
มีสิ่งใหม่ ที่ดีที่สุดเกิดขึ้นกับผม หลังจากทำงานไปได้เกือบ 2 เดือน แต่จะเป็นอะไร เอาไว้ครั้งหน้าจะมาเล่าให้ฟังนะครับ..ขอบคุณมากๆครับสำหรับทุกๆคนที่เข้ามาอ่านเรื่องราวของผม จะพยายามพัฒนาการเขียนให้ดีขึ้นนะครับ
โฆษณา