8 พ.ย. 2020 เวลา 11:49 • การเมือง
จะมีมนุษย์สักกี่คน ที่ต้องผ่านความเจ็บปวด เสียคนรักทั้งภรรยา และลูก ไปถึง 3 คน แต่ยังสามารถยืนหยัดใช้ชีวิตต่อไปได้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนล่าสุดของสหรัฐอเมริกา ที่ผ่านความทุกข์มาครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะมีวันนี้
[ สูญเสียครั้งที่ 1 ]
1
โจ ไบเดน เกิดในครอบครัวไอริช ที่บ้านของเขาเป็นชนชั้นกลาง คุณพ่อทำงานเป็นเซลส์ขายรถมือสอง ชีวิตของเขาปกติสุขดี
1
ไบเดนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดลาแวร์ ในปี 1961 เขาติดทีมอเมริกันฟุตบอลของมหาวิทยาลัยในตำแหน่งรันนิ่งแบ็ก (ตัววิ่ง) และได้รับเลือกให้เป็นประธานรุ่น นอกจากนั้น ยังทำงานเสริมหารายได้เลี้ยงตัวเอง เช่นไปทำงานเป็นไลฟ์การ์ด ที่สระว่ายน้ำเป็นต้น
1
ไบเดนไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่จุดเด่นของเขาคือ ความเป็นผู้นำ และการแสดงออกที่ชัดเจน เมื่อเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่นมีร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองวิลมิงตัน ที่ปฏิเสธจะเสิร์ฟอาหารให้นักเรียนมัธยมผิวดำ ปรากฎว่าไบเดนเดินออกจากร้านไปเลยโดยไม่กลับมาใช้บริการอีก
ฤดูใบไม้ผลิ ปี 1964 ไบเดน ที่เป็นนักศึกษาปี 4 ภาควิชารัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ เขากับเพื่อนอีก 2 คน ขับรถจากเดลาแวร์ ลงมาถึงเมืองฟอร์ท ลอเดอร์เดล ในรัฐฟลอริด้า แต่ด้วยความเบื่อ พวกเขาเลยตัดสินใจขับรถลงมาใต้สุดของฟลอริด้า แล้วข้ามทะเลไปเที่ยวเกาะบาฮามาส
ระหว่างที่อยู่บนเกาะบาฮามาส เขาไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีผมบลอนด์อันงดงาม และหน้าตาที่สวยดุจเทพธิดา เธอมีชื่อว่า เนเลีย ฮันเตอร์ ทั้งคู่ทำความรู้จักกันและเขาก็ได้รู้ว่า เนเลีย เป็นคนนิวยอร์ก เธอเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยซีราคิวส์
1
ไบเดนชอบเนเลีย และเนเลียก็ชอบไบเดน เมื่อกลับจากบาฮามาส เขาตัดสินใจว่าจะสานสัมพันธ์ต่อ ดังนั้นเมื่อเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดลาแวร์ ไบเดนจึงไปต่อปริญญาโท ภาควิชากฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยซีราคิวส์ เพื่อจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ๆกับเนเลีย
พอเริ่มต้นศึกษากันและกัน ทั้งสองคนจูนติดอย่างรวดเร็ว เพราะมีไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียงกัน ไบเดนชอบเล่นกีฬา เนเลียก็เล่นกีฬาทั้งฮ็อคกี้ และว่ายน้ำ ทั้งคู่อยากมีครอบครัวใหญ่ๆ เนเลียอยากมีลูก 5 คน ไบเดนก็คิดไม่ต่างกัน ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้ง 2 คน จึงก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วมาก
และในที่สุดทั้งคู่ก็แต่งงานกันในปี 1966 ทั้งไบเดนและเนเลีย มีอายุ 24 ปีเท่ากัน
"เมื่อผมได้เจอกับเนเลีย ผมคิดว่าชีวิตผมมันเห็นเส้นทางชัดเจนขึ้น มันไม่ใช่แค่ฝันกลางวันลมๆแล้งๆอีกต่อไป" ไบเดนกล่าว "ผมเห็นภาพชัดเจนเลยว่าทั้งชีวิตของผมจะเดินไปทางไหนต่อ"
ไบเดนใช้เวลา 3 ปี สามารถเรียนจบปริญญาโทที่ซีราคิวส์ ในปี 1968 และผลการเรียนก็ถือว่าไม่ดีนัก เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ 76 จาก ผู้จบการศึกษาทั้งหมด 85 คน ซึ่งตลอดในช่วงการเรียน ก็เป็นเนเลีย ที่คอยซัพพอร์ท ช่วยทำบันทึกท่องจำ จนสุดท้ายไบเดนฝ่าฟันเรียนจบปริญญาได้สำเร็จ
หลังเรียนจบในปี 1968 ไบเดน ย้ายกลับไปที่เดลาแวร์อีกครั้ง โดยรับงานเป็นทนายคนยาก ช่วยว่าความให้จำเลยที่ไม่มีเงินสู้คดี การทำงานหนัก ทำให้เขาสร้างชื่อเสียงขึ้นมาเรื่อยๆ ในฐานะคนหนุ่มหน้าตาดี และอุทิศตัวเพื่อสังคม
จากนั้นไม่นานนัก ด้วยชื่อเสียงที่โดดเด่น ทำให้พรรคเดโมแครตได้ติดต่อให้เขาลงสมัคร เป็นสมาชิกสภาเขตนิวคาสเซิล เคาน์ตี้ ในรัฐเดลาแวร์ ซึ่งไบเดนตอบตกลง และสุดท้ายเขาก็เอาชนะในการเลือกตั้งได้จริงๆ ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเขต
1
การงานมั่นคง ขณะที่ชีวิตส่วนตัวก็ไปได้ดี ไบเดน กับเนเลีย มีลูกชายคนแรกชื่อ โบ ไบเดน เกิดในปี 1969 ตามด้วยลูกชายคนที่สอง ฮันเตอร์ ไบเดน เกิดในปี 1970 และลูกสาวคนเล็ก นาโอมิ ไบเดน เกิดในปี 1971 นี่เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ เหมือนที่เขาหวังไว้แต่แรกจริงๆ
3
ณ เวลานี้ เขาเป็นนักการเมืองหนุ่ม ที่มีภรรยาแสนสวย และลูกๆที่น่ารักอีก 3 คน ทุกอย่างดูเพอร์เฟ็กต์ไปหมด
ในปี 1972 พรรคเดโมแครต ส่งไบเดนลงชิงชัยตำแหน่งวุฒิสมาชิก ของรัฐเดลาแวร์ โดยต้องปะทะกับ เจ. คาเล็บ บ็อกส์ แชมป์เก่า 2 สมัยจากพรรครีพับลิกัน ซึ่ง ณ เวลานั้น ไบเดนเพิ่งอายุ 29 ปีเท่านั้น ถือเป็นคนหนุ่มของวงการ และมีฐานเสียงเป็นรองคู่แข่งพอสมควร
1
แม้จะมีทุนทรัพย์ และชื่อเสียงน้อยกว่า แต่ไบเดนก็สู้เต็มที่ และทำให้สังคมได้เห็นว่า ถ้าเลือกคนเดิมๆ ก็จะได้ผลลัพธ์แบบเดิมๆ แต่ถ้าลองเลือกคนใหม่ อย่างน้อยก็อาจมีอะไรที่ต่างออกไป โดยกลยุทธ์ต่างๆในการเลือกตั้ง เขามีภรรยา เนเลีย เป็นเหมือนกุนซือ โดยหนังสือพิมพ์นิวส์เจอนัล รายงานว่า เนเลียคือ "มันสมอง" ของแคมเปญนี้ เธอเป็นผู้แนะนำที่ใกล้ชิดที่สุดของโจ ไบเดน
ไอเดียของเนเลีย คือต้องเจาะไปที่คนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก โดยให้ความสำคัญที่การถอนกองกำลังทหารออกมาจากเวียดนาม เพราะเป็นสงครามที่ไม่รู้ว่าสร้างประโยชน์ให้คนอเมริกันอย่างไร และเอางบประมาณไปใช้ในเรื่องใกล้ตัวเช่น ขนส่งมวลชน, สิ่งแวดล้อม และ สาธารณสุข
และสุดท้าย แม้จะตกเป็นรองพอตัว แต่ปาฏิหาริย์ก็มีจริง ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 1972 ไบเดน เอาชนะการเลือกตั้งโดยเฉือนคะแนนไปแค่ 3,162 แต้มเท่านั้น ทำให้ไบเดน กลายเป็นวุฒิสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดอันดับ 5 ในประวัติศาสตร์อเมริกา ด้วยวัย 29 ปี กับอีก 352 วัน
หลังชนะเลือกตั้ง เนเลีย ถามสามีว่า "จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรามั้ยนะ โจอี้ ทุกอย่างมันดีเกินกว่าจะจินตนาการนะ"
18 ธันวาคม 1972 หนึ่งเดือนเศษ หลังคว้าชัยในการเลือกวุฒิสมาชิก โจ ไบเดน ต้องเดินทางไปที่วอชิงตัน ดีซี เพื่อทำพิธีสาบานตน โดยไบเดน เดินทางไปกับน้องสาว วาเลอรี่ ไบเดน-โอเวนส์ ที่รับบทเป็นมือขวาของเขาด้วย
1
ระหว่างที่ไบเดนเตรียมตัวจะทำการสาบานตน มีโทรศัพท์มาจากเดลาแวร์ คนที่โทรมาคือจิมมี่ น้องชายของโจ และวาเลอรี่ โดยคนที่รับสายคือวาเลอรี่ ซึ่งไม่กี่วินาทีหลังจากรับโทรศัพท์ วาเลอรี่ ก็สีหน้าซีดเผือด เมื่อเธอวางสาย วาเลอรี่หันมาบอกกับโจว่า เขาควรรีบกลับไปที่เดลาแวร์ตอนนี้เลย เพราะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับครอบครัวของโจ
1
เหตุการณ์นั้นคือ เนเลียพาลูกๆทั้ง 3 คน ออกไปช็อปปิ้งเพื่อซื้อของเตรียมตัวในวันคริสต์มาส แต่เกิดอุบัติเหตุรถบรรทุก วิ่งชนเข้าไปกลางลำ ในฝั่งคนขับ ทำให้เนเลียและนาโอมิ ลูกสาววัย 1 ขวบ เสียชีวิตทันที ส่วนลูกชายทั้งสองคน โบ และ ฮันเตอร์ ติดอยู่ในซาก ซึ่งเจ้าหน้าที่เอาตัวออกมาจากรถได้ แต่ก็มีอาการสาหัสมาก
2
เมื่อโจ ได้ยินเสียงโทรศัพท์ เขาบอกว่า "ผมรู้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น มันเป็นความรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง" และหลังจากที่วาเลอรี่บอกว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งเดียวที่เขาพูดได้คือ "เธอเสียชีวิตแล้ว จริงๆหรือ"
1
ไบเดน กลับไปเดลาแวร์ทันที เพื่อไปเฝ้าอาการของลูกชายทั้ง 2 คน โดยทิ้งงานวุฒิสมาชิกทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ในเวลานี้ ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตที่เหลืออยู่ของลูกชายอีกแล้ว
1
อาการของโบ กับ ฮันเตอร์ค่อยๆดีขึ้น โบที่อาการหนักกว่ายังต้องเข้าเฝือกที่ขา ซึ่งตอนแรกไบเดน จะลาออกจากตำแหน่งวุฒิสมาชิกเพื่อมาดูแลลูกๆ แต่เจ้าหน้าที่พรรคเดโมแครตเกลี้ยกล่อมเขาไว้ ว่าเสียงของประชาชนอุตส่าห์เลือกมาให้เปลี่ยนแปลงชุมชน เขาไม่ควรทำให้คนที่เลือกเข้ามาต้องผิดหวัง
ซึ่งทำให้ไบเดน ต้องโฟกัสสองด้านพร้อมกัน งานวุฒิสมาชิกก็ต้องทำแล้ว ประเทศชาติต้องเดินต่อ แต่ครอบครัวก็ต้องให้ความสำคัญ เพราะเด็กๆก็ไม่มีแม่อีกแล้ว
5 มกราคม 1973 จึงเกิดภาพที่คลาสสิคขึ้นมาในโลกของการเมือง เมื่อโจ ไบเดน ต้องเข้ารับการสาบานตนแล้ว แต่ในเมื่อเขาไม่สามารถไปวอชิงตัน ดีซี ได้ เขาจึงทำพิธีสาบานตนในโรงพยาบาล ข้างๆเตียงของลูกชายคนโต โบ ไบเดน
"ผมโชคดี ที่มีครอบครัวใหญ่อย่างที่ตัวเองหวังไว้ ที่ที่เต็มไปด้วยความรัก และความเชื่อใจ ผมไม่เคยคิดเลยว่า จะมีอะไรพรากพวกเราไปจากกันได้" ไบเดนกล่าวถึงความรู้สึกของความสูญเสียในภายหลัง "อุบัติเหตุวันนั้น มันเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมเข้าใจความรู้สึกของคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย"
"แต่สิ่งที่ผมทำได้ คือให้ความสำคัญกับลูกชายมากที่สุด มันเป็นทางเดียวที่จะเยียวยาความเจ็บปวดได้"
คนที่จากไปแล้ว ก็คือจากไปแล้ว แต่คนที่ยังอยู่ก็ต้องสู้กันต่อไป ดังนั้นโจ ไบเดน จึงลุกขึ้นมาทำงานต่อ โดยในช่วงแรกๆ น้องสาววาเลอรี่ ย้ายมาอยู่ในบ้านของไบเดน เพื่อช่วยดูแลเด็กๆทั้ง 2 คน
ส่วนไบเดน ทุกวันจะเดินทางไปกลับจากเดลาแวร์ กับวอชิงตัน ดีซี ที่อยู่ห่างกัน 200 กิโลเมตร เพื่อทำให้ลูกๆเห็นว่า ต่อให้พ่อไปทำงานก็ไม่ได้หายไปไหน ทุกคืนยังต้องมีเวลาอยู่ด้วยกันสักนิดก็ยังดี
ขณะที่กับภรรยาเนเลีย ในบางครั้งไบเดน ก็ยังคิดถึงเนเลีย เขาเคยหยิบรูปของเนเลียที่ใส่บิกินี่ แล้วอวดกับคนรอบตัวว่า "เธอยอดเยี่ยม ยิ่งกว่านางแบบเพลย์บอยเสียอีก" นอกจากนั้นยังกล่าวถึงเนเลียด้วยความชื่นชมเสมอว่า "เธอคือสหายที่ดีที่สุดของผม และเป็นคนรักที่ชาญฉลาดเหลือเกิน"
การเสียชีวิตของภรรยา และลูกสาว ทำให้ภาพลักษณ์ของโจ ไบเดน คือชายหนุ่มที่ต้องเอาชนะความโศกเศร้า และในขณะที่เขาเจอเรื่องหนักๆขนาดนี้ แต่ก็ยังยืนหยัดต่อไป สามารถเลี้ยงลูกๆ ทั้ง 2 คน ให้เติบโตได้อย่างสมบูรณ์ แข็งแรง ก็ทำให้สังคมให้การชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก และเส้นทางการเมืองของเขา ก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ นับจากนั้น
[ สูญเสีย ครั้งที่ 2 ]
2
โจ ไบเดน แต่งงานใหม่ ในปี 1977 ห้าปีให้หลัง จากอุบัติเหตุของเนเลีย โดยภรรยาคนใหม่คือ จิลล์ เจค็อบส์ คุณครูสอนวิชาภาษาอังกฤษในเมืองวิลมิงตัน ที่อายุน้อยกว่าเขาถึง 10 ปี โดยจิลล์ พร้อมเข้าไปอยู่ในชีวิตของไบเดน และพร้อมจะเป็นแม่ให้กับลูกชายทั้ง 2 คน
ในแง่การเมือง ไบเดน สร้างความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เอาชนะคู่แข่งมาได้หลายครั้งติดต่อกัน ยึดตำแหน่งวุฒิสมาชิกได้อย่างเหนียวแน่น เขาคือบุคลากรที่เชิดหน้าชูตาของพรรคเดโมแครต
1978 - ชนะ เจมส์ แบ็กเตอร์ 58%-41%
1984 - ชนะ จอห์น เบอร์ริส 60%-41%
1990 - ชนะ เจน เบรดี้ 63%-36%
1996 - ชนะ เรย์ แคลทเวอร์ธี่ 60%-38%
2002 - ชนะ เรย์ แคลทเวอร์ธี่ 58%-41%
2008 - ชนะ คริสตีน โอ ดอนเนลล์ 64%-35%
2
ชื่อเสียงของเขา ทำให้บารัค โอบาม่า ผู้สมัครท้าชิงประธานาธิบดีของเดโมแครต ในปี 2008 ตัดสินใจเลือกเขาเป็น รันนิ่งเมต หรือว่าที่รองประธานาธิบดี ด้วยเหตุผลสามข้อคือ ไบเดน เป็นที่ชื่นชอบของชนชั้นกลาง , ไบเดนมีคอนเน็คชั่นกับรัฐสภาเป็นอย่างดี และ ไบเดนมีความสามารถเรื่องนโยบายตางประเทศอันโดดเด่น
1
สุดท้ายเมื่อบารัค โอบาม่า ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ไบเดนจึงได้กลายเป็นรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาตามไปด้วย เท่ากับว่าตลอดเส้นทางการเมืองของเขา ก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคงมาก
โจ ไบเดน กับภรรยาจิลล์ รักกันดี ลูกชายทั้งสองคน แม้จะรู้ว่าจิลล์ไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่ก็เต็มใจเรียกเธอว่าแม่ นอกจากนั้น โจกับจิลล์ ยังมีลูกสาวด้วยกันอีก 1 คน ชื่อแอชลีย์ ไบเดน
1
โจนั้น มีความผูกพันมากๆกับลูกๆทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โบ และ ฮันเตอร์ ที่อยู่ในชีวิตของกันและกันมานาน ผ่านเรื่องราวเลวร้ายมาร่วมกัน จนนับไม่ถ้วน
สำหรับลูกชายคนโต โบ ไบเดน คือความภูมิใจอย่างแท้จริงของคุณพ่อ โดยโบ เรียนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ก่อนจบกฎหมายที่ซีราคิวส์ตามรอยของคุณพ่อ หลังเรียนจบ โบ ไบเดน รับใช้ชาติด้วยการสมัครเป็นทหาร เพื่อเข้าร่วมรบสงครามที่อิรัก
2
หลังจากปลดประจำการ โบ ไบเดนกลับมาทำงานประจำ โดยเริ่มต้นงานเป็นอัยการเขต ก่อนที่จะไต่เต้าขึ้นไปเรื่อยๆ และได้รับเลือกให้เป็น อัยการสูงสุดของรัฐเดลาแวร์ และเตรียมลงสมัครเป็นผู้ว่าการรัฐเดลาแวร์ในปี 2016
ในภาพรวม โบ ไบเดน เป็นคนที่ประชาชนชื่นชอบเป็นอย่างมาก และว่ากันว่า มีศักยภาพมากพอ ที่จะเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ในอนาคตด้วย
ในปี 2012 ตอนที่บารัค โอบาม่า ลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เขาเชิญโจ ไบเดน เป็นรองประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่งในงานประชุมพรรคเดโมแครตแห่งชาติ โบ ไบเดน ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ถึงคุณพ่อว่า
1
"หนึ่งในความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดของผม คือพ่อจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ เขาเคยตัดสินใจไม่เข้าพิธีสาบานตนที่วอชิงตัน ตอนนั้นพ่อบอกผมเลยว่า 'เดลาแวร์มีวุฒิสมาชิกคนใหม่ได้ แต่ลูกๆไม่สามารถมีพ่อคนใหม่ได้' อย่างไรก็ตาม ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเท็ด เคนเนดี้ , ไมค์ แมนส์ฟิลด์ และ ฮูเบิร์ต ฮัมฟรีย์ เกลี้ยกล่อมให้พ่อ รับใช้ประชาชนที่เลือกตั้งเขาเข้ามา ดังนั้นพ่อเลยตัดสินใจสาบานตนที่โรงพยาบาล ข้างๆเตียงพยาบาลของผม" ซึ่งตอนที่โบ ไบเดน กล่าวถึงเรื่องนี้ โจ ไบเดน ถึงกับน้ำตาซึมเลยทีเดียว
1
สำหรับโบ ไบเดน ทุกอย่างดูไปได้ดี เขามีคุณพ่อเป็นรองประธานาธิบดีของประเทศ ชีวิตส่วนตัวก็สวยงาม เขาแต่งงานกับภรรยาที่ชื่อ ฮัลลี่ ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 2 คน คือลูกชายโรเบิร์ต และ ลูกสาวนาตาลี-นาโอมิ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทุกอย่างสวยงาม ในปี 2013 โบ ไบเดนตรวจพบมะเร็งที่สมอง โดยเขารักษาด้วยการฉายรังสี และทำคีโม จนอาการพยุงตัวไปได้ 2 ปี อย่างไรก็ตาม อาการกลับมามีอาการหนักอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2015
ในช่วงวันสุดท้ายที่วิกฤติ ครอบครัวไบเดน อยู่ที่ห้องคนไข้ในโรงพยาบาล น้องชายฮันเตอร์ และ คุณพ่อโจ ต่างจับมือโบ ไบเดนเอาไว้เป็นการให้กำลังใจในช่วงสุดท้ายของชีวิต
"โบ มองผมแล้วบอกว่า 'พ่อ ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ผมโอเค' " โจ ไบเดน เปิดเผยในรายการโอปราห์ วินฟรีย์โชว์ "ในช่วงสุดท้ายของชีวิต น้องชายของเขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วย เราสามคนจับมือกันไว้ และโบก็พยายามบอกพวกเราว่าเขาโอเค เขาไม่เป็นไรหรอก"
1
"เขาที่นอนอยู่ที่เตียงพยาบาล บอกผมว่า 'พ่อ อย่าทำหน้าเสียใจเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมไม่เป็นไรหรอก พ่อต้องมีความสุขนะ พอต้องเข้มแข็งเพื่อครอบครัวของเราทั้งหมดนะ' "
และหลังจากนั้น โบ ไบเดน ก็เสียชีวิตไปด้วยวัย 46 ปี เท่ากับว่า โจ ไบเดน เสียภรรยา เสียลูกสาว และเสียลูกชายคนโต ที่เป็นเหมือนความหวังและความฝันของเขา มันเป็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ที่ตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าจะเจอ
"ผมมองหน้าหลานชายของผม ใช่ ผมเห็นลูกชายของผมอยู่ในตัวเด็กคนนี้ และเมื่อผมมองไปที่หลานสาวของผม ผมก็เห็นโบ อยู่ในนั้นเช่นกัน ดังนั้นผมจึงคิดว่า แม้เขาจะจากไปแล้ว แต่เขาจะยังอยู่กับจิตวิญญาณของผมตลอดไป"
[ ก้าวต่อไปของไบเดน ]
โจ ไบเดน อาจเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียง แต่อีกมุมหนึ่ง เขาแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ในชีวิตส่วนตัว เขาก็เป็นคนธรรมดา ที่เคยเผชิญความสูญเสียมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดของคนทั่วไปเป็นอย่างดี
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ โจ ไบเดน เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต สู้กับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับบลิกัน ซึ่งสุดท้ายไบเดนเอาชนะไปในศึกนี้ และจะกลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกาต่อไป
มีการวิเคราะห์อย่างมากมาย ว่าทำไมไบเดนชนะศึกครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเชื่อว่าประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงจากยุคโดนัลด์ ทรัมป์ แต่อีกส่วนหนึ่งก็มองว่าศักยภาพของไบเดนเองก็มีให้เห็นไม่น้อยจากช่วง 8 ปีที่เขาทำงานในฐานะรองประธานาธิบดี
รวมถึง ประเด็นชีวิตส่วนตัวที่แสดงออกอย่างเข้มแข็งแม้จะเจอเรื่องราวแสนเศร้า ก็เป็นส่วนช่วยดึงคะแนนให้ไบเดนจากกลุ่มสวิงโหวตเช่นกัน เพราะภาพลักษณ์ของเขาคือผู้ชายธรรมดา เป็นผู้สมัครที่ดูจับต้องได้ ไม่ได้อยู่สูงส่งบนหอคอยงาช้างขนาดนั้น
หลังการเลือกตั้งจบลง คราวนี้ความท้าทายครั้งใหม่ในชีวิตของเขาจะเริ่มต้นขึ้น เพราะ 4 ปีต่อไปนี้ คือช่วงเวลาที่มีปัญหารุมเร้ารอสหรัฐฯ อยู่มากมาย ทั้งปัญหาโควิด-19 ที่ยังไม่ทุเลา รวมถึงกระแส Black Lives Matter ที่ยังพร้อมปะทุทุกเมื่อ ยังไม่นับวิกฤติสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจโลกที่ต้องการการแก้ไข ซึ่งไบเดนก็ยืนยันว่า เขาพร้อมจะสู้กับทุกปัญหาที่เข้ามา เพื่อให้ประชาชนอเมริกาได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตัวไบเดนก็ยอมรับว่า แม้จะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีเพื่อประชาชนอเมริกาก็จริง แต่อีกส่วนในใจ เขามีเหตุผลลึกๆอยู่ ที่ลงสมัครในครั้งนี้
"รู้ไหม คนที่ควรลงสมัครเลือกตั้งในวันนี้ ควรจะเป็นโบ ไม่ใช่ผม"
"ทุกๆเช้า พอผมตื่นขึ้น ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ ผมจะคิดกับตัวเองทุกวันว่า 'ในวันนี้ ลูกชายของผม จะภูมิใจในตัวพ่อคนนี้หรือยังนะ"
โฆษณา