9 มี.ค. 2021 เวลา 12:45 • ปรัชญา
#ความโหดร้ายของ ราพันเซล
ชีวิตคุณไม่ได้ดีขึ้น เพราะรอให้เรื่องบังเอิญเข้ามา แต่มันดีขึ้นได้ เพราะคุณกล้าเปลี่ยนแปลง อ่านเรื่องราวต่อไปนี้แล้วคุณจะเข้าใจ
*****
นานมาแล้ว ชายหญิงคู่หนึ่งมีความปราถนาอยากที่จะมีลูก ซึ่งไม่นานทั้งสองก็สมหวังดังใจ ทั้งสองอาศัยอยู่ในบ้านเล็ก ๆ ที่ด้านหลังบ้านเป็นสวนที่สวยงามที่สุด ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรนานาพันธุ์
แต่อย่างไรก็ตามสวนสมุนไพรนั้นก็ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูง จนทำให้ไม่มีใครเลยที่ ย่ามกลายเข้าไปใกล้สวนแห่งนั้นได้ เนื่องจากเป็นบ้านของแม่มดที่มี พลังอำนาจมาก จนเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนมากมาย
กระทั้งวันหนึ่ง ในระหว่างที่ หญิงสาวยืนชมวิวทิวทัศน์อยู่ที่ระเบียงชั้นสองของบ้าน เธอก็สังเกตเห็นหัวผักกาด ที่สวยงาม จนทำให้เธอปราถนาที่จะกินมัน อีกทั้งความปรารถนานี้ ยังเพิ่มขึ้นทุกวัน และเมื่อเธอรู้ตัวอีกที ตัวของเธอก็ เริ่มซีดและดูน่าสังเวช ราวกับเป็นโรคร้าย
สามีที่ได้เห็นเช่นนั้น เขาก็ตกใจเป็นอย่างมาก เขาจึงถามภรรยาของเขาว่า “คุณเป็นโรคอะไรรึเปล่าที่รัก หรือเป็นเพราะอาการแพ้ท้องรึเปล่า”
“ถ้าฉันไม่ได้กินหัวผักกาด ที่อยู่ในสวนสมุนไพรของแม่มดนั้น ฉันจะต้องตายแน่ ๆ เลยคุณ” ภรรยาตอบด้วยสีหน้าที่ สีดเผือก
ด้วยความรัก และความเป็นห่วงภรรยา ตอนพลบค่ำเขาจึงรวบรวมความกล้าแล้วปีน ข้ามกำแพงเข้าไปในสวนของแม่มด จากนั้นก็รีบเด็ดหัวผักกาด ออกมาหนึ่งหัว แล้วนำเอาไปทำเป็นสลัดให้ภรรยาของเขาได้ทาน
ทันทีที่ได้มา เธอก็กินมันอย่างตะกละตะกลาม ซึ่งรสชาติของหัวผักกาดนั้นสำหรับเธอแล้ว เป็นรสชาติที่เหมือนเฝ้าฝันมาทั้งชีวิต ซึ่งเมื่อเธอกินจนหมดร่างกายของเธอก็ดีขึ้นทันตาเห็น
แต่ทว่า ในวันรุ่งขึ้น เธอก็โหยหาหัวผักกาด มากขึ้นไปอีกเป็นสามเท่าจากเมื่อวานนี้ และเพื่อให้ภรรยา และลูกในท้องแข็งแรง สามีจึงต้องลงไปในสวนสมุนไพรนั้นอีกครั้ง
ซึ่งในเย็นวันนั้น หลังจากที่แอบย่องเข้าไปในสวน เขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เย็นยะเยือก และนั้นก็ทำให้เข้ารวบรวมสติได้มากพอที่จะสังเกตเห็นว่า แม่มดยืนอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว ณ เวลานี้
แม่มดที่โกรธเกลี้ยว จึงพูดกับชายหัวขโมยว่า “เธอกล้าดียังไงมาขโมยของในสวนของฉัน”
“ภรรยาของฉันต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะอาการแพ้ท้อง และความอยากที่จะทานหัวผักกาดนี้มากจนกระทั่งทำให้เธออาจตายได้ถ้าไม่ได้ทานมันเข้าไป ฉะนั้น ได้โปรดเถอะ ฉันขอความเมตตา ฉันทำไปเพราะความจำเป็นจริง ๆ ฉันยอมทุกอย่างเลย แต่ขอหัวผักกาดนี้ให้ฉันสักหน่อยเถอะ”
แม่มดจึงค่อย ๆ ลด ความโกรธของเธอลง จากนั้นก็พูดว่า “ถ้าเป็นไปตามที่คุณพูด ฉันจะยอมให้คุณเก็บหัวผักกาดนี้ไปก็ได้ คุณจะเก็บมากเท่าไรก็ได้ ตามแต่ที่คุณต้องการ แต่ฉันมีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียว เมื่อใดก็ตามที่ภรรยาของคุณคลอดเด็กออกมา คุณต้องยกลูกคนนั้นให้กับฉัน แล้วฉันจะนำมาเลี้ยงเป็นลูกของฉันเอง”
ชายหนุ่ม แม้จะต้องฝืนใจ แต่เขาก็ยินยอมที่จะทำตามที่แม่มดต้องการ หลังจากนั้นไม่นานวันคลอดก็มาถึง แม่มดจึงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพวกเขาอย่างกระทันหัน และรับตัวเด็กหญิงแรกเกิดไปในทันที ที่เด็กหลุดพ้นออกมาจากช่องคลอด
เธอตั้งชื่อ เด็กคนนี้ว่า ราพันเซล (มีความหมายว่า หัวผักกาด) ราพันเซลเติบโตเป็นเด็กที่มีรูปโฉมสวยงามและมีเสน่ห์มากราวกับแสงแรกของดวงอาทิตย์ที่เฉิดฉาย แต่ทว่า หลังจาก ราพันเซลอายุได้ 12 ปี
แม่มด ก็ได้พาตัวราพันเซล ไปขังไว้บนยอดของหอคอยที่ปิดทึบ ไม่มีทั้งบันไดหรือประตู ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางป่าลึก ด้วยเหตุที่ แม่มดนั้นห่วงและไม่อยากให้ใครมาพราก หรือทำอะไรลูกของเธอได้ นั้นเอง
และเมื่อใดก็ตาม ที่แม่มดอยากจะเข้าไปด้านในหอคอย เธอก็จะร้องตะโกนว่า “ราพันเซล, ราพันเซล ปล่อยผมของเธอลงมา”
ราพันเซลมีผมยาวสลวยละเอียดราวกับทองปั่น และเมื่อไหร่ที่เธอได้ยินเสียงนี้ของแม่มด เธอก็จะปล่อยผมพันรอบตะขอของหน้าต่างด้านบน จากนั้นผมก็จะทิ้งปลายผมที่ยาวลงไปจนถึงพื้นด้านล่างแล้วแม่มดก็จะเกาะผมนั้นขึ้นไปสู่ด้านบนหอคอย
ชีวิตของราพันเซล เป็นเช่นนี้ต่อไป จนกระทั่งหลังจากนั้น 3 ปี เจ้าชายพระองค์หนึ่ง ก็ได้ บังเอิญ ขี่ม้าผ่านป่า ที่มีหอคอยของ ราพันเซลตั้งอยู่ ซึ่งนั้นจึงทำให้เขาก็ได้ยินเพลง ที่ไพเราะจนถึงขนาดต้องหยุดม้าเพื่อฟัง เสียงนั้น
เจ้าชายที่ตกหลุมรักเสียงนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน เขาจึง พยายามที่จะปืนขึ้นไป แต่ไม่ว่าจะพยายามปีนเท่าไหร่ หรือหาประตูเข้าไปโดยรอบแล้ว เขาก็ต้องพบเข้ากับว่าหอคอยนี้ไม่ทางขึ้นเลย และด้วยความผิดหวัง เจ้าชายจึงต้องเดินทางกลับปราสาทด้วยท่าทางเศร้าโศก
หลังจากนั้นหลายวัน เสียงร้องเพลงที่สุดแสนไพเราะของ ราพันเซล ก็ยังคงดังก้องอยู่ภายในใจของเขาเสมอ ด้วยเหตุนี้ ทุกวัน หลังจากนั้น เจ้าชายจึงออกไปในป่า เพื่อเฝ้าฟังเสียงร้องเพลงของ ราพันเซล
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในระหว่างที่เขายืนฟังเสียงอยู่ด้านหลังต้นไม้ เขาก็ได้สังเกตุเห็น แม่มดคนหนึ่ง ร้องเรียกหญิงสาวบนหอคอยว่า “ราพันเซล, ราพันเซล,ปล่อยผมของเธอลงมา” จากนั้นราพันเซลก็ปล่อยผมเปียของเธอลงมา และ แม่มดก็ปีนขึ้นไปหาเธอ
“ถ้านั่นเป็นทางที่จะขึ้นไปได้ ฉันก็น่าจะลองเสี่ยงดูเช่นกัน” เจ้าชายอุทานกับตัวเอง ในวันถัดมา เจ้าชายจึงปลอมตัวเป็นหญิงแก่ และเฝ้ารอจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดลง เจ้าชายจึงเดินทางไปที่หอคอย และร้องตะโกนว่า “ราพันเซล, ราพันเซล,ปล่อยผมของเธอลงมา”
ราพันเซล ที่ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกภายนอกมากนัก เธอจึงปล่อยผมลงไปแบบไม่ได้มีความกังวล ซึ่งทันทีที่ผมร่วงลงมา เจ้าชายก็ปีนขึ้นไปจนกระทั่งถึงบนยอดหอคอยได้สำเร็จ
ราพันเซล ที่ได้เห็นเจ้าชาย ก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก แต่หลังจากที่เจ้าชายได้ชวนคุย และบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับโลกภายนอก เธอจึงค่อย ๆ หายกลัวเจ้าชายลงไป หลังจากที่ได้พูดคุยและได้ทำความรู้จักกันครู่หนึ่ง
เจ้าชาย ก็ตัดสินใจสารภาพรักกับราพันเซลไปว่า “ราพันเซล ข้าหลงรักในเสียงเพลงของเจ้ามาเนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่ แรกที่ได้ยิน เจ้าจะแต่งงานกับข้าได้หรือไม่”
ราพันเซล ที่แม้จะไม่ได้ทราบอะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกมาก แต่เธอก็ตอบตกลงไปด้วยความเสน่ห์หาในตัวเจ้าชาย หลังจากนั้น ราพันเซล จึงได้ บอกกับเจ้าชายว่า “แต่ในตอนนี้ ฉันคงจะยังไปกับคุณไม่ได้หรอกนะคะ เพราะบนหอคอยนี้มีทางขึ้นลงเพียงแค่จากผมของฉันเท่านั้น
ฉันจึงไม่รู้ว่า ฉันจะลงจากหอคอยนี้ได้อย่างไร แต่ถ้าคุณมาหาฉันทุกวัน แล้วนำผ้าไหมติดตัวมาด้วย ฉันอาจจะทักผ้านั้นเป็นบนใดสำหรับการออกไปจากหอคอยนี้ด้วยกันได้นะ จนกว่าจะถึงเวลานั้น คุณควรจะมาหาฉันแค่ในช่วงค่ำ เพื่อไม่ให้แม่ของฉันรู้ถึงเรื่องนี้”
ทุกสิ่งจึงดำเนินไปอย่างราบลื่น โดยที่แม่มดมาหาราพันเซลในตอนเช้า และเจ้าชายมาพร้อมกับเศษผ้าไหม ในตอนที่ฟ้ามืดลง แต่แล้ววันหนึ่ง ราพันเซล ก็เกิดหลุดปากพูดกับแม่ของเธอไปว่า
“ทำไมแม่หนักขึ้นทุกวัน ๆ เลยล่ะคะ หนูเริ่มจะดึงแม่ขึ้นมาไม่ไหวแล้วนะ แม่น่าจะตัวเบาเหมือนกับเจ้าชายรูปงามที่มาหาหนูทุกค่ำคืนสิคะ”
เมื่อหลุดปากออกไปเช่นนั้น ราพันเซล ก็ถึงกับต้องชะงักไปครู่หนึ่ง แต่นั้นก็ไม่ทันเสียแล้ว
ด้วยความโกรธ แม่มด จึงพูด กับ ราพันเซล ว่า “เด็กดื้อ แม่อุสาคิดว่า แม่แยกลูกออกมาจากโลกภายนอกได้แล้ว แต่ลูกก็ยังมาหลอกแม่ได้” ด้วยความโกรธ แม่มดจึงกระชากผมของราพันเซล ไปพันไว้รอบมือข้างซ้ายของเธอ จากนั้นเธอก็ใช้ กรรไกร ตัดผมของ ราพันเซล ออกไป จนเหลือความยาวเพียงแค่บ่าเท่านั้น หลังจากนั้นแม่มด ก็ส่งตัว ราพันเซล ให้ไปอยู่ที่ทะเลทรายแห่งหนึ่ง
ซึ่งตัวของแม่มดเอง ก็ทำการเตรียมแผนการเพื่อรอเวลาที่เจ้าชายจะมาถึง และเมื่อเจ้าชายตะโกนเรียก ซาพันเซล แม่มดก็ใช้ผมเปียที่ยาวสลวยของ ราพันเซล ปล่อยลงไปเพื่อให้เจ้าชายปีนขึ้นมา
แต่หลังจากที่ขึ้นไปถึงด้านบน แทนที่พบ ราพันเซลที่รักของเขา แต่เขากับได้พบหญิงสาว ที่จ้องมอง
เขาด้วยแววตาที่โกรธแค้นหลังจากนั้น แม่มด จึงพูดกับเขาด้วยท่าทางเย้ยหยันว่า “ สุดที่รักของเธอนั้น ไม่ได้อยู่ที่นี้อีกต่อไปแล้ว และฉันก็จะไม่มีวันให้ลูกของฉันได้พบกับเธออีก”
แม่มด พูดพร้อมทั้ง พยายาม ใช้กรรไกร จะไล่แทงตัวของเจ้าชาย ในส่วนเจ้าชายที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เข้าจึง พยายามหนีออกจากหอคอยนั้นอย่างสุดชีวิต จนถึงขนาดที่ต้องกระโดดลงมาจากหอคอย ด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง แม้เขาจะสามารถหนีเอาชีวิตรอดมาได้
แต่เขาก็ต้องสูญเสียดวงตาไปเนื่องจาก ทุ่งหนามใต้หอคอยที่แม่มดได้ปลูกไว้นั้น ทิมเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้างของเจ้าชาย ขณะ ที่เขาตกถึงพื้นนั้นเอง
เขาเดิน โซซัดโซเซ ไปในป่า โดยไม่รู้แม้แต่ทิศทาง และอาศัยกินรากไม้ และผลเบอร์รี่ เพื่อประทั้งชีวิตไปวัน ๆ เจ้าชายที่ส่วนเสียดวงตา และหญิงที่รักไปในวันเดียวกัน เขาจึงทำได้แต่ คร่ำครวญและร้องไห้กับการสูญเสียในครั้งนี้
เขาเดินผ่านป่าไปไกลแสนไกลพร้อมกับความทุกข์เป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งโชคชะตาก็นำพาเขามาจนถึงทะเลทรายแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเพลงที่ฟังคุ้นเคย เขาจึงเดินตามเสียงนั้นไป
ซึ่งหญิงต้นเสียงนั้น แท้จริงแล้วก็คือ ราพันเซล อีกท้ังในตอนนี้เธอก็ได้ให้กำเนิดเด็กชายและเด็กหญิง ฝาแฝด โดยทั้งสามอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ ร่วมกัน ราพันเซล ที่ได้เห็นเจ้าชาย เธอก็จำได้ในทันที่ และเข้าไปสวมกอดชายที่เธอรักอย่างอ่อนโยน
เธอกอดพร้อมทั้งร้องไห้ออกมาเป็นจำนวนมาก และด้วยอิทธิฤทธิจากหัวผักกาดวิเศษ ที่แอบซ้อนในตัวของเธอ น้ำตาที่ใหลออกมาจึงช่วยเยียวยา ดวงตาของเจ้าชายได้
นั้นจึงเป็นเหตุผลให้เจ้าชายสามารถกลับมามองเห็นได้ดังเดิม หลังจากนั้นเจ้าชายก็พา ราพันเซลไปที่ ปราสาทของเขา และพวกเขาก็อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข นับแต่นั้นและตลอดไป
*****
“เพราะโลกใบนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญ”
*****
แปลและเรียบเรียงโดยเรื่องเล่าจากดาวนี้
ที่มา:
ติดตามเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย 😄
โฆษณา