17 มี.ค. 2021 เวลา 12:57 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เมื่อเศรษฐกิจไทยฟื้นไม่ทันเศรษฐกิจโลก
ความท้าทายใหม่ที่ต้องเตรียมรับมือ
3
KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่าแม้ว่าผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทยดูเหมือนจะน้อยกว่าที่คาด
3
แต่ไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้าที่สุดในปีนี้
เศรษฐกิจในประเทศเริ่มกลับสู่ภาวะปกติจากความสำเร็จในการควบคุมการติด
เชื้อ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เศรษฐกิจไทยมีการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวสูง
และยังไม่สามารถเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้
2
ทำให้เศรษฐกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ในปีนี้
2
ต่างจากประเทศใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาที่น่าจะกลับมาเติบโตได้ถึง 6-7% ในปี
2021
3
เกินกว่าการหดตัวในปีก่อน จากความสำเร็จในการเร่งฉีดวัคซีนที่จะทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศกลับมาเปิดได้เร็ว
รวมถึงแรงกระตุ้นทางการคลังขนาดมหึมา ที่จะทำให้ระดับ GDP ของสหรัฐกลับไประดับก่อนโควิด -19 ในอีกไม่นานนัก
1
เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวได้ดีกำลังสร้างแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยเริ่มขยับขึ้นในหลายประเทศ
2
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ดีขึ้น
แต่ในกรณีของประเทศไทย
1
นอกจากเศรษฐกิจที่หดตัวไปแรงจนเป็น “หลุม” ที่ใหญ่กว่า และฟื้นตัวกลับมาถมได้ช้ากว่าแล้ว
2
เศรษฐกิจกำลังจะเจอกับอีกความท้าทายจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
โลก
1
ในฐานะที่เป็นประเทศเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็ก พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ
1
และมีตลาดการเงินที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศสูง
2
อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเจอกับความเสี่ยงที่คล้ายกับสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า
1
“Stagflation”
2
หรืออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
5
และอัตราดอกเบี้ยกำลังปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยโลก
1
ในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
ปรับ GDP เป็น 2.7%
1
นักท่องเที่ยวเหลือ 1 ล้านคน
3
การระบาดระลอกใหม่ที่เริ่มต้นเมื่อเดือนธันวาคมจบลงเร็วกว่าคาด
3
ส่งผลให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 1 ต่ากว่าที่ประเมิน
ก่อนหน้านี้ KKP Research มีการปรับ GDP สำหรับปี 2021 ลงภายใต้สมมติฐานว่า
การระบาดของโควิด -19 ระลอกใหม่ อาจยืดเยื้อไปได้สูงสุดถึง 1 ไตรมาส
และต้องมีการปิดเมืองที่ยาวนานมากกว่าการระบาดในปีก่อน
1
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลล่าสุดผลกระทบจากการะบาดระลอกใหม่น้อยกว่าที่
ประเมินไว้มาก
1
จากมาตรการที่ไม่เข้มงวดเท่าเดิมและความกังวลของคนต่อโควิด-19 ที่เริ่มน้อยลง
1
ประกอบกับสถานการณ์การระบาดที่คลี่คลายได้เร็ว
1
และมาตรการผ่อนปรนที่เห็นทิศทางชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์
จึงมีโอกาสเห็นการบริโภคและการลงทุนกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงหลังจากนี้ไป
1
อย่างไรก็ตาม ในภาคการท่องเที่ยวที่เป็นความหวังของเศรษฐกิจไทยดูเหมือนว่าจะยังไม่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นได้ตลอดทั้งปี 2021
จากสถานการณ์การฉีดวัคซีนของไทยในปัจจุบันที่ค่อนข้างช้า
1
แม้ว่าหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนของรัฐบาล
ก็คาดว่าจะมีคนไทยเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศเท่านั้นที่จะได้รับวัคซีนในปีนี้
ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับการสร้าง Herd Immunity หรือภูมิคุ้มกันสำหรับ
ประเทศเพื่อหยุดยั้งการระบาด
2
จึงค่อนข้างยากที่ไทยจะกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างจริงจังภายในปีนี้
ทำให้เรามองว่าตลอดทั้งปี 2021 นักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะกลับมาในประเทศได้
ในจำนวนที่จำกัด
และปรับการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวลงอีกครั้งจาก 2 ล้านคนเหลือ 1 ล้านคน
1
และเมื่อเปิดประเทศในปี 2022นักท่องเที่ยวจึงจะเริ่มกลับมาได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
1
เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด KKP Research ปรับการคาดการณ์ GDP
ขึ้นจากการเติบโตที่ 2.0% เป็น 2.7%
1
แต่ระดับการฟื้นตัวที่ปรับดีขึ้นก็ยังถือว่าฟื้นตัวช้ามากเมื่อเทียบกับการหดตัวในปีก่อน
และยังอยู่ในระดับต่ำกว่าแนวโน้มการเติบโตก่อนโควิด
1
เมื่อโลกพิมพ์เงินไม่ยั้งและเศรษฐกิจกลับมาเปิด หรือเงินเฟ้อกำลังจะกลับมา?
1
เศรษฐกิจหลายประเทศในปีนี้ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา กำลังจะฟื้นตัวแรงและ GDP น่าจะกลับไปสูงกว่าก่อนการระบาดของโควิดได้ในปีนี้
1
ซึ่งเกิดจากเหตุผลหลักสองส่วน คือ
1
(1) การใช้วัคซีนที่ทำได้อย่างรวดเร็วในหลายประเทศทั่วโลก
ทำให้เศรษฐกิจน่าจะสามารถกลับมาเปิดเต็มที่ได้ภาย ในปีนี้
(2) นโยบายกระตุ้ นเศรษฐกิ จขนาดใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี
Joe Biden
ซึ่งมีขนาด $1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
หรือมากถึงเกือบ 10% ของ GDP
นับเป็นแรงส่งสำคัญต่อเศรษกิจโลก
ยิ่งไปกว่านั้นธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักยังทำนโยบายอัดฉีดเงิน
จำนวนมหาศาลเข้าสู่เศรษฐกิจและตลาดการเงินต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่
แล้ว
1
สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาจากเศรษฐกิจที่กลับมาฟื้นได้เร็วคือ
2
เงินเฟ้อที่เกิดจากอุปสงค์ (Demand-pull inflation)
2
ซึ่งเกิดขึ้นได้จากเหตุผลหลายประการคือ
1
(1) อุปสงค์ที่อั้นจากโควิด (Pent-up demand)
โดยเฉพาะในภาคบริการที่จะกลับมามากกว่าปกติเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเปิด
(2) การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงินจำนวนมากชองสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องจากมาตรการในปีก่อนจะยิ่งทำให้การใช้จ่ายของคนมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก
2
โดยเฉพาะในภาวะที่ประชาชนในสหรัฐฯอเมริกามีเงินเหลือ
และมียอดเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
และ (3) เงินปริมาณมหาศาลที่ค้างอยู่ในระบบเศรษฐกิจเป็นผลจากนโยบายของธนาคารกลาง
ทำให้เมื่อเศรษฐกิจกลับมาเปิดและการหมุนของเงินกลับมาเป็นตามสถานการณ์ปกติอาจนำไปสู่เงินเฟ้อที่แรงกว่าที่เราคาดคิดได้
นอกจากนี้ เมื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมา แต่อุปทานของสินค้าโภคภัณฑ์
(เช่น น้ำมัน)
อาจจะยังไม่สามารถไม่กลับมาเต็มที่ อาจทำให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นอย่างน้อยในระยะสั้น
ในปัจจุบันความเสี่ยงของเงินเฟ้อเริ่มสะท้อนผ่านการคาดการณ์เงินเฟ้อในตลาดการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสูงขึ้น
เป็นสัญญาณเบื้องต้นว่าเงินเฟ้ออาจกำลังจะกลับมาในอนาคตอันใกล้นี้
ซึ่งจะส่งผลสำคัญต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวที่เริ่มปรับตัว
สูงขึ้นชัดเจนในปี 2021
ซึ่งความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่รุนแรงจะส่งผลต่อเนื่องถึงการตอบสนองของธนาคารสหรัฐ ฯ
ที่อาจต้องลดปริมาณการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (QE) ลง
1
ประเทศเศรษฐกิจฝืด ในโลกเงินเฟ้อ
เศรษฐกิจไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในปี 2020
และในปี 2021 ก็จะเป็นหนึ่งในประเทศที่ฟื้นตัวได้ช้าที่สุดเช่นกัน
เป็นภาพกลับกันกับเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะฟื้นตัวย่างแข็งแกร่ง
หมายความว่าสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือกลายเป็น
“ประเทศเศรษฐกิจฝืดในโลกของเงินเฟ้อ”
ซึ่งกำลังจะเจอกับความเสี่ยงสำคัญ
จากราคาสินค้าวัตถุดิบหลายอย่าง เช่น ราคาน้ำมันดิบที่ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นไปเกินกว่าระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาเรลแล้ว
ผลต่อเนื่อง คือต้นทุนการผลิตสินค้าของไทยกำลังจะสูงขึ้น
ในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
1
ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคของไทยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ
1
และอัตราเงินเฟ้อของโลกและสหรัฐอเมริกา
1
ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจแบบเปิดขนาดเล็ก
ข้อมูลในอดีตสะท้อนชัดเจนว่าอัตราเงินเฟ้อไทยมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับเงินเฟ้อของสหรัฐฯตลอด
1
KKP Research จึงปรับการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2021 จาก 0.9% เป็น 1.2%
1
แม้ปัญหาเงินเฟ้อของไทยอาจไม่รุนแรงมากทั้งจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง
เช่น เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ลดต้นทุนการผลิตและกองทุนน้ำมันที่ช่วยลดแรงกดดันต่อราค้าขายปลีกน้ำมัน
แต่สิ่งที่น่ากังวลคือฝั่งต้นทุนการผลิตที่จะปรับตัวสูงขึ้น
แต่ในภาวะที่เศษฐกิจชะลอตัวธุรกิจจะไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปสู่ผู้บริโภคได้
2
ท้ายที่สุดจะกระทบกับความสามารถในการกำไรของธุรกิจบางกลุ่มในระยะ
หลังจากนี้ไป
เรียกได้ว่าเศรษฐกิจไทยอาจกำลังก้าวขาข้างหนึ่งเข้าสู่สถานการณ์ที่มีลักษณะคล้ายกับภาวะ “Stagflation” แบบไม่รุนแรง
2
หรือภาวะ “ของแพง เศรษฐกิจแย่” ในปี 2021 นี้
การส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าภูมิภาค บาทมีโอกาสอ่อนค่าลง
เมื่อราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นผลกระทบอีกอย่างที่เกิดต่อไทยคือ
ผลต่อการเกินดุลการค้าในประเทศที่จะมีขนาดเล็กลงในปี 2020 ที่ผ่านมา
การส่งออกไทยหดตัวค่อนข้างมาก และรายได้จากการท่องเที่ยวหายไป
แต่ประเทศไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดได้อยู่เพราะการนำเข้าหดตัวอย่างรุนแรง
1
แต่มองไปข้างหน้า การส่งออกที่ยังไม่ขยายตัวได้มากนัก
ในขณะที่การนำเข้าน่าจะปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้บ้างแล้ว
ประกอบกับราคาน้ำมันที่กำลังปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ระดับการเกินดุลบัญชี
เดินสะพัดของไทยลดลง
แม้ว่าการส่งออกของไทยในเดือนมกราคมจะฟื้นตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้ตามภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลก
1
แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้วการเติบโตของการส่งออกไทยยังถือว่าช้ากว่าหลายประเทศ
มาก
เมื่อพิจารณาประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่ดีกว่าคาด
และการท่องเที่ยวที่จะยังไม่สามารถกลับมาได้ตลอดทั้งปี
จะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยมีโอกาสสูงที่จะขาดดุลโดยเฉพาะในไตรมาส 2 ของปี 2021
และอาจเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลงและมีความผันผวนที่สูงขึ้นได้ในปีนี้
อย่างไรก็ตามเราคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดน่าจะกลับมาเกิดดุลได้ในช่วงครึ่งหลังของปี
โดยเฉพาะเมื่อรายได้จากการท่องเที่ยวเริ่มกลับมา
แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ดีกว่าหลายประเทศ
และอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจ
จะกลายเป็นอีกแรงดึงดูดให้เงินไหลออกจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทย
เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าได้
KKP Research ประเมินว่าจากปัจจัยทั้งหมดค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงในช่วง
31.5 – 32.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างน้อยในช่วงครึ่งแรกของปี
และทิศทางค่าเงินยังต้องจับตาดูทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ฯ (FED) ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในช่วงหลังจากนี้ไป
ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น กับความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน
เงินเฟ้อที่กำลังจะกลับมา อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น
การอ่อนค่าของเงินบาท
เป็นสาเหตุทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
โดยปกติแล้วอัตราดอกเบี้ยระยะยาวควรจะสะท้อนมุมมองต่อเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในอนาคต
ในประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีอัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นและจะไม่เป็นภาระต่อเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามในกรณีของไทยอัตราดอกเบี้ยระยะยาวกลับปรับตัวสูงขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจยังชะลอตัวอยู่มาก
สาเหตุเป็นเพราะตลาดการเงินไทยที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดการเงินของสหรัฐอเมริกา
ทำให้เมื่อดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไทยเองมักจะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
โดยดูจากตัวเลขอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 10 ปีของไทยปรับตัวสูงขึ้นจากสิ้นปีที่ 1.3%
กลายเป็น 2.0% แล้วในปัจจุบัน
การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังแย่สร้างผลกระทบที่ตามมาอีกสองประการ คือ
(1) ต้นทุนในการระดมทุนของบริษัทที่จะเพิ่มสูงขึ้น
อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นนับเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมให้เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าอยู่แล้ว
อาจชะลอตัวลงไปมากกว่าเดิมอีกรอบเพราะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนในการระดมทุนของบริษัทที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น
1
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลเพราะจากโครงสร้างตลาดการเงินไทยการระดุมทุนผ่าน
การออกพันธบัตรของบริษัทเอกชนคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของการระดมทุนทั้งหมด
1
อยู่ในระดับใกล้เคียงกับการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์แล้ว
1
แม้ในปัจจุบันจะเห็นเฉพาะอัตราดอกเบี้ยระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีเป็นต้นไปที่ปรับตัวสูงขึ้นแรง
ซึ่งอาจยังไม่ใช่ระยะที่บริษัทออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนเป็นหลัก
แต่ยังมีความเสี่ยงที่บริษัทต่างๆ จะหันมาออกหุ้นกู้ระยะสั้นที่มีต้นทุนถูกกว่าและยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำตามทิศทางนโยบายการเงิน
กลายเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจดึงให้เส้นอัตราผลตอบแทนสูงขึ้นไปทั้งเส้น
(2) ความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท
และการออกหุ้นกู้ใหม่ของบริษัทเอกชน (Rollover risk) อาจปรับตัวสูงขึ้น
1
ในช่วงที่ผ่านมาแม้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของหุ้นกู้ภาคเอกชนและอัตรา
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลซึ่งสะท้อนส่วนชดเชยจากความเสี่ยงที่
สูงกว่า (Risk premium)
1
หรือที่เรียกว่า Credit spread
เริ่มปรับตัวดีขึ้นมาบ้างแต่ยังแย่อยู่ในหุ้นกู้บางกลุ่ม
โดยเฉพาะในกลุ่มที่มี Credit Rating ค่อนข้างแย่
ยิ่งเมื่อเจอกับสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยที่เริ่มสูงขึ้น
ก็จะมีโอกาสที่ Credit spread จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีกหากเป็นเช่นนั้นจริงประเด็นด้านการผิดนัดชำระหนี้
1
และปัญหาเสถียรภาพระบบการเงินจะเป็นเรื่องที่ต้องกลับมากังวลอีกรอบหนึ่ง
1
เตรียมพร้อมรับมือกับปัญหารอบใหม่
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับโจทย์ใหม่ทั้งต่อภาวะทางการเงินและเสถียรภาพระบบการเงิน
ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของธนาคารแห่งประเทศไทย
แม้ว่าในปีที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาที่ระดับต่ำสุดตั้งแต่เคยมีมาที่ 0.5%
1
อย่างไรก็ตามในวันนี้เศรษฐกิจไทยกำลังเจอกับความท้าทายใหม่ที่ดอกเบี้ยระยะยาวซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการระดมทุนของทั้งภาครัฐและเอกชน
1
และอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจจริงในที่สุด
หากอัตราดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยระยะสั้น
หรือยาวปรับตัวสูงขึ้นเร็วเกินไปและส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจจริง
อาจมีความจำเป็นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องพิจารณาเครื่องมือนโยบายเพิ่มเติมอื่นๆ
และให้ทิศทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อตลาดการเงินเพื่อ
ลดแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยลง
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการประกาศใช้กองทุนเพื่อรักษาเสถียรภาพของพันธบัตร (Bond Stabilization Fund)
หรือเป็นกองทุนที่คอยรับซื้อพันธบัตรที่มีความเสี่ยงไม่สามารถชำระหนี้คืนได้
นับเป็นความตั้งใจที่ดีในการช่วยรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินไม่ให้ลุกลามเป็นปัญหากับทั้งระบบ
แต่เป็นข้อที่น่าสังเกตว่าในปีที่ผ่านมากลับยังไม่มีบริษัทมาใช้เลยแม้ในมุม
หนึ่งอาจสะท้อนว่าผลกระทบต่อธุรกิจไม่รุนแรงมากจนขนาดต้องมาใช้กองทุนนี้
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกมุมหนึ่งก็อาจเป็นสัญญาณว่ากฎเกณฑ์ในการเข้าใช้ที่มีความรัดกุมมากจนธุรกิจไม่กล้าเข้าไปใช้
ในปีนี้ที่ความเสี่ยงเรื่องเสถียรภาพกำลังจะกลับมาอีกครั้ง
หากเกิดขึ้นเป็นปัญหารุนแรงจะเป็นเรื่องสำคัญที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องทบทวนและเตรียมการให้พร้อมก่อนปัญหาจะมาถึง
1
แม้ว่าปัญหาเหล่านี้อาจจะเป็นความท้าทายระยะสั้นของเศรษฐกิจไทย ที่เกิดขึ้นจากพัฒนาการในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามปัญหาเศรษฐกิจไทยที่โตได้ช้า
1
การส่งออกที่โตได้ช้า
และปัญหาความสามารถในการแข่งขันของประเทศดูเหมือนจะเกิดขึ้นมาก่อนหน้าโควิด-19
และอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราวและจะหายไปเมื่อโควิด-19 จบลง KKP Research
โดยเกียรตินาคินภัทรประเมินว่าในเวลานี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของเศรษฐกิจไทยถึงเวลาที่ไทยต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่
เพื่อก้าวไปข้างหน้าในโลกที่มีความท้าทายมากขึ้นไปกว่าเดิม
1
#KKPResearch #เศรษฐกิจไทยฟื้นไม่ทันเศรษฐกิจโลก #ความท้าทายใหม่ที่ต้องเตรียมรับมือ #โควิด-19 #ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ #เศรษฐกิจไทยที่โตได้ช้า #ดอกเบี้ยระยะสั้น #เงินเฟ้อที่เกิดจากอุปสงค์ #DemandPullInflation #การควบคุมการติดเชื้อ #ปรับลดGDP #การระบาดระลอกใหม่ #วัคซีน ##Covid19 #นโยบายการเงิน #วิกฤตเศรษฐกิจ #เทรนด์ทางเศรษฐกิจ #การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ #ความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทย #เศรษฐกิจที่หดตัว #ภาวะของแพงเศรษฐกิจแย่ #กองทุนเพื่อรักษาเสถียรภาพของพันธบัตร #BondStabilizationFund #HerdImmunity #ภูมิคุ้มกันสำหรับประเทศ #หยุดยั้งการระบาด #Stagflation #อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจโลก
#KKP #Kiatnakinphatra #นักลงทุนรายใหญ่ #Wealth #ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน #นักลงทุนมืออาชีพ #ลงทุนเติบโต #PrivateBank #เกียรตินาคินภัทร #PrivateBank #เกียรตินาคินภัทร #PhilosophyOfWealth #BestGlobalPrivateBank #FinancialPlanning #AssetAllocation #KKPAdviceCenter #KiatnakinPhatra@Blockdit #OptimiseYourOpportunities
โฆษณา