6 ก.พ. 2021 เวลา 18:35 • ความงาม
สีผึ้งโบราณณณ อันเป็นตำนานน สู่ยุคปัจจุบัน
1
คนสมัยก่อนเคี้ยวหมากเคี้ยวพลู จนปูนกัดปาก แล้วทำยังไงล่ะทีนี้ จึงเกิดเป็นภูมิปัญญาไทยอันเฉียบแหลมขึ้นมา คนโบราณในรั้วในวัง จึงนั่งหุงสีผึ้งอย่างละเมียดละไม กรรมวิธีและกระบวนการ ก็ไม่ง่ายเลย ต้องค่อยๆหุงสีผึ้งจนสุก ด้วยการเคี่ยววันละกว่า 10 ชั่วโมงด้วยไฟอ่อนๆ จนส่วนผสมต่างๆเนียนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เสร็จแล้ว ร่ำกำยานต่อ หลายๆๆรอบจนซึมเข้าไปในเนื้อสีผึ้ง
กำยานมันมีฤทธิ์สมานแผลและฆ่าเชื้อได้ อีกทั้งยังเป็นสารกันบูดให้กับตำรับโดยธรรมชาติ จึงไม่ต้องใส่สารกันเสียให้ระคายเคืองเลย อัจฉริยะปะล่ะ ภูมิปัญญาไทย
สุดท้าย ออกมาเป็นแท่งที่ใช้กันง๊ายง่ายย แต่กว่าจะได้ออกมา ย๊ากกยากก
ทีนี้มาดูคำเคลมของแบรนด์กัน (ทั้งสองแบรนด์เคลมคล้ายๆกัน
- ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ 100%
- ไม่มีน้ำหอมและสารกันเสีย ไม่มีสารเคมี ไม่แต่งสี
- ทาครั้งเดียวอยู่ได้นาน ไม่ต้องทาบ่อย
- ปากนุ่มขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้
- ทาแล้วปากไม่มัน ไม่มีสี สามารถทาลิปสติกทับก็เนียนสวย
- ทาแล้วซึมลงไปบำรุงรักษา และเคลือบผิวกันความชื้นระเหยออก
- ทาได้ทุกเพศ ทุกวัย
ทีนี้ราคามันต่างกัน
สีผึ้งโบราณ(ทางซ้าย) แท่งละ 299-. แพ็คคู่ 470-.
สีผึ้งวาริน (ทางขวา) แท่งละ 199-. แพ็คคู่ 350-.
เราก็เลยลองทั้งสองแบรนด์ดู ว่ามันจะต่างกันยังไง ดีจริงมั้ย ดีแค่ไหน
พอได้ลองแล้ว คือดีมากกกกกกกกกกกกกกกก
เป็นไปตามคำเคลมทุกประการจ้ะ คือปากไม่แตกๆลอกๆ แห้งๆอีกเลยอะ แผลปากแตก ที่ปกติเราจะใช้ Triamcinolone oral paste ทา ให้แผลหายไวๆ ก็ไม่ต้องใช้จ้าา กำยานในสีผึ้งช่วยแล้ว ปากนุ่มมม อมชมพูขึ้นด้วยเพราะผิวมันชุ่มชื้นขึ้น คือดีมากกกกกกกกกกกกกก เลิฟภูมิปัญญาไทยจัง
ลิปมัน ลิปบาล์ม เซรัมบำรุงปากใดใด จะนำเข้า จะของนอก ของไทย แบรนด์ดัง แบรนด์แพงที่เคยใช้มาทั้งหมด ตอนนี้ถูกโยนทิ้งไม่เหลือเยื่อใยแล้ว 555
หลังจากได้ลองใช้จนหมดแท่งไปแล้ว ทั้งสองแบรนด์ทำได้ดีพอๆกัน ต่างกันนิดเดียวคือ สีผึ้งโบราณ(ทางซ้าย) ทาน้อยครั้งกว่า ต่อวัน คือรู้สึกว่าชุ่มชื้นนานกว่า ไม่ต้องทาบ่อย สีผึ้งวาริน(ทางขวา) ต้องหยิบมาทาบ่อยกว่า ใน 1 วันอ้ะ
สรุปซื้อใช้ต่อมั้ย.... ซื้อใช้ต่อแน่นอนค่าา อย่าเพิ่งเลิกผลิตน้าาา
โฆษณา