2 มี.ค. 2021 เวลา 04:30 • กีฬา
ต้องรอด : โศกนาฏกรรมทีมรักบี้อุรุกวัยที่เอาชีวิตรอดด้วยการกินกันเอง | MAIN STAND
"ผมต้องเอาชีวิตรอดให้ได้" โรแบร์โต คาเนสซา หนึ่งในผู้โดยสารในเที่ยวบิน 571 กล่าว
1
การรอดชีวิตจากเครื่องบินตกถือเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ แต่การเอาตัวรอดจากเครื่องบินตกบนเทือกเขาอันหนาวเหน็บ ที่ไร้ซึ่งอาหาร และเสื้อผ้าที่เหมาะสม นั้นยากยิ่งกว่า
2
พบกับเรื่องราวของทีมรักบี้อุรุกวัย กับภารกิจ "ต้องรอด" ที่ทำให้พวกเขาต้องทำในสิ่งที่ไม่มีทางเลือก ด้วยการกินเนื้อมนุษย์
4
ติดตามเรื่องราวของพวกเขาได้ที่นี่
1
โศกนาฏกรรมที่ไม่ทันตั้งตัว
1
มันดูเหมือนเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งของพวกเขา เมื่อ โอลด์ คริสเตียน คลับ สโมสรรักบี้จากประเทศอุรุกวัย ต้องเดินทางไปแข่งรักบี้ที่ประเทศชิลี ทำให้ ดาเนียล ฮวน ประธานสโมสรอำนวยความสะดวกด้วยการเช่าเครื่องบินเหมาลำจากกองทัพอากาศอุรุกวัย เป็นพาหนะรับส่ง
1
Photo : alchetron.com
เที่ยวบิน 571 คือชื่อของเที่ยวบินนั้น มันเป็นเที่ยวบินที่มีผู้โดยสาร 40 คนและลูกเรืออีก 5 คน ที่นอกจากทีมรักบี้ ยังมีเพื่อน และครอบครัวที่ตามมาเชียร์ โดยออกเดินทางจากสนามบินมอนเตวิเดโอ เมืองหลวงของอุรุกวัยในวันที่ 12 ตุลาคม 1972 และมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่กรุงซานติอาโก ประเทศชิลี
1
อย่างไรก็ดี ด้วยสภาพอากาศที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก โดยเฉพาะพายุหิมะบนเทือกเขาแอนดีสที่ต้องบินผ่าน ทำให้กัปตันต้องนำเครื่องลงจอดชั่วคราวและพักค้างคืนที่เมนโดซา ประเทศอาร์เจนตินา เพื่อความปลอดภัย
Photo : wikipedia.org
บ่ายของวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม เครื่องบินก็ทะยานจากสนามบินอีกครั้ง แต่เนื่องจากผู้โดยสารที่เต็มลำ ทำให้เครื่องบินไม่สามารถบินได้สูงกว่า 22,500 ฟุต (ราว 6,900 เมตร) จึงต้องใช้เส้นทางทางใต้ที่ปลอดภัยกว่า
1
อย่างไรก็ดี ด้วยสภาพอากาศที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะหมอกที่ลงจัดจนบดบังทัศนวิสัย ทำให้กัปตันเข้าใจผิดว่า พวกเขากำลังเข้าใกล้เมือง Curico ของชิลี ทั้งที่จริงมันยังอยู่ห่างออกไปถึง 70 กิโลเมตร
การคิดเช่นนั้น ทำให้นักบิน ลดระดับการบินเพื่อลงจอด และทำให้พวกเขาเจอกับภูเขาสูงตระหง่านที่อยู่ตรงหน้า นักบินพยายามเชิดหัวเครื่องขึ้น แต่ไม่ทันการณ์ เครื่องบินกระแทกเข้ากับภูเขาจนทำให้ส่วนหางหลุด และดูดผู้โดยสารกับลูกเรือออกไปทางนั้น
"ผมกระเด็นไปข้างหน้าจากพลังอันมหาศาล และได้รับแรงกระแทกอย่างแรงที่หัว ผมคิดว่าผมต้องตายแน่ๆ" โรแบร์โต คาเนสซา หนึ่งในผู้โดยสารในเที่ยวบินลำนั้นกล่าวในหนังสือของเขา
5
"ผมจับเก้าอี้ไว้แน่น และท่อง Hail Mary บางคนร้องไห้และพูดว่า 'พระเจ้า ช่วยลูกด้วย ช่วยลูกด้วย' มันเป็นฝันร้ายกว่าที่จะจินตนาการได้ เด็กอีกคนร้องว่า ผมมองไม่เห็น ตอนที่เขาขยับหัว ผมเห็นสมองของเขา และเศษเหล็กไปอยู่ที่ท้องของเขา"
10
Photo : www.jeffreygibbs.org
เครื่องบินยังบินต่อไปได้ แต่แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นปีกของเครื่องบินก็ไปกระแทกกับภูเขา จนใบพัดหลุดออกมาตัดกลางเครื่องบินและเกิดเป็นรู พร้อมกับดูดผู้โดยสารอีกสองคนออกไปนอกเครื่องบิน
2
หลังจากนั้นมันก็สูญเสียการควบคุมอย่างสมบูรณ์แบบ และทำให้ส่วนหน้าของเครื่องบินไถลลงไปตามความลาดเอียงของภูเขาด้วยความเร็วถึง 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนที่จะชนเข้ากับกองหิมะจนหยุดนิ่ง พร้อมคร่าชีวิตนักบินและผู้ช่วยนักบินในห้องคนขับ
Photo : www.baaa-acro.com
หลังจากเครื่องบินแน่นิ่ง ยังเหลือผู้รอดชีวิตอยู่ 33 ราย แต่ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้าย เมื่อจุดที่พวกเขาอยู่เป็นเทือกเขาที่สูงชันและปกคลุมไปด้วยหิมะ และที่สำคัญพวกเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนของชิลี
1
ความหวังที่ลางเลือน
2
ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเหน็บบนภูเขาสูง และการบาดเจ็บจากเครื่องบินตก ทำให้คืนแรกมีผู้ต้องสังเวยชีวิตไปอีก 5 คน และอีก 6 คนตามไปหลังจากวันนั้น
3
Photo : www.airlive.net
ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็พยายามเอาตัวรอด พวกเขานำสิ่งที่เหลืออยู่มาดัดแปลง เช่นนำชิ้นส่วนของเครื่องบิน กระเป๋า และเศษซากอื่น ๆ มาทำเป็นเพิงพักพิง เอาเบาะรองนั่งมาทำเป็นรองเท้าลุยหิมะ หรือเอาที่บังแดดจากห้องนักบินและสายชั้นในมาทำเป็นแว่นตากันหิมะ
3
ผู้รอดชีวิตยังคิดหาวิธีละลายหิมะเพื่อทำเป็นน้ำดื่ม และพยายามใช้ลิปสติก เขียนอักษร SOS ที่ลำเครื่องบิน เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เอาเข้าจริงพวกเขาไม่มีลิปสติกมากพอที่จะทำแบบนั้น
นอกจากนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่พวกเขาต้องดำรงชีวิตภายใต้อุณหภูมิ -30 องศาเซลเซียส โดยที่ไม่มีทั้งยาหรือเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศเช่นนี้
2
Photo : 9gag.com
โชคยังดีที่ในซากเครื่องบิน ผู้รอดชีวิตบังเอิญเจอกับวิทยุที่ยังใช้งานได้ และทำให้รู้ว่าในตอนนี้ ทีมกู้ภัยจากอาร์เจนตินา ชิลี และอุรุกวัย กำลังพยายามค้นหาพวกเขาอย่างเต็มความสามารถ นับตั้งแต่วันแรกที่เครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์
1
แต่ข่าวดีก็อยู่กับพวกเขาได้ไม่นาน เนื่องด้วยสภาพอากาศที่เลวร้าย และขนาดของเทือกเขาที่กว้างเกินไป ทำให้การค้นหาต้องยุติลงในวันที่ 11
3
และมันก็ทำให้ความหวังในการรอดชีวิตของพวกเขาต้องลางเลือน เพราะนอกจากการต้องเอาตัวรอดภายใต้สภาพอากาศที่หนาวจัดแล้ว พวกเขายังประสบปัญหาขาดแคลนอาหารอย่างหนัก
3
ในช่วงแรกกลุ่มผู้รอดชีวิตมีเพียงช็อคโกแลต 8 แท่ง หอยแมลงภู่ 1 กระป๋อง แยมอีก 3 ขวด ถั่วและผลไม้แห้ง อมยิ้มไม่กี่แท่ง และไวน์อีก 1 ขวดเท่านั้น
1
แม้จะพยายามยืดอายุของอาหารให้นานที่สุด เช่นผู้ชายหนึ่งคนจะได้กินถั่ว 1 เม็ดใน 3 วัน แต่ด้วยจำนวนคนที่ไม่น้อย ก็ทำให้อาหารของพวกเขาร่อยหรออย่างรวดเร็ว และหมดเกลี้ยงภายในหนึ่งสัปดาห์
1
Photo : www.jeffreygibbs.org
"ในความสูงระดับนั้น ร่างการต้องการแคลอรีเยอะมาก มันจึงทำให้พวกเราหิวโหยอย่างหนัก ไปพร้อมกับความสิ้นหวังในการหาอาหาร" นันโด แปร์ราโด ที่มีอายุเพียง 22 ปีในตอนนั้นเขียนไว้ในหนังสือของเขา
2
และความหิวโหย ก็ทำให้พวกเขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำที่สุด
2
กินเพื่อรอด
7
ท่ามกลางความหวังอันลางเลือน และการขาดแคลนอาหาร ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้าย ผู้รอดชีวิต ก็เหลือบไปเห็นศพของผู้เสียชีวิต ที่สภาพยังดีอยู่ จากความเย็นภูเขาหิมะ ที่ช่วยรักษาความสดเอาไว้
1
"เป้าหมายร่วมกันของพวกเราคือเอาชีวิตรอด แต่เราขาดแคลนอาหาร" โรแบร์โต คาร์เนสซา ย้อนความทรงจำในหนังสือของเขาเมื่อปี 2016
3
"เราอยู่มานาน แต่ตั้งแต่สิ่งที่เราเจอบนเครื่องบินหมดลง เราไม่เจอพืชหรือสัตว์อะไรเลย"
2
"เรารู้คำตอบ แต่มันเลวร้ายเกินไปที่จะคิด ศพเพื่อนของเราและเพื่อนร่วมทีม ถูกเก็บไว้ด้วยหิมะและน้ำแข็ง ที่ทำให้ยังสด การได้รับโปรตีนน่าจะช่วยให้เรารอดได้ แต่เราควรทำอย่างนั้นหรือ?"
3
Photo : www.lankleyweb.com
พวกเขาทุกคนต่างเป็นคาทอลิค จึงรู้สึกกังวลอย่างมากในเรื่องศีลธรรมหากกินร่างผู้เสียชีวิต แถมคนตายก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะต่างเป็นเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนร่วมทีมของพวกเขาทั้งสิ้น
3
"เราสงสัยว่าเราจะบ้าถึงขนาดคิดเรื่องอย่างนี้หรือเปล่า เราจะกลายเป็นสัตว์ป่าดุร้ายหรือเปล่า หรือมันเป็นสิ่งเดียวที่ต้องทำ ?" คาเนสซากล่าวต่อ
3
"ผมกำลังเผชิญกับความกดดันจากความกลัวอย่างแท้จริง"
3
แต่ความหิวโหยก็เอาชนะ พวกเขาตัดสินใจว่าจะกินเนื้อของผู้เสียชีวิต เพราะมันเป็นทางเดียวที่ทำให้พวกเขารอดชีวิตไปจากความเลวร้ายนี้ได้ นอกจากนี้ พวกเขายังได้ทำข้อตกลงร่วมกันว่าถ้าหากใครเสียชีวิตไปก็สามารถกินเนื้อของคนนั้นได้
5
คาเนสซา ที่ตอนนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์และอายุเพียง 19 ปี กลายเป็นผู้นำในครั้งนี้ เขาใช้เศษแก้วจากกระจกที่แตก ตัดร่างผู้เสียชีวิตออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และนำไปวางไว้บนแผ่นโลหะ
2
"ผมไม่เคยลืมการผ่าครั้งแรกที่เกิดขึ้น 9 วันหลังเครื่องบินตก" คาเนสซากล่าวในหนังสือของเขา
3
"เราวางเนื้อแช่แข็งบาง ๆ ไว้บนแผ่นโลหะ ในที่สุดพวกเราก็กินเนื้อนั้นตอนที่เราทนไม่ไหว"
4
"เราแต่ละคนต่างตัดสินใจในช่วงเวลาของตัวเอง และพอเราตัดสินใจไปแล้ว มันหันหลังกลับไม่ได้แล้ว”
5
Photo : drcanessa.com
ศพของนักบินและผู้ช่วยนักบิน คือรายแรก ๆ ที่พวกเขานำมากิน เนื่องจากผู้รอดชีวิตไม่รู้จักพวกเขาเป็นการส่วนตัว แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะกินเนื้อผู้เสียชีวิต ผู้หญิงคนหนึ่งปฏิเสธที่จะทำแบบนี้ ซึ่งทำให้น้ำหนักของเธอลดลงจาก 60 กิโลกรัม เหลือเพียง 25 กิโลกรัม
9
อย่างไรก็ดี การมีแหล่งอาหารเป็นแค่การต่อชีวิตของพวกเขาเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดพายุหิมะพัดถล่มลำเครื่องบินที่พวกเขาใช้เป็นที่หลับนอน และทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 8 ราย (แน่นอนว่าผู้เสียชีวิตจะถูกนำมาใช้เป็นอาหารตามที่ตกลงไว้)
8
อุบัติเหตุครั้งนั้น ทำให้ผู้รอดชีวิตรู้ตัวว่าการรอความช่วยเหลืออยู่ที่นี่ ไม่น่าจะทำให้พวกเขารอดไปได้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีหายนะอะไรรออยู่ตรงหน้าอีก พวกเขาอาจจะเจอหิมะถล่ม หรือป่วยหนักจนรักษาไม่ได้ จึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้พ้นจากสถานการณ์นี้
5
ออกไปสู้หรืออยู่เพื่อตาย
8
ผู้รอดชีวิตคุยกันว่าการข้ามภูเขาไปขอความช่วยเหลือน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะนอกจากจะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงส่วนไหนของชิลีแล้ว หากออกไปแล้วเจอกับพายุหิมะก็ไม่ต่างกับการฆ่าตัวตาย
4
Photo : www.inprnt.com
อย่างไรก็ดี การอยู่ที่เดิมทำให้ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แถมยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม เมื่อมันทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผู้ป่วย ก็มีจำนวนที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีทั้งบาดเจ็บจากหิมะถล่มครั้งก่อน ขาดสารอาหาร ไปจนถึงป่วยจากการอยู่ที่ในสูง
2
ด้วยเหตุนี้ทำให้วันที่ 12 ธันวาคมหรือ 2 เดือนหลังเครื่องบินตก คาเนสซา และ แปร์ราโด ตัดสินใจว่าพวกเขาสองคนจะออกไปหาคนมาช่วย แม้ว่าจะพวกเขาไม่มีแผนที่ อาหาร หรือประสบการณ์ในการปีนเขามาก่อนก็ตาม
3
พวกเขาสองคนมุ่งหน้าไปทางตะวันตกจากจุดที่เครื่องบินตก ในเส้นทางที่ยากลำบาก และอากาศที่เย็นจัดในฤดูหนาว และในวันที่ 9 ของการเดินทาง พวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางไปที่หุบเขา
3
มันกลายเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เมื่อที่แห่งนั้นเขาได้พบกับคนเลี้ยงสัตว์ที่บังเอิญผ่านมา แต่อุปสรรคก็คือพวกเขาอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำ และไม่ว่าจะพูดอย่างไร อีกฝั่งก็ไม่ได้ยิน จนท้ายที่สุดคนเลี้ยงสัตว์ ส่งสัญญาณให้พวกเขารออยู่ตรงนี้ก่อนและจะกลับมาในวันรุ่งขึ้น
6
ผู้รอดชีวิตทั้งสองจึงได้แต่รอ และได้เจอกับคนเลี้ยงสัตว์จริง ๆ ในวันต่อมา ครั้งนี้พวกเขากลับมาพร้อมกับกระดาษและดินสอ ก่อนจะเอามันพันไว้กับก้อนหินแล้วขว้างมาทางพวกเขา
7
เมื่อ คาเนสซา และ ปาร์ราโด ได้รับดินสอและกระดาษ พวกเขาจึงเขียนกลับไปว่าพวกเขาคือผู้รอดชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกบนภูเขา และมีคนอีก 14 คนที่กำลังรอความช่วยเหลือแล้วขว้างกลับไป
6
จากนั้นในวันที่ 22 ธันวาคม เฮลิค็อปเตอร์ของกองทัพชิลี 3 ลำก็ระดมการค้นหา และหลังจาก 72 วันจากเหตุเครื่องบินตก พวกเขาก็เจอกับผู้รอดชีวิตทั้ง 16 คน ซึ่งถูกนำออกมาจากภูเขาในสภาพที่กระดูกหัก หิมะกัด ไข้ที่เกิดจากความสูง ขาดน้ำ และขาดสารอาหาร
9
Photo : www.airspacemag.com
การเอาชีวิตรอดจากเหตุเครื่องบินตกกว่า 2 เดือนบนภูเขาหิมะ การเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะมันแทบเป็นไปไม่ได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ทำให้เรื่องราวของพวกเขากลายเป็นที่โด่งดังในชื่อ "ปาฏิหาริย์แห่งแอนดีส"
6
เรื่องราวของพวกเขาถูกนำไปเขียนเป็นหนังสือหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็น ไม่ว่าจะเป็น Survive! หรือ Alive: The Story of the Andes Survivors หรือ I Had to Survive: How a Plane Crash in the Andes Inspired My Calling to Save Lives ที่เขียนโดย คาเนสซา เอง แถมในปี 1993 มันยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์ฮอลลีวูดในชื่อ Alive ที่นำแสดงโดย อีธาน ฮอว์ก
8
อย่างไรก็ดี แม้จะรอดมาได้ แต่สำหรับผู้รอดชีวิตพวกเขามีปัญหาทางจิตใจ จากความรู้สึกผิดที่กินเนื้อมนุษย์ แม้ว่านักบวชคาทอลิค จะยืนยันว่าสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ผิดบาป เพราะมันเป็นไม่กี่ทางเลือกที่ทำให้พวกเขามีชีวิตรอดก็ตาม
4
Photo : america.cgtn.com
"ผมบอกเธอว่า 'แม่ครับ เรากินเพื่อนของเราที่ตายไป' และเธอก็บอกว่า 'มันโอเค ไม่เป็นไรลูกรัก ไม่เป็นไร'" คาเนสซากล่าวกับ People
1
คาเนสซาบอกว่า เขากังวลว่าครอบครัวของผู้เสียชีวิต จะรู้สึกอย่างไร ทำให้ทันทีที่กลับถึงบ้าน เขาตัดสินใจไปหาครอบครัวของพวกเขาและบอกความจริง ซึ่งโชคดีที่ทุกคนเข้าใจเขา และทำให้เขาผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้
1
"ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นผู้คนเปิดใจและให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี พวกเขาเข้าใจว่าเราต้องทำบางอย่างที่ต้องทำ ดังนั้นทุกอย่างมันจึงราบรื่น" คาเนสซากล่าวต่อ
1
ปัจจุบัน คาเนสซา ทำอาชีพเป็นแพทย์โรคหัวใจในเด็ก ในขณะที่ ปาร์ราโด กลายเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ และคอยให้ความช่วยเหลือกับคนมีปัญหาบอบช้ำทางจิตใจ พวกเขาทั้งคู่ยังคงมาร่วมพิธีรำลึกผู้เสียชีวิตทุกวันที่ 22 ธันวาคมของทุกปี
3
Photo : cardiovascularnews.com
สิ่งที่เกิดขึ้นกับกับพวกเขา คือความไม่ยอมแพ้ มันแสดงให้เห็นว่า แม้ร่างกายจะอ่อนแอแค่ไหน แต่ตราบที่ใจยังสู้ มนุษย์ ก็พยายามหาหนทางที่ทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดเสมอ
2
"ใครที่จะรอด ? ไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด หรือสมองดีที่สุด แต่คนที่จะรอดคือคนที่รู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ได้มากที่สุด และสิ่งนั้นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเอาตัวรอดได้" คาเนสซากล่าวกับ National Geographic
2
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเป้าหมายในชีวิต มันทำให้มนุษย์มีแรงที่จะสู้ต่อ ซึ่งสำหรับ คาเนสซา คือครอบครัว ที่เป็นเหมือนน้ำหล่อเลี้ยงใจ ให้เขามีความหวังว่าต้อง "กลับบ้าน" ให้ได้ และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายังหายใจ
2
"ในสถานการณ์เช่นนี้ มันไม่ใช่ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร แต่ 'ทำไม' คุณถึงอยากมีชีวิตต่อไป" คาเนสซา ทิ้งท้าย
2
บทความโดย มฤคย์ ตันนิยม
1
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา