การคำนวณภาษี เราจะนำเฉพาะ เงินสมทบ และผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินสะสมและเงินสมทบ ไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ส่วนเงินสะสมจะไม่นำมาคิดด้วย ซึ่งสามารถแบ่งการคำนวณได้เป็น 2 แบบ ตามระยะเวลาทำงานได้ ดังนี้
1. กรณีทำงานน้อยกว่า 5 ปี
ต้องนำเอาเงินที่ได้จากกองทุน ในส่วนของเงินสมทบ และเงินผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินสะสมและเงินสมทบ ไปรวมกับเงินได้ทั้งปี เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามปกติ
2. กรณีทำงานมากกว่า 5 ปี
สามารถเลือกได้ว่าจะนำเอาเงินดังกล่าวไปคำนวณรวมกับเงินได้อื่นๆ หรือไม่ (ทำให้เสียภาษีมากขึ้น) หรือเลือกได้ว่าจะนำไปแยกคำนวณต่างหาก (เสียภาษีน้อยกว่า) ซึ่งสามารถคำนวณดังนี้
2.1 นำเงินที่ได้จากกองทุน (เงินสมทบ + เงินผลประโยชน์ทีเกิดจากเงินสะสมและเงินสมทบ) หักด้วยค่าใช้จ่าย โดยเอาตัวเลข 7,000 x จำนวนปีที่ทำงาน
2.2 เหลือเงินได้เท่าไหร่ ให้หักออกอีกครึ่งหนึ่ง
2.3 นำเงินที่เหลือไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามปกติ
ทั้งนี้ การคำนวณด้วยวิธีแยกยื่นในใบแนบนี้ จะคิดภาษีตั้งแต่บาทแรกของเงินได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย โดยไม่มีการยกเว้น 150,000 บาทแรก
ตัวอย่างเช่น นายเอ เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและทำงานมาแล้ว 5 ปี ได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาทั้งหมด 500,000 บาท โดยแบ่งเป็นเงินสะสม 150,000 บาท เงินสมทบ 150,000 บาท และผลประโยชน์จากเงินสะสมและเงินสมทบอีก 200,000 บาท เราสามารถแยกคิดภาษีในใบแนบต่างหาก ได้ดังนี้
o เงินได้ที่นำมาคิดภาษี = เงินสมทบ+ผลประโยชน์จากเงินสะสมและเงินสมทบ = 350,000 บาท
o หักค่าใช้จ่ายตามปี (7,000 x จำนวนปีที่ทำงาน) = 7,000 x 5 = 35,000 เหลือ 350,000 – 35,000 = 315,000 บาท
o หักออกอีกครึ่งหนึ่งของเงินได้ที่เหลือ = 315,000 / 2 = 157,500 บาท
o คิดเป็นเงินได้สุทธิ = 157,500 บาท เสียภาษีฐาน 5% = 7,875 บาท
ส่วนนายบี เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและทำงานมาแล้ว 4 ปี ได้รับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาทั้งหมด -400,000 บาท โดยแบ่งเป็นเงินสะสม 120,000 บาท เงินสมทบ 120,000 บาท และผลประโยชน์จากเงินสะสมและเงินสมทบอีก 160,000 บาท เราสามารถคิดภาษีได้ดังนี้
o เงินได้ที่นำมาคิดภาษี = เงินสมทบ+ผลประโยชน์จากเงินสะสมและเงินสมทบ = 280,000 บาท
o ไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใด ๆ
o ต้องนำเอาเงินได้ดังกล่าว ไปรวมกับเงินได้อื่น ๆ เพื่อคำนวณภาษีตอนสิ้นปีด้วย