15 ก.พ. 2021 เวลา 13:45 • ปรัชญา
#ในวันที่เรียนจบ
หลายครั้งที่ไม่ได้พูด หลายครั้งที่ไม่เคยทำ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ "สายไปแล้ว" อ่านเรื่องราวต่อไปนี้แล้วคุณจะเข้าใจ
*****
เจคอป ชายหนุ่ม ที่มีความปราบปลื้มใจในตัวพ่อของเขาเป็นอย่างมาก เพราะพ่อของเขานั้นทั้งรวยและหน้าตาดี อีกทั้งเขายังยกให้พ่อของเขาเป็นแบบอย่างในชีวิตอีกด้วย
แต่ทว่า ในระหว่าง อาทิตย์สุดท้ายก่อนที่จะเรียนจบ เจคอป ก็ได้เดินผ่านหน้าโชว์รูมหรูแห่งหนึ่งเข้า เขาจึงบอกกับพ่อเขาด้วยความตื่นเต้นว่า “พ่อครับ ผมอยากได้รถสปอร์ตสักคัน เป็นของขวัญในวันรับปริญญาของผม”
หลังจากนั้นเขาก็ชวนพ่อของเขาเข้าไปในโชว์รูมพร้อมทั้งดูรายละเอียด และถามเกี่ยวกับราคารวมถึงโปรโมชั่นต่าง ๆ ซึ่งในระหว่างนั้นเขาก็ได้ทำท่าทางเป็นสัญญาณนัย ๆ ว่า เขาอยากจะได้รถคันไหน ให้พ่อของเขาได้รับรู้รับทราบ
เจคอป ที่ไม่ได้เห็นปฏิกิริยาปฏิเสธหรือขัดแย้งอะไรจากพ่อของเขาเลย เขาจึงตื่นเต้นที่จะได้รถที่หมายตาไว้นี้
อีกทั้ง พ่อของเขาก็มักจะซื้อของทุกอย่างให้เขาดังที่เขาต้องการอยู่เสมอด้วย ความเป็นไปได้ที่จะได้รถคันนี้มาจึงค่อนข้างที่จะมีสูงมาก
กระทั่งวันสุดท้ายของการรับปริญญามาถึง พ่อจึงเรียกให้ เจคอป เข้ามาหาในห้องนั่งเล่น จากนั้นพ่อก็ขอให้ เขานั่งลง พ่อที่นำของขวัญออกมากล่องหนึ่ง จึงค่อย ๆ วางมันไว้ตรงหน้าของลูกชายช้า ๆ ซึ่งกล่องนั้นถูกห่อด้วยกระดาษที่สายงามและปราณีตมากจนแทบที่จะละสายตาไปไหนไม่ได้
แต่ก่อนที่จะเปิดกล่องนั้นออกดู พ่อยังได้บอกกับ เจคอป ด้วยแววตาที่ภูมิใจกับลูกชายคนนี้ให่เขาได้เห็น เจคอป จึงยิ้มรับและรีบเปิดกล่องของขวัญนั้นออกดูอย่างมีความหวังว่า เขาจะได้พบกับกุญแจรถสปอร์ตอยู่ด้านใน
แต่ทว่าสิ่งที่เขาเห็นกับเป็นเพียง หนังสือ เล่มหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกผิดหวัง และโกรธพ่อของเขาป็นอย่างมาก
เจคอป ที่อยู่ในอารมณ์โกรธ จึงพูดขึ้นเสียงกับพ่อของเขาไปว่า “เงินพ่อก็มีมากมาย แต่พ่อกลับซื้อของแค่นี้ให้ผมเนี้ยนะ” เขาพูดพร้อมทั้งขว้างหนังสือเล่มนั้นทิ้งไป จากนั้นเขาก็วิ่งขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า แล้วเดินทางออกจากบ้านไปโดยไม่ได้กล่าวคำลาสักคำ
จนกระทั้งหลายปีผ่านไป เจคอป กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันกับพ่อของเขา ซึ่งทั้งแต่วันที่ออกจากบ้านมา เขาก็ไม่เคยกลับไปและไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อของเขาอีกเลย
แต่แล้วในบ่ายวันหนึ่ง เจคอป ก็ได้รับข้อความเกี่ยวกับพ่อของเขา ที่ในตอนนี้ได้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งภายในข้อความที่ส่งมานั้นได้ระบุไว้ว่า
“พ่อได้มอบสมบัติทั้งหมดไว้ให้กับลูกเพียงผู้เดียว” ด้วยเหตุนี้ เจคอป จึงจำเป็นต้องเดินทางกลับบ้านเพื่อไปจัดการและดูแลทุกทิ้งที่พ่อของเขาทิ้งไว้ให้
เมื่อเขามาถึงที่บ้าน เขาก็เกิดรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดหัวใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่เดินเข้าไปยืนในห้องที่เขาได้คุยกับพ่อเป็นครั้งสุดท้ายและวันสุดท้าย แม้ในตอนนี้....ห้องนั้นจะถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าเมือก่อนก็ตาม
เจคอป ที่เดินสำรวจไปรอบ ๆ พร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม อีกทั้งเขายังได้เผอิญไปเปิดลิ้นชักอันหนึ่งเข้า
ซึ่งภายในนั้นเขาก็ได้พบกับหนังสือเล่มเดียวกันกับที่พ่อของเขาตั้งใจมอบให้ในวันรับปริญญา ความทรงจำทั้งหมดจึงกลับมาในชั่วพริบตา หลังจากที่ได้สัมผัสกับหนังสือเล่มนั้นอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ เจคอป จึงถึงกับทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้ที่พ่อของเขาชอบนั่งเป็นประจำ น้ำตาของเขาจึงยิ่งไหลออกมาไม่ยอมหยุด เจคอป ที่เริ่มเปิดหนังสือไปทีละหน้าและพลิกหน้ากระดาษแต่ละหน้าดูอย่างช้า ๆ
แต่ทว่า เมื่อเปิดไปได้เพียงแค่ไม่กี่หน้าเท่านั้น เขาก็พบเข้ากับรูตรงกลางของหนังสือที่ถูกเจาะไว้อย่างปรานีต เพื่อเป็นช่องสำหรับใส่กุญแจรถสปอร์ตไว้ภายใน
อีกทั้งยังมีการ์ดที่เขียนไว้ด้วยว่า “ด้วยรักที่มีต่อลูกชายที่มีค่าที่สุดของพ่อ พ่อภูมิใจในตัวลูกเสมอ”
หลายครั้งในชีวิตเราก็มักจะมีอคติกับผู้คนที่เราได้พบเจอ หรือแม้แต่สิ่งต่าง ๆ ที่เราได้พบเจอในชีวิต เพียงเพราะว่าเขาคนนั้นหรือสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีในสิ่งที่เราคาดหวังเอาไว้ และด้วยเหตุนี้เราจึงมักจะเข้าใจผิดหรือเลือกใช้ความรุนแรงในการตอบสนองกลับอยู่เสมอ
ฉะนั้นในช่วงเวลาที่เราพบกับความรู้สึกโกรธ เราจึงจำเป็นต้องหยุดและคิดดูให้ดีก่อนว่า หากเราทำสิ่งใดลงไปกับบุคคลหรือสถานการณ์ใด ๆ ที่เผชิญอยู่นั้น จะเป็นเช่นไร
อีกทั้งท้ายที่สุดแล้วหากเราตัดสินใจทำสิ่งเหล่านั้นลงไป เราอาจจะได้พบกับคำว่า ให้อภัย ในวันที่สายเกินไปเสียแล้วก็เป็นได้
*****
ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “อย่ารอให้ต้องสูญเสีย จึงจะรู้ว่าอะไรนั้นมีค่า อย่ารอให้สายเกินไปจนถึงขนาดที่ต้องล้างลา จึงจะเข้าใจว่า สิ่งใดนั้นสำคัญ”
*****
แปลและเรียบเรียงโดยเรื่องเล่าจากดาวนี้
ที่มา:
ติดตามเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย 😄
โฆษณา