- FOOD: Alternative Protein ที่ทำจากแมลงหรือทำจากพืช (จะมีมูลค่าตลาดถึง 1.7 Trillion USD)
- Animal Farming ใช้น้ำ 30% ของทั้งโลก ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 15% ของทั้งโลก vs. Alternative Protein or Plant Base Protein ใช้น้ำลดลง 74% ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 87% ใช้แรงน้อยลง ใช้พื้นที่น้อยลง 95%
- BIO: ถูกเร่งเครื่องมหาศาลหลัง Covid ยกตัวอย่าง CEO ของ Modena ที่ผลิตวัคซีน Covid ทำ Digitize แยกส่วนที่เป็น Data ออกมาจากส่วนที่เป็น Bio แล้วก็ทำแพลตฟอร์มของ Bio ขึ้นมาใหม่คือ messenger RNA แล้วเอามาทำ Data Analytic คือ Deep learning digital 2.0 เพื่อต่อไปในอนาคตการเขียนวัคซีนแต่ละตัวจะกลายเป็นเหมือนการทำ application
1
2021-2030 Food Agri Bio will make the 1st Trillionaire
Young Old (YOLD) economy: Young Old and Rich คือแก่แต่ใจเด็กแถมมีเงิน ในปี 2030-2040 คนกลุ่มอายุ 60+ จะมี consumption growth ที่โตเร็วกว่าเด็กๆ x4 เพราะเป็นคนตัดสินใจซื้อของในครอบครัว คิดเป็น 55% ของ consumption growth แล้วประเทศไทยปีนี้ 2021 ได้ก้าวเข้าสู่ยุค Completely Aged เรียบร้อยแล้ว คือ 20% ของประชากรทั้งหมดมีอายุมากกว่า 60 ปี แล้วในปี 2031 ประเทศไทยจะกลายเป็น Super Aged คือมีคนอายุเกิน 60 ปี มากกว่า 28% ของประชากรทั้งหมด เป็นคนแก่ที่ aged successfully สมองทำงานได้ สุขภาพแข็งแรง productive มีเงิน และยังอยากทำงาน มันจะทำให้เกิดอุตสาหกรรมขึ้นมหาศาล โดยมี assisted living ใน Health Wealth และ Wellness เช่น Tele health, Tele care, Tele medicine, Tele coaching, Mobile health, Robotic technology, Wealth planing และ 59% ของคนแก่เหล่านี้จะยอมจ่าย premium สำหรับสินค้าหรือบริการที่ออกแบบมาให้ friendly กับคนแก่
ตอนนี้ไม่ต้องกลัวว่าเราจะถูก AI มา distrupt เพราะมันมาแน่นอนแต่มันก็ทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ด้วยเช่น new demographic อันนี้ที่ทำให้เกิดอุตสาหกรรมขึ้นมหาศาล
3) เราจะ take opportunity จาก wave ที่เปลี่ยนแปลงนี้ยังไงได้บ้าง?
4. Designer: ดีไซน์ชีวิตให้มีระบบให้ balance ครบทุกอย่าง เช่น เหมือนหนังสือ The 4-Hour Work Week by Tim Ferriss ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งและการทำแบบนี้พอมันเป็นระบบแล้วมันสามารถที่จะ generate asset ที่จะทำให้เกิด income ขึ้นมา ไม่ได้หมายความว่าเค้าไม่ work hard แต่ work hard อย่างมี balance
2. มีคำพูดว่า Culture eats strategy for lunch พี่บอกเลยว่าไม่จริง เพราะ strategy ต้องตามด้วย capability ที่ประกอบไปด้วย structure, technology, process และ people ขององค์กร ทุกอย่างต้องลิงค์กันแล้วประกอบกันจนสามารถ deliver to that strategy ในฐานะผู้นำเราต้องสร้าง strategy ที่ตัวเราเองเชื่อและเชื่อมั่นจริงๆ ว่าเราจะต้องไปถึง
6) ถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ให้คนไปทำต่อยังไง?
1. The best communication is over communication หาช่องทางทั้งหมดในการสื่อสาร เช่น อย่างปีที่แล้ว KBTG ได้รางวัล HR: Asia for The Best Company To Work For เพราะเราลงไปคุยกับพนักงานตั้งแต่เรา design employee journey คอนเซ็ปเดียวกับ design thinking คือไปจับว่าเค้ามีปัญหาตรง touchpoint ไหนบ้างที่เราจะสามารถเข้าไปแก้ได้ ไปคุยขนาด exit interview เพราะตอนนั้นคือเขาไม่มีทางที่จะโกหกแล้วเพราะเค้าจะออกแล้ว วิธีการนี้เป็นเหมือน micro innovation คือหาจุดต่างๆ ที่มีปัญหาแล้วหา solution มาแก้ไข
2. Culture ต้อง support strategy ของเรา หลายครั้งเรา force fit culture เข้าไปโดยที่มันไม่ได้ตรงกับ strategy ของเรา คือเดี๋ยวนี้คนพูดถึงกันเยอะมากเรื่อง Netflix culture ที่หา talent density ที่ต้องเป็น A player หมดเลย แต่ว่ามันใช้ไม่ได้กับทุกที่ อย่างของที่ KBTG คือรับพนักงานเข้ามาแน่นอนเราดูว่าเขาจะต้องมี potential ที่จะเติบโตได้ แต่ทำไมเราไม่สร้าง culture และ enviorment ที่จะทำให้คนขององค์กรเราสามารถที่จะเป็น A player ได้ด้วยหละ
1. ในองค์การใหญ่อาจจะต้องเอาคนนอกที่มี credibility ไปเล่าให้เขาฟัง ไปเอา consult หรือ startup มาให้เขาดู เขาจะได้สะดุด เอาสิ่งเหล่านี้มาจุดประกายเขา บางครั้งเกิดจากคนภายนอก outside in ซักพักจะเริ่มเปลี่ยนและเราก็ต้องช่วยเขาเปลี่ยน คนที่เป็น middle managment will be key but take baby step for transformation เช่น ทดลองทำ A, B, C ที่ถูก เช่น ทำ MVP for change พอเขาได้มาทำด้วยแล้วถัดไปมันสำเร็จแล้วค่อยๆ ไปจากตรงนั้น เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน อย่าเพิ่งสร้างจรวด bite the bullet to transformation เพราะมันไม่เกิด result วันนี้ มันใช้เวลานานมากกว่าจะเห็นผลมันใช้เวลา มันจะไม่สำเร็จถ้าระดับสูงไม่ช่วย ถ้าเขาไม่เปลี่ยนคุณควรจะไป
1
2. SME ไทยแก้ปัญหาของหลายๆ เรื่องเก่งมากๆ แล้วพวกเขาสู้มากถ้าอุกาบาตไม่ตกใส่หัว SME ไทยไม่มีวันตาย แล้วเขาสามารถสร้าง sense of ownership ให้พนักงาน ให้พนักงานสู้ไปด้วยกันได้
3. Startup มีความกล้าเขาไม่สนว่าเมื่อก่อนทำยังไง bottom line arrogant มันมีวิธีการที่ดีกว่าเสมอ ไม่ยึดติดกับ legacy อะไรเลย แต่ในระดับหนึ่งไม่สามารถบริหารคนได้ ไม่มี process, ไม่มี coaching so it’s the best of both work SME+Start up
3. Nothing will change if people won’t change พอคนเห็นว่าเรากำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีแล้วสุดท้ายเราต้องโชว์ให้เค้าเห็นว่าจุดหมายปลายทางมัน worth the sacrifice รึเปล่า จึงต้องมี purpose ของการ transform ที่จะสามารถ inspire คนได้ ต้องมี story ที่คุณ believe ต้องเป็น role model เช่น เวลามีอะไรออกมาใหม่ๆ จะให้ HR ทำก่อนแล้วดูว่าเขาทำได้ไหม ถ้าได้แล้วค่อย roll out ให้คนอื่นในองค์กร เราต้องมีการทำวินัยในการเปลี่ยนแปลง discipline over and over again มันน่าเบื่อแต่ต้องทำ กว่าจะทำสำเร็จต้อง 2-3 ปีกว่าจะเห็นผล
ประเทศไทยเล็กเกินไปแล้วสำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่ยุคนี้ เพราะ South East Asia is the next China เราต้องไปโตที่อื่นในภูมิภาค แล้วเศรษฐกิจอย่าง Vietnam คือฟื้นจาก Covid เร็วมาก คนของเขาต่อไปจะกระหายการบริโภคเพราะเขาจะมีรายได้เพิ่มขึ้น จะกินใช้เยอะขึ้นมากเขาจะมามองมาที่เมืองไทย