28 ก.พ. 2021 เวลา 08:09 • หุ้น & เศรษฐกิจ
🔎 [ANALYSIS] - ทำไม Bond yield ที่สูงขึ้นจึงทำให้หุ้น Tech และ Growth โดยเทขาย ? และทำไมนักลงทุนถึงแห่กันถอนเงินออกจากพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐ ?
2
ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานักลงทุนทุกท่านคงจะได้ยินข่าวกันแล้วว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐที่พุ่งขึ้นมาแตะสูงถึง 1.6% ในอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ และเป็นประเด็นหลักที่กำลังกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่
บอกตรงๆว่า หลายท่านอาจจะสงสัยเหมือนผม ว่าทำไมการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นถึงต้องเป็นผลลบต่อตลาดหุ้น ? และทำไมต้องเป็นกลุ่มหุ้น Tech และ Growth Stock เป็นหลักด้วยที่ถูกกดดัน ?
ทางแอดเองก็สงสัย จึงได้พยายามทำการบ้านเพิ่มเพื่อมาอธิบายให้ฟังกันครับ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามไปอย่างแน่นอน
2
และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาด Bond ในอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นก็ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ผันผวนที่สุดในรอบ 10 ปีเลย แม้แต่เทรดเดอร์ Bond หลายคนเองก็ยังพยายามจะตีความหมายว่า #มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?!?
1
📌 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสหรัฐดีดขึ้นสูง
อย่างแรกคงต้องบอกว่า การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับขึ้นหรือลงนั้นขึ้นอยู่กับ Supply และ Demand เป็นหลักเลย หากมีความต้องการซื้อพันธบัตรเยอะ (รุมกันซิ้อ) ผลตอบแทนก็จะลดลง แต่ในทางกลับกันหากมีความต้องการขายพันธบัตรเยอะ (รุมกันขาย) ผลตอบแทนก็จะมากขึ้น
1
📝 เรื่องนี้นั้นสามารถอธิบายได้สั้นๆอย่างนี้ครับ
1
ยกตัวอย่างถ้ารัฐบาลออกตั๋วพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีออกมา ซึ่งจะให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยคืนนักลงทุนที่ 20 เหรียญต่อปี และตํ๋วนี้เริ่มออกมาขายที่ราคา 1,000 เหรียญ แปลว่าผลตอบแทนของพันธบัตรนี้คือ 2% ต่อปีใช่ไหมครับ
1
แต่ตั๋วพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐซึ่งทั้งโลกมองว่าน่าจะเป็นการให้ยืมเงินที่ปลอดภัยที่สุดในโลกแล้ว เพราะคงไม่มีเจ้าหนี้คนไหนที่มีความน่าเชื่อถือไปกว่ารัฐบาลของประเทศมหาอำนาจอันดับที่ 1 ของโลก และทางรัฐบาลก็สามารถขึ้นภาษีประชาชนเพื่อหาเงินมาจ่ายคุณคืนได้เสมอ
2
ด้วยความต้องการซื้อขายพันธบัตรนี้ที่มีสูง จึงทำให้มีการสร้างตลาดพันธบัตรเหล่านี้ให้สามารถนำไปซื้อขายต่อกันได้ ไม่ว่าจะเป็นตลาด Futures หรือการเทรดกับธนาคารต่างๆ
🔼 คราวนี้ลองนึกภาพดูว่า #หากความต้องการซื้อพันธบัตรรัฐบาลตอนนี้มีสูง คนต้องการจะนำเงินมาฝากไว้กับแหล่งฝากเงินที่ทุกคนคิดว่าปลอดภัยที่สุดในโลก ราคาที่เริ่มออกมาขายอาจจะขยับขึ้นจาก 1,000 บาทขึ้นมาเป็น 1,200 บาท
3
นั้นหมายความว่า หากเราต้องซื้อตั๋วพันธบัตรใบนี้ที่ราคา 1,200 บาท และจะได้ดอกเบี้ยคืนปีละ 20 บาทเท่าเดิม (เพราะจำนวนดอกเบี้ยนี้มันกำหนดไว้ตั้งแต่ออกตํ่วแล้ว) ก็แปลว่าเราจะได้รับผลตอบแทนที่ 20/1,200 = 1.67% ต่อปีเท่านั้น หรือ #ผลตอบแทนลดลงจากตอนแรกนั้นเอง
2
🔽 ในทางกลับกัน #หากว่าความต้องการขายพันธบัตรรัฐบาลตอนนี้มีสูง คนต้องการจะถอนเงินออกมาใช้ทำอย่างอื่นต่อ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือเก็งกำไรก็ตาม แรงเทขายอาจทำให้ราคาตั๋ว 1,000 บาทที่เริ่มออกมาขาย อาจจะขยับลงมาเหลือเป็น 800 บาท
1
นั้นหมายความว่า คนที่รับซื้อตั๋วพันธบัตรใบนี้ที่ราคา 800 บาท และจะได้ดอกเบี้ยคืนปีละ 20 บาทเท่าเดิมนั้น จะได้รับผลตอบแทนที่ 20/800 = 2.5% ต่อปี หรือ #ได้ผลตอบแทนสูงกว่าตอนแรกนั้นเอง
#ผลตอบที่ที่เราคำนวนให้ดูนี้คือ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐที่ได้พุ่งขึ้นมาแตะ 1.6% ในอาทิตย์ที่ผ่านมาเพราะแรงเทขายของนักลงทุนนั้นเอง
📌 ในเมื่อเรารู้แล้วว่าทำไมผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐถึงขยับขึ้นลงได้ แล้วทำไมในอาทิตย์ที่ผ่านมานักลงทุนถึงเทขายพันธบัตรออกมาและดันผลตอบแทนให้สูงขึ้น ?
1
หลักๆแล้วเหตุผลที่นักลงทุนแห่กันเทขายพันธบัตรระยะยาวนั้นก็เพราะว่า
2
1️⃣ #ค่าเงินเฟ้อกำลังจะมา และมันจะเฟ้อสูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรเสียอีก
4
ตอนนี้การที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังจะฟื้นตัวแล้ว แต่ทาง FED ยังอาจจะอัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาเรื่อยๆ สองปัจจัยนี้รวมกันจะยิ่งเร่งให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐพุ่งขึ้นสูงมาก
5
ที่ตลาดคุยกันตอนนี้คืออัตราเงินเฟ้อของสหรัฐน่าจะพุ่งสูงกว่า 2% แน่ๆ และอาจจะสูงกว่า 3% ไปซักพักก็เป็นได้ !
1
ถ้าคุณเป็นผู้ถือพันธบัตรระยะยาวที่ได้ผลตอบแทนที่เพียง 1% คุณจะยอมถือพันธบัตรต่อไปไหมครับ ?
เพราะมันแปลว่าเงินที่คุณได้ดอกเบี้ยมานั้นยังไม่พอทดแทนกับค่าเงินเฟ้อที่เสียไปได้เลย เมื่อสิ้นสุดครบกำหมดพันธบัตร แปลว่าคุณจะมีเงินเหลือน้อยกว่ามูลค่าที่แท้จริงของเงินในอนาคตเสียอีก
1
เหตุผลนี้ทำให้นักลงทุนแห่ขายพันธบัตร ถึงแม้ว่าหลายคนจะยังไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเงินจะไม่ด้อยค่าลงเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ
2
2️⃣ ทำไมเงินไม่ไหลเข้าตลาดหุ้น ? ทำไมถึงไหลออก ?
1
จุดนี้เป็นจุดที่หลายคนยังแน่ใจและกำลังพยายามหาคำตอบอยู่ แต่การที่ค่าเงินสหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างมากในอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นหลักฐานว่า #นักลงทุนเลือกที่จะถือเงินสดไว้ก่อน
3
โดยปกติแล้วหากเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัวและค่าเงินเฟ้อจะสูง ส่วนมากนักลงทุนจะรีบลงทุนในหุ้นไว้ก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นที่ทีกำไรเติบโตตามเศรษฐกิจ หรือกลุ่มหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) นั้นเอง
ในครั้งนี้เราก็พอจะเห็นแรงซื้อหุ้น Cyclical บ้างจน Dow Jones แตะ All Time High ไป แต่สุดท้ายก็ปรับตัวลงมาใหม่ เพราะโดยรวมแล้วนักลงทุนยังเลือกที่จะถือเงินสด
1
3️⃣ นักลงทุนเทขายพันธบัตรระยาวเพราะอุปทานตั๋วกำลังจะเพิ่มขึ้น
3
เพราะว่าทางรัฐบาลกำลังอัดฉีดเงินช่วยเหลือเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เงินช่วยเหลือ 1.9 ล้านเหรียญที่เพิ่งถูกอนุมัติไปหมาดๆเมื่อคินนี้ จะทำให้ทางรัฐบาลกำลังจะต้องมีการออกพันธบัตร หรือ Bonds ชุดใหม่ออกมาเพื่อกู้ยืมเงินอีกแน่
2
การที่รัฐบาลกำลังจะออกพันธบัตรชุดใหม่ออกมานั้น แปลว่าตลาด Bonds กำลังจะมีอุปทาน หรือ Supply ที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนชิงกันเทขายพันธบัตรตัดหน้ากันก่อน เป็นการเก็งกำไรว่าราคาตั๋วจะลดลง (และเมื่อราคาตั๋วลดลง ผลตอบแทนต่อตั๋วก็ดีดสูงขึ้นอย่างที่ได้อธิบายไป ก็ค่อยกลับเข้าไปช้อนซื้อใหม่)
1
4️⃣ ตลาดมั่นใจเลยว่าทาง FED จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วกว่ากำหนด
2
ตอนนี้ถึงแม้ทาง FED จะออกมาย้ำว่าพวกเขาจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0% ไปอีกอย่างน้อย 2 ปี แต่ตลาดมองว่าด้วยวัคซีนที่ออกมา และจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสที่ลดลงทุกวันของสหรัฐ น่าจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐดีขึ้นเรื่อยๆมากกว่าที่คาด จน FED คงต้องเปลี่ยนใจขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนด เพื่อรักษาระดับค่าเงินเฟ้อไว้
2
หากว่า FED ทำเช่นนั้นจริงๆ แปลว่าจะมีความต้องการซื้อพันธบัตรสหรัฐมากขึ้นในอนาคต และอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรจะสูงขึ้นด้วย นักลงทุนจึงเลือกที่จะเทขายพันธบัตรก่อนและรอไปช้อนซื้อเมื่อ FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ย
1
#และนี่ก็คือเหตุผลทั้งหมด ที่ทำให้อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์ที่ตลาด Bond ผันผวนที่สุดในรอบเกือบ 10 ปีเลยทีเดียว
📌 คราวนี้ทำไม่เมื่อทำไม Bond Yield สูงขึ้น จึงทำให้หุ้น Technolgy และ Growth โดยเทขาย ?
ข้อนี้นั้นมีเหตุผลที่ชัดเจนอยู่ 2 อย่าง
1
1️⃣ อย่างแรกเลยคือเมื่อตลาดคาดว่าเงินเฟ้อกำลังจะสูงขึ้น #แปลว่าเงินในอนาคตกำลังจะมีมูลค่าน้อยลงในปัจจุบัน
1
เงิน 1,000 เหรียญในอีก 10 ปีข้างหน้าที่อัตราเงินเฟื้อ 3% จะมีมูลค่าน้อยกว่า 1,000 เหรียญในอีก 10 ปีข้างหน้าที่อัตราเงินเฟื้อ 1%
1
ยิ่งอัตราเงินเฟ้อสูงก็จะยิ่งทำให้กำไรในอนาคตของบริษัท หรือเงินที่กำลังจะไหลเข้ามานั้นมีมูลค่าน้อยลงกว่าเดิมที่เคยคากการณ์ไว้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า
5
และบริษัทไหนบ้างที่กำลังแขวนชีวิตไว้กับกำไรในอนาคต ?
คำตอบก็คือเหล่าบริษัท Techonology หรือเหล่าหุ้น Growth ทั้งหลายนั้นเอง
4
ในเมื่อตลาดมองว่าค่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้น #กำไรในอนาคตจึงมีความหมายน้อยลงในวันนี้ เมื่อเทียบกับวันก่อน ทำให้ Valuation ของเหล่าบริษัท Growth จึงตกฮวบลงมา และโดนเทขาย
1
2️⃣ เพราะกลุ่มหุ้น Techonology และ Growth มีเงินไหลเข้ามามากในปีที่ผ่านมา จึงทำให้หลายคนคิดว่า #อาจมีมูลค่าสูงไปแล้ว
ก่อนที่จะเกิดการเทขายเกิดขึ้นในอาทิตย์นี้ นักลงทุนจำนวนมากก็เล็งที่จะขายหุ้น Growth เหล่านี้ออกอยู่แล้ว ถ้าเกิดมีสัญญาณที่ไม่ได้ขึ้นมา เพราะหลายฝ่ายก็มองว่าราคาหุ้นเหล่านี้กำลังแพงหรืออาจจะ Over Value เกินไปแล้ว
พอเริ่มมีการเทขายเพราะค่าเงินกำลังจะเฟ้อสูงขึ้น นักลงทุนก็อาศัยจังหวะนี้ในการขายเก็บกำไรเข้ามาก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น
1
📌 และนี่ก็คือบทสรุปว่าทำไม Bond Yield ที่สูงขึ้นจึงทำให้หุ้น Tech และ Growth โดยเทขาย ? และทำไมนักลงทุนถึงแห่กันถอนเงินออกจากพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐออกกัน
สัญญาณเหล่านี้สามารถมองได้สองมุมจริงๆ ถึงแม้ตลาดในอาทิตย์ที่ผ่านมาจะเป็นการที่นักลงทุนกลัวและเลือกที่จะเก็บเงินสดไว้ก่อน
1
แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็มองว่าการเทขายพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวออกไปน่าจะยิ่งทำให้มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นมากขึ้น หลังจากที่การ "Panic Sell" หรือการขายเพราะความตกใจจบลงไปหมดแล้ว
เราคงต้องคิดตามดูกันต่อไป เพราะสถานการณ์ดอกเบี้ยและระดับราคาหุ้นในตลาดในเวลานี้นั้น ต้องบอกเลยว่าไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่เป็นแบบนี้มาก่อน เรากำลังเข้าสู่โหมดที่ #ตำราตลาดหุ้นเก่าๆอาจใช้ไม่ได้ผลจริงๆ
1
คงต้องวางแผนในการแบ่งสัดส่วนเงินในการลงทุนไว้ให้ดี ติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด และคอยวิเคราะห์ทุกๆแง่มุมกันต่อไป
✅ ฝากกด #Like และ #Share ให้แอดด้วยถ้าข้อมูลนี้มีประโยชน์กับทุกท่านนะครับ 🙏😊
#ทันโลกกับTraderKP
โฆษณา