21 ก.ย. 2020 เวลา 01:08 • กีฬา
ในฐานะที่ เชลซี คือทีมที่เสริมทัพได้อย่างหนักหน่วงที่สุดในช่วงซัมเมอร์
นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนจะคาดว่าสิงโตน้ำเงินครามของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด คือทีมที่มีโอกาสลดช่องว่างจาก 2 ทีมที่มาตรฐานสูงที่สุดของประเทศในช่วง 2 ปีหลังอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล มากกว่าใครๆ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังเป็นสโมสรที่มัวแต่พายเรือในอ่าง, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ ขณะที่ อาร์เซน่อล กับ เอฟเวอร์ตัน ถึงดูทรงกำลังมาดีก็จริง แต่ปืนใหญ่และทอฟฟี่ ก็ไม่ใช่ทีมที่ปรากฏตัวบนอันดับท็อปโฟร์ให้เห็นเลยในรอบ 4 ปีหลัง
เหลือบมองขุมกำลังของแต่ละทีมบนหน้ากระดาษ บางคนอาจถึงขั้นมองว่า เชลซี ซีซั่น 2020-21 อาจกลับมาลุ้นแชมป์ได้เลยด้วยซ้ำ
ทางด้าน เจอร์เก้น คล็อปป์ พูดไว้อย่างน่าฟังตั้งแต่ช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล ด้วยการบอกว่า ลิเวอร์พูล จะลงเล่นซีซั่นใหม่ด้วยการ “ไล่ล่าแชมป์” ไม่ใช่ “ป้องกันแชมป์”
กุนซือชาวเยอรมัน ให้สัมภาษณ์ไว้ตั้งแต่ก่อนพาทีมพบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ว่า “มีคนบอกผมว่าเราต้องป้องกันแชมป์ และผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร”
“บางทีผมอาจจะฉลาดไม่พอ แต่ถ้ามันมีแชมป์รออยู่ตรงนั้น เราก็แสดงให้แล้วเมื่อปีก่อน ว่าเราสามารถคว้ามันมาครองได้”
“เราไล่ล่าแชมป์ให้เห็นตั้งแต่ปีก่อนหน้านั้นอีก นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะป้องกันแชมป์ในปีนี้ เพราะเราไม่ได้มันมาแบบง่ายๆ”
“แต่แชมป์มันอยู่ตรงนั้น เราจะไล่ล่ามัน พวกเราทั้งหมดต่างอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน เริ่มจาก 0 เกม เริ่มจาก 0 แต้ม แล้วไปลุยกัน”
“นั่นคือที่ผมเข้าใจและผมก็เข้าใจแบบนั้นมาตลอด ทำไมเราต้องเปลี่ยนความคิดในตอนนี้ แค่เพราะเราได้แชมป์มาแล้ว?”
ลิเวอร์พูล อาจจะฟอร์มแผ่วๆ ให้เห็นไปบ้างในช่วงท้ายฤดูกาลก่อน หลังจากปิดจ๊อบคว้าแชมป์ได้ก่อนจบซีซั่นถึง 7 นัด และดูจะฟอร์มดร็อปลงให้เห็นบ้างในเกมดวลจุดโทษแพ้ อาร์เซน่อล ในศึก คอมมิวนิตี้ ชิลด์
แต่พอพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่เปิดฉากขึ้น ไฟนักสู้ของหงส์แดงก็กลับมาเร่าร้อนอีกครั้ง
เกมแรกอาจจะไม่ทันระวังทีเด็ดน้องใหม่อย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด แต่หลังจากนั้นพวกเขาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่ยอมอยู่เฉยๆ
การปิดดีลคว้าตัว ติอาโก้ อัลกันตาร่า ต่อด้วย ดีโอโก้ โชต้า ในเวลาห่างกันเพียง 2 วัน เหมือนเป็นการตบหน้าคู่แข่งสำคัญบางทีม ว่าความทะเยอทะยาน มันต้องทำให้ดู ไม่ใช่แค่ดีแต่พูด
อย่างไรก็ตาม การที่ เชลซี มีโปรแกรมต้องเจอแชมป์เก่าอย่างหงส์แดงตั้งแต่เกมนัดที่ 2 ของซีซั่น มันคือการเจอกันที่เร็วเกินไป และทำให้เกมคู่นี้ไม่สูสีอย่างที่มันควรจะเป็น
ต่อให้พลพรรคสิงห์บลูส์ได้เล่นที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ของตัวเอง แต่นักเตะใหม่อย่าง เบน ชิลเวลล์, ติอาโก้ ซิลวา และ ฮาคิม ซิเย็ค ยังไม่พร้อมลงสนามจากปัญหาอาการบาดเจ็บ
ปีกตัวเก่งอย่าง คริสเตียน พูลิซิช ยังเรียกความฟิตกลับมาไม่ทันเวลา ขณะที่ ไค ฮาแวร์ทซ์ กับ ติโม แวร์เนอร์ ก็ยังมีประสบการณ์น้อยมาก กับการออกมาค้าแข้งต่างแดนครั้งแรก
ยิ่งไปกว่านั่น ถ้าเกมคู่นี้ถูกกำหนดวันแข่งในช่วงหลังพ้นวันปิดตลาดซื้อขายไปแล้ว ตำแหน่งผู้รักษาประตูของเชลซี อาจไม่ใช่จอมเฟอะฟะอย่าง เกปา อาร์รีซาบาลาก้า แต่น่าจะเป็นนายด่านทีมชาติเซเนกัลอย่าง เอดูอาร์ เมนดี้ ที่เตรียมเซ็นสัญญากับทีมเสียที ด้วยสนนราคา 20 ล้านปอนด์
ต่อให้ เชลซี เปิดฤดูกาลใหม่ด้วยการบุกชนะ ไบรท์ตัน 3-1 แต่นั่นไม่ใช่ฟอร์มการเล่นที่สวยหรู มันเป็นเพียงผลการแข่งขันที่ได้มาจากจังหวะเข้าทาง และการฉวยโอกาสจบสกอร์ที่คมกว่าเท่านั้น
เชลซีที่เราเห็นในนัดล่าสุด จึงยังไม่ใช่เชลซีในเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์พอ สำหรับต่อกรกับทีมที่กวาดแต้มรวมกันใน 2 ซีซั่นหลังสุดถึง 196 แต้ม
จากผลงานไม่เป็นโล้เป็นพายของ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ในเกมที่ เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม เมื่อสัปดาห์ก่อน บวกกับการที่ ไค ฮาแวร์ทซ์ ไปไม่รอดเท่าไรกับตำแหน่งปีกขวา ทำให้ แลมพาร์ด ลองปรับแท็กติกใหม่อีกครั้งให้มันต่างจากเกมเยือนไบรท์ตัน
ระบบการเล่นเปลี่ยนจาก 4-2-3-1 กลายเป็น 4-3-3 โดยคราวนี้ทดลองใช้ ฮาแวร์ทซ์ ขึ้นไปยืนตำแหน่ง ฟอลส์ ไนน์ แล้วฉีก ติโม แวร์เนอร์ ไปเล่นทางซ้าย ส่วนทางขวาเป็น เมสัน เมาน์ท
แดนกลางเมื่อถอด ลอฟตัส-ชีค ออกไป ก็ส่ง มาเตโอ โควาซิช ลงมาเป็นผึ้งงานในแดนกลางร่วมกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ โดยมี จอร์จินโญ่ ทำหน้าที่ยืนต่ำสุดคอยโฮลด์บอล
ส่วนแผงแบ็กโฟร์ที่ยังไม่สามารถใช้งาน ติอาโก้ ซิลวา กับ เบน ชิลเวลล์ แถม อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ก็ส่อแววเตรียมโดนขายทิ้ง ทำให้หลัง 4 คนยังยึดชุดเดิม ประกอบด้วย รีซ เจมส์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, เคิร์ต ซูม่า และ มาร์กอส อลอนโซ่
ส่วนตำแหน่งนายประตู กุนซือชาวอังกฤษยังกล้าเสี่ยงใช้งานนายทวารค่าตัวสถิติโลกอย่าง เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ต่อไป
ทีนี้มาดู ลิเวอร์พูล กันบ้าง ทางด้าน เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องเปลี่ยน 11 ตัวจริง 1 ตำแหน่งเช่นกัน จากชุดที่เปิดบ้านเฉือนชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 4-3 ในเกมแรก
โจ โกเมซ มีปัญหาอาการบาดเจ็บ ขณะที่เซนเตอร์แบ็กอาชีพอีกคนอย่าง โฌแอล มาติป ก็มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อ ทำให้ ฟาบินโญ่ ได้โอกาสลงไปยืนเซนเตอร์จำเป็นคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์
นอกนั้นระบบการเล่นยังคงเป็น 4-3-3 แดนกลางยังใช้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยืนต่ำเป็นตัววางบอลยาว และมี จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม กับ นาบี เกอิต้า ใช้พลังขับเคลื่อนเกมคู่กัน
ฟูลแบ็กขวา-ซ้าย ยังไงก็ต้องใช้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ส่วน 3 ประสานแดนหน้า แน่นอนว่ายังไม่เปลี่ยนไปจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่
ที่น่าสนใจคือบนม้านั่งสำรอง คล็อปป์ ใส่ชื่อ ติอาโก้ อัลกันตาร่า กองกลางเวิลด์คลาสที่เพิ่งเซ็นสัญญามาหมาดๆ เอาไว้ด้วย ส่วน ดีโอโก้ โชต้า กองหน้าตัวใหม่ล่าสุดยังไม่มีชื่อ เนื่องจากลงทะเบียนกับพรีเมียร์ลีกไม่ทันแข่ง
.
แค่ 11 ตัวจริงฟูลทีมมาสู้กัน ฝั่งหงส์แดงก็เหนือกว่า และมีระบบทีมที่ลงตัวกว่าอยู่แล้ว
นี่ เชลซี ยังอยู่ในสภาพขาดนักเตะที่น่าจะเป็นตัวจริงของทีมในซีซั่นนี้ไปพร้อมกันถึง 4 คน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทีมไหนจะเป็นฝ่ายครองเกมได้เหนือกว่า
อย่างไรก็ตาม แชมป์เก่ายังไม่ได้สร้างความระคายเคืองอะไรให้เจ้าถิ่นได้มากนัก ต่อให้ไล่บี้จนลูกทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องหลังพิงฝาและตั้งเกมไม่ได้เลยก็เถอะ
ถ้าจะหาช็อตที่ ลิเวอร์พูล ได้ลุ้นประตูมากที่สุดในครึ่งแรก น่าจะเป็นจังหวะที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ปั๊มบอลได้จาก รีซ เจมส์ แล้วบอลลอยกระเด้งไปถึงบริเวณกรอบเขตโทษฝั่งขวา ซึ่ง เกปา วิ่งออกจากเส้นประตูอย่างลนลานแล้วก็ตามไปขวาง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่สำเร็จ
สตาร์ทีมชาติอียิปต์ใช้ความเร็วถึงบอลก่อน แล้วปาดเรียดให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ เกือบได้ยิงโล่งๆ ที่เสาแรก ยังดีที่ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ตามมาช่วยบล็อคออกหลังทันหวุดหวิด
นั่นคือสัญญาณตั้งแต่ช่วงต้นเกมแล้วว่าเกมรับของ เชลซี ไม่ค่อยนิ่งพอเท่าไร เหลือแค่รอดูกันว่าเกมรุกของแชมป์เก่าจะลงโทษพวกเขาได้ตอนไหนเท่านั้น
การเพรสซิ่งสูงและเร็วของลิเวอร์พูล ทำให้ทีมสิงห์บลูส์ผ่านบอลกันไม่แม่นยำ โดยที่ ไค ฮาแวร์ทซ์ ที่เล่นเป็นหน้าเป้ายิ่งไร้ตัวตนมากขึ้นไปอีก
เมื่อเชลซีเซตเกมขึ้นหน้าไม่ได้ การผ่านบอลคืนหลังบ่อยครั้งจึงกลายเป็นภาพวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผู้เล่นคนเดียวของเจ้าบ้านที่พอจะสร้างปัญหาให้ลิเวอร์พูลได้ คือ ติโม แวร์เนอร์
แต่นั่นก็คือการที่ศูนย์หน้าทีมชาติเยอรมนีใช้ความสามารถเฉพาะตัวเลี้ยงจี้เข้าเล่นงาน เรายังไม่เห็นทีมเวิร์คที่มีประสิทธิภาพในเกมรุกของลูกทีม แฟร้งค์ แลมพาร์ด เลย
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่สกอร์ยังคงเสมอ 0-0 และ ลิเวอร์พูล ยังไม่ได้มีจังหวะยิงที่อันตรายนักในครึ่งแรก ทำให้ เชลซี ยังคงอยู่ในเกม
จนกระทั่งมันมาเกิดจุดเปลี่ยนที่ทำให้หงส์แดงกุมความได้เปรียบอย่างเบ็ดเสร็จ ในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก
เหตุการณ์มันเริ่มต้นจากจังหวะที่ เชลซี ดันสูงขึ้นไปเอาประตูไม่สำเร็จ เมื่อ รีซ เจมส์ เติมขึ้นไปครอสบอลจากฝั่งขวาโค้งไปที่เสาไกล แต่ มาร์กอส อลอนโซ่ โหนโหม่งเกินไป จึงโดนใต้บอล แล้วก็ทำให้ อลีสซง เบ็คเกอร์ กระโดดคว้าไว้ได้แบบสบายๆ
อลีสซง ไม่รอช้า รีบปล่อยบอลให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน สบโอกาสวางยาวสวนเร็วขึ้นหน้าทันที เพราะในแดนหน้ามันมีพื้นที่เหลือเฟือให้ ซาดิโอ มาเน่ ใช้ความเร็วแซงคู่เซนเตอร์แบ็กของเจ้าบ้าน เพื่อลุ้นทำประตูในจังหวะหลุดเดี่ยว
อันเดรียส คริสเตนเซ่น ที่เป็นฮีโร่ไม่ให้ทีมเสียประตูเร็วช่วงต้นเกม กลับกลายเป็นผู้ร้ายในช็อตนี้ เมื่อตัดสินใจเข้าไปล็อคคอ มาเน่ อย่างไม่มีชั้นเชิง
ซึ่งในฐานะกองหลังตัวสุดท้าย ตามกฎกติกายังไงเขาก็ต้องโดนใบแดง
เจ้าตัวและแฟนเชลซีอาจโล่งใจในทีแรกที่เห็น พอล เทียร์นี่ย์ แจกแค่ใบเหลือง
แต่การตัดสินช็อตกังขาที่มันควรเป็นใบแดงมากกว่า คือหนึ่งในเงื่อนไขที่ วีเออาร์ ต้องเช็คให้ละเอียด และสุดท้ายผู้ตัดสินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไล่กองหลังทีมชาติเดนมาร์กออกไป
แม้สกอร์ครึ่งแรกยังเสมอกัน 0-0 แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ รู้ดีว่า ทีมของเขากุมความได้เปรียบทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว เหลือแค่รอเวลาเผด็จศึกเท่านั้น
ทันทีที่เริ่มครึ่งหลัง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ตัดสินใจเพลย์เซฟด้วยการส่งเซนเตอร์แบ็กอย่าง ฟิคาโย่ โทโมรี่ ลงสนาม เพื่อให้กองหลังยังมี 4 คนเหมือนเดิม โดยถอด ไค ฮาแวร์ทซ์ ที่ยังเล่นไม่เป็นชิ้นเป็นอันออกมา
ส่วนทางฝั่งทีมเยือนที่ได้เปรียบตัวผู้เล่น โชว์ให้เห็นว่าพวกเขามองถึง 3 แต้มเต็ม ด้วยการรีบถอด จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ออก แล้วส่งกองกลางที่พลิกบอลได้เร็วกว่า และออกบอลโจมตีได้แม่นยำกว่าอย่าง ติอาโก้ อัลกันตาร่า ลงสนามทันที
ลิเวอร์พูล พับสนามบุกใส่เต็มรูปแบบทันที ก่อนจะขึ้นนำอย่างรวดเร็วตั้งแต่ยังไม่ทันครบ 5 นาทีของครึ่งหลัง จากจังหวะที่ ฟีร์มิโน่ ทำชิ่ง 1-2 กับ ซาลาห์ แล้วตักบอลไปหน้าประตูให้ ซาดิโอ มาเน่ โขกเหน่งๆ โดยที่ รีซ เจมส์ ตามประกบพลาด
เชลซี เป็นรองทั้งสกอร์และจำนวนผู้เล่น ก่อนจะมาตายสนิทด้วยความผิดพลาดโง่ๆ ของตัวเอง เมื่อ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ชักช้าไม่ยอมรีบหวดบอลที่ ฟิคาโย่ โทโมรี่ จ่ายคืนหลังให้มันพ้นหน้าปากประตูไวๆ
พอเขาตัดสินใจจับบอลก่อนหนึ่งจังหวะ กลายเป็นเปิดโอกาสให้ ซาดิโอ มาเน่ วิ่งจี้เข้าไปจนกระชั้นชิด แล้วสุดท้าย เกปา ก็เตะไปติดปีกทีมชาติเซเนกัลซะเอง และแน่นอนว่าสตาร์เจ้าของเสื้อเบอร์ 10 หงส์แดงไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดลอย
ลิเวอร์พูล ออกนำห่างถึง 2-0 ตั้งแต่ยังไม่ทันครบหนึ่งชั่วโมงแรกของเกม โดยที่รูปเกมก็เหนือกว่าหมดทุกอย่าง ถ้าเจ้าบ้านจะเก็บแต้มได้ ต้องใช้ปาฏิหาริย์ช่วยเท่านั้น
ก่อนเข้าช่วง 15 นาทีสุดท้าย ความขยันและความสามารถเฉพาะตัวของ ติโม แวร์เนอร์ ช่วยให้เชลซีได้จุดโทษ ถ้าหากสิงโตน้ำเงินครามยิงไม่พลาด อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาที่เหลือ
แต่เมื่อ อลีสซง เบ็คเกอร์ ไม่ยอมหลงกลเทคนิคกระโดดยิงจุดโทษท่าจิงโจ้ของ จอร์จินโญ่ เป็นอันว่า เชลซี หมดหนทางที่จะเปลี่ยนโมเมนตัมให้กลับมาหาตัวเองอีก และก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้นัดแรกของฤดูกาลไป
แม้ ลิเวอร์พูล จะชนะได้แบบสบายๆ จากการที่เจ้าถิ่นเหลือผู้เล่น 10 คน บวกกับความผิดพลาดระดับเด็กประถมของ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า
แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ได้เห็นระดับคลาสที่ยังห่างชั้นกันเยอะ ระหว่างทีมที่อยากจะลดช่องว่าง กับทีมที่ต้องการคว้าแชมป์ 2 ปีซ้อน
ลิเวอร์พูล ยังแสดงให้เห็นถึงความหิวกระหาย เมื่อวิ่งเข้าหาบอลทุกจังหวะ และพยายามเดินเกมในแบบที่คู่แข่งรับมือยากที่สุด
เกมรับที่ตอนแรกดูน่าเป็นห่วง จากการที่ ฟาบินโญ่ ต้องลงเป็นเซนเตอร์แบ็กจำเป็น กลายเป็นว่าดาวเตะทีมชาติบราซิลโดดเด่นในเกมรับยิ่งกว่าใคร เมื่อโชว์คลาสในการอ่านทางบอลคู่แข่ง และเป็นเจ้าของสถิติเข้าปะทะสำเร็จมากที่สุด (4 ครั้ง) และดักตัดบอลมากที่สุด (4 หน) ของทีมเยือน
อลีสซง เบ็คเกอร์ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นชัดเจนขึ้นไปอีก ว่าระหว่างเขากับ เกปา ใครกันแน่ที่เป็นการลงทุนมหาศาลที่คุ้มค่าสำหรับตำแหน่งนายประตู
แม้จะออกแรงเซฟไม่เยอะ แต่จอมหนึบทีมชาติบราซิลก็มีความแน่นอน และมีสมาธิกับทุกวินาทีในสนาม โดยนอกจากป้องกันจุดโทษจาก จอร์จินโญ่ ได้แล้ว ยังไม่ยอมเสียท่าให้จังหวะยิงเร็วช่วงท้ายเกมของ แทมมี่ อับราฮัม ด้วย
.
เมื่อหันไปดูที่ เชลซี คุณก็จะเห็นได้ว่า 2 นัดที่ผ่านมานี้ พวกเขายังเต็มไปด้วยจุดอ่อน
ผู้รักษาประตูค่าตัวแพงที่สุดในโลกที่ยังไว้ใจไม่ได้ ขณะที่นายประตูคนใหม่ที่กำลังจะมา ก็ไม่รู้ว่าจะดีกว่ากันขนาดไหน
การแก้เพรสซิ่งจากคู่แข่งที่ยังทำได้ไม่ดีพอ, การหาทางให้สตาร์ค่าตัวแพงๆ ที่ลงทุนทุ่มเงินซื้อเข้ามา เล่นด้วยกันได้อย่างเข้าขามากที่สุด และการเดินเกมรุกโดยที่เป็นทีมเวิร์คมากกว่าความสามารถเฉพาะตัว คือการบ้านกองโตที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องไปปรับอีกพอสมควร
แลมพาร์ด มีโอกาสทดลองทีมในเกม คาราบาว คัพ รอบ 3 คืนวันพุธนี้ ที่จะเปิดบ้านพบทีมจากแชมเปี้ยนชิพอย่าง บาร์นสลี่ย์ ก่อนที่จะมีโอกาสแก้ตัวในเกมลีกนัดหน้า ที่จะบุกเยือนทีมบ๊วยอย่าง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน คืนวันเสาร์
กลางสัปดาห์นี้ เราคงได้เห็นนักเตะอย่าง วิลลี่ กาบาเยโร่, คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย, รอสส์ บาร์คลี่ย์ และ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ลงพิสูจน์ตัวเองว่าพร้อมแย่งตำแหน่งตัวจริงกับบรรดาแข้งใหม่ หรือไม่แน่ว่ามันอาจเป็นโอกาสให้ ติโม แวร์เนอร์ กับ ไค ฮาแวร์ทซ์ ทำความคุ้นเคยกับฟุตบอลอังกฤษเพิ่มก็ได้
ส่วน เจอร์เก้น คล็อปป์ คงพักตัวหลักยกชุด และส่งแข้งสำรองลงยกทีมในเกมบอลถ้วยเหมือนที่เคย สำหรับเกมบุกเยือนทีมจาก ลีก วัน อย่าง ลินคอล์น ซิตี้ คืนวันพฤหัสบดีนี้
เพราะโปรแกรมเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 3 ของพวกเขาคืนวันจันทร์หน้า ยังคงเป็นงานหนัก นั่นคือการพบกับ อาร์เซน่อล ที่เก็บ 6 แต้มเต็มมาเหมือนกัน
ซึ่งต้องไม่ลืมว่า มิเกล อาร์เตต้า สามารถพาทีมปืนใหญ่โค่นหงส์แดงมาแล้วถึง 2 ครั้งด้วย เขาต้องมีทีเด็ดอะไรสักอย่าง ที่สร้างความลำบากให้แชมป์เก่าได้แน่
.
สิ่งที่ฟ้องชัดเจนจากความพ่ายแพ้ของเชลซี ในเกมบิ๊กแมตช์คืนวันอาทิตย์ นั่นคือการทุ่มเงินซื้อนักเตะดังๆ เข้ามาเสริม มันยังไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากเท่ากับการวางระบบทีมที่ลงตัว
ยิ่ง เชลซี มีผู้เล่นใหม่ที่คว้าจากต่างแดนเข้ามาในช่วงซัมเมอร์นี้มากเท่าไร การทำให้ทีมเล่นได้อย่างเข้าใจกันโดยเร็ว อาจเป็นเรื่องยากมากเท่านั้น
แฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องการเวลาอีกมาก ถ้าคิดจะทำให้ทีมของเขาอยู่ในมาตรฐานที่ใกล้เคียงกันกับ ลิเวอร์พูล ให้ได้
#เสียบสามเหลี่ยม #Chelsea #CFC #Christensen #KepaArrizabalaga #Havertz #Werner #Jorginho #Lampard #Liverpool #LFC #Klopp #Mane #Alisson #Fabinho #ThiagoAlcantara #PremierLeague
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา