6 ธ.ค. 2020 เวลา 15:42
ผมกับเพื่อนยุ่น ตอนอยู่ที่เซนต์ดอมินิกก็เห็นหน้ากันตลอดแต่ก็ไม่เคยคุยกันเพราะอยู่คนละห้อง ผมเลือกเรียนสายวิทย์ ส่วนยุ่นอยู่สายศิลป์ แต่พอไว้อายุ 52 เราก็ได้เจอกันอยู่เรื่อยๆ เพราะไม่มีคำว่าห้องวิทย์ห้องศิลป์อีกต่อไป เราได้คุยกันลับคมความคิดขึ้นอยู่เสมอจึงได้รู้ว่าเพื่อนคนนี้ก็เข้าทีเหมือนกัน นี่แหละครับโลกแห่งความเป็นจริง
เฮียยุ่น ร้านตำอย่างเสือ ตลาดนัดรถไฟ ศรีนครินทร์
เรื่องนี้จุดประกายความคิดให้กับผม ในช่วง covid ที่ผ่านมา...เมื่อเราอยู่ในปัจจุบัน อดีตก็ไม่ได้สำคัญอะไร เราเรียนจบ ม.6 เกรด ม.3 มันก็ไม่สำคัญ เมื่อเราจบปริญญาตรี เกรด ม.6 มันก็ไม่สำคัญ และเมื่อเราเป็นเจ้าของธุรกิจ ใบปริญญามันก็ไม่สำคัญ และเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ เรื่องในวัยเด็กมันก็ไม่สำคัญ ในเมื่อเราหมดลมหายใจชีวิตที่ผ่านมามันก็ไม่สำคัญ
ทุกอย่างในอดีตเป็นเพียงแค่ความทรงจำ ที่ทำให้รู้ว่าเราเริ่มต้นมาอย่างไร แต่มันจะไม่มีผลต่ออนาคตของเรา ถ้าเรารู้ว่าปัจจุบันเราต้องทำอะไร เพราะสิ่งที่เราทำในวันนี้ มันคือตัวกำหนดอนาคตของเรา ถ้าวันนี้มีคนถามผม ผมเป็นใคร นักคอมพิวเตอร์ นักวิชาการเทคโนโลยี ครูอาจารย์ ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ สื่อสารมวลชน ผู้ผลิตสื่อ นักการตลาด เจ้าของธุรกิจ นักเขียนคอลัมนิสต์ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งมันเป็นเพียงแค่ตำแหน่งทางสังคมเท่านั้นเอง ผมสนุกกับการทำงานและหาเงินมาตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย ปี 4 ได้ประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายและก็รักทุกงานที่ทำ
หลายครั้งการหยุดนิ่งของชีวิต ก็เพราะเรายึดติดอยู่กับสิ่งที่เราอยากจะเป็นหรือสิ่งที่เราอยากจะครอบครอง ซึ่งมันเริ่มทำให้ผมไม่มีความสุข
เพื่อไปต่อ ...ผมเริ่มคิดจากสิ่งที่ผมมี "ทรัพย์สิน ประสบการณ์ ทักษะและความสามารถ เพื่อน บริวาร สุขภาพ และภาระรับผิดชอบ" นำมาสร้างสรรค์เป็นรูปแบบของงานและชีวิตที่จะทำให้ผมมีความสุขอย่างยั่งยืน
ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเอง แค่ผมอยากแบ่งปันความคิดนี้ให้กับเพื่อนๆ เพราะเมื่อถึงจุดที่คุณไปต่อไม่ได้ จริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่เป็นทางตัน แต่มันจะเป็นทางแยก ที่เราต้องเลือก ซึ่งเราต้องย้อนกลับมาดูตัวเองว่าพกอะไรติดตัวมาบ้าง จงเลือกจากสิ่งที่มี แล้วเราจะไปต่อ
สุดท้ายนี้ขอบคุณเพื่อนยุ่น ที่มาเป็นบุคคลประกอบเรื่อง ในฐานะต้นเหตุที่ทำให้ผมคิดเรื่องนี้ออก เพราะว่าเพื่อนยุ่นคือคนที่ใช้ชีวิตจากสิ่งที่มีจริงๆ
โฆษณา