24 มี.ค. 2021 เวลา 04:53 • หุ้น & เศรษฐกิจ
📣 ทำความเข้าใจ 💵 “Fund Flow” เข็มทิศชี้นำทิศทางตลาดหุ้นไทย
พวกท่านเป็นเหมือนกับเราไหมครับ ? ที่ในทุกสิ้นวันหลังตลาดหุ้นปิดทำการ จะต้องเฝ้าคอยดูตัวเลขหนึ่งอยู่เสมอ ซึ่งก็คือ “สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุน” โดยลุ้นว่า นักลงทุนกลุ่มที่เราให้ความสำคัญจะมีการ Action ในทิศทางใด เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อ-ขายในวันถัดไปหรือในอนาคต
1
แต่เชื่อหรือไม่ ? ว่ายังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ “ไม่เข้าใจ” และนำไปใช้กันแบบผิด ๆ
ดังนั้น ในฐานะของนัก Data Analyst ที่ใช้ข้อมูลนี้ในการสร้าง Model Trade จึงอยากนำมาบอกเล่า เพื่อให้ทุกท่านได้ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดผ่านบทความนี้
1
ทำความรู้จัก “ปอป,กอง,เม่า,หรั่ง”
ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่สักแค่ไหน เราเชื่อว่าทุกคนต่างรู้ว่าทางตลาดหลักทรัพย์ได้แบ่งนักลงทุนออกเป็นทั้งหมด 4 กลุ่ม คือ
บริษัทหลักทรัพย์
นักลงทุนสถาบัน
นักลงทุนรายย่อย
นักลงทุนต่างชาติ
โดยแต่ละกลุ่มก็จะมีบทบาทและมีสัดส่วนการลงทุนต่างกันไป ดังนั้น เรามาเริ่มจากการ Update ดูว่า ในปัจจุบันนักลงทุนกลุ่มไหนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย ?
ภาพแสดงสัดส่วนของผู้เล่นกลุ่มต่าง ๆ ในตลาดหุ้นไทย 5 ปีย้อนหลัง
โควิดเปลี่ยนชีวิตรายย่อย
ในช่วงที่ Covid-19 ระบาด ได้ส่งผลกระทบในทางลบให้กับแทบทุกวงการ แต่สำหรับวงการหุ้นกลับมีเรื่องที่ผิดคาด
เพราะด้วยความว่าง บวกกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เหมาะกับการลงทุนทางตรง จึงทำให้กระแสเงินต่างไหลเข้ามาสู่ตลาดหุ้น จนมีปริมาณการซื้อขายแตะ 1 แสนล้านบาทต่อวัน !
ทำให้ นักลงทุนรายย่อยกลับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักการลงทุนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยครองสัดส่วนไปมากกว่า 50% เตะนักลงทุนต่างชาติกระเด็นตกจากบัลลังก์ เหลือสัดส่วนเพียง 30% ตามมาด้วยโบรกเกอร์ที่เติบโตตามธุรกรรมสมัยใหม่อย่าง DW และ Block Trade ที่ 13% รั้งท้ายด้วยกองทุนที่มีสัดส่วนเหลือเพียง 7% เท่านั้น !
1
โดยจากข้อสรุปนี้ คงทำให้หลายคนรู้สึกคึกคะนองถึงการเป็น “พญาเม่า” ที่มีพวกเกินครึ่งของตลาด และมั่นใจว่าจะเป็นกลุ่มที่ชี้นำทิศทางตลาดได้ แล้วมันจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ ขอเชิญทุกท่านมาดูคำตอบกันใน Paragraph ถัดไป
นักลงทุนกลุ่มใดที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดมากที่สุด เม่าเนิร์ด
มาเริ่มพิสูจน์กันจากในระยะสั้น โดยการเปรียบเทียบข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ กับการเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นไทยกันแบบ “วันต่อวัน” เพื่อดูว่า เมื่อตลาดมีการปรับตัวขึ้น(ลง)ในวันนั้น นักลงทุนกลุ่มใดที่ทำการซื้อ(ขาย)สุทธิสอดคล้องกับทิศทางตลาด
โดยทำการเก็บข้อมูลย้อนหลังเป็นจำนวน 5 ปี (2016-2021) รวมทั้งสิ้น 1,270 วันทำการ สามารถสรุปข้อมูลได้ ดังนี้
ตารางแสดงความสัมพันธ์ของยอดการซื้อขายของนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ กับการเคลื่อนไหวของ SET ตั้งแต่ปี 2016-2021
กองทุนเป็นผู้เล่นที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นมากที่สุด
1
เป็นเรื่องที่น่าแปลกนะครับ ที่ผู้เล่นที่มีสัดส่วนการลงทุนอันดับสุดท้าย เพียงแค่ 7% กลับมีการซื้อ-ขายที่สอดคล้องกับทิศทางตลาดในแต่ละวันมากที่สุดถึงกว่า 70%
ในทางตรงกันข้าม … ผู้เล่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอย่างนักลงทุนรายย่อย กลับมีการซื้อ-ขายที่สัมพันธ์กับทิศทางตลาดน้อยที่สุดเพียงแค่ 20% เท่านั้น และยังเป็นกลุ่มเดียวที่มีค่าต่ำกว่าครึ่ง หรือถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ คือ ในทุกๆ สัปดาห์(5 วันทำการ) จะมีแค่ 1 วันเท่านั้นที่รายย่อยซื้อขายถูกทาง
นี่จึงเป็นเหตุผล ว่าทำไมพวกนักลงทุนมืออาชีพ พอเห็นการเคลื่อนไหวของตลาดแล้วแทบจะรู้ได้ทันทีว่า ใครเป็นคนซื้อ-ขายในวันนั้น เพราะรายย่อยแม่มแทบไม่เคยถูกเลยนั่นเอง …
คงมีบางท่านที่อยากจะแย้งคำตอบของเราและมองว่าเราอคติกับรายย่อยเกินไปหรือเปล่า ?
เนื่องจากข้อมูลที่นำเสนอเป็นข้อมูลย้อนหลังถึง 5 ปี แต่รายย่อยพึ่งมามีสัดส่วนน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะเมื่อปีก่อน จึงมองว่าผลวิจัยนี้ไม่เป็นธรรมกับรายย่อย! และเพื่อพิสูจน์ข้อกังขานี้ เราจึงได้ทำการเก็บข้อมูลโดยการใช้เพียง 100 วันทำการล่าสุด (ต.ค.20-มี.ค.21) ได้ผลลัพธ์ดังตาราง
ตารางแสดงความสัมพันธ์ของยอดการซื้อขายของนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ กับการเคลื่อนไหวของ SET จำนวน 100 วันล่าสุด (ต.ค.20-มี.ค.21)
1
จากตารางจะเห็นว่าข้อสรุปยังคงเป็นเช่นเดิม โดยรายย่อยก็ยังคงมีการซื้อขายที่สัมพันธ์กับตลาดเพียงแค่ 20% เท่านั้น
ดังนั้น คงเห็นแล้วใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะกี่ยุคที่สมัย หรือรายย่อยจะมีสัดส่วนการซื้อขายเพิ่มสักเพียงใด ผลลัพธ์มันก็ “ไม่ต่าง” ไปจากเดิม
นั่นคือ “รายย่อยเป็นผู้แพ้เสมอ” โดยเราคิดว่ามันเป็น “สัจธรรม” ที่จะยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตราบเท่าทุกคนยังซื้อๆ-ขายๆกันแบบเป็นเอกเทศกัน
 
แล้วในระยะยาวที่ตลาดขึ้น-ลงใครเป็นคนกำหนดทิศทาง
ต่อมาเรามาพิสูจน์ในระยะยาวกันบ้าง ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเหมือนกับในระยะสั้นหรือไม่ ?
โดยทุกท่านก็คงอยากรู้กันใช่ไหมครับ ว่าในทุกครั้งที่ตลาดมีการฉุดกระชากลากถูกันอย่างรุนแรง ใครเป็นคนซื้อ-ขายถูกทาง(หรือทำราคา)บ่อยที่สุด
ดังนั้น เรามาเริ่มต้นกันด้วยการเก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ โดยใช้สมมุติฐาน คือ “ดัชนีเปลี่ยนแปลง +/- 5% ในช่วงเวลา 10 วันทำการ” และตลอด 5 ปีที่ผ่านมา จะได้ชุดข้อมูลทั้งหมด ดังนี้
ตารางแสดงการเคลื่อนไหว +/- 5% ของดัชนี SET ในช่วง 10 วันทำการตั้งแต่ปี 2016-2021
*นับเฉพาะต้นเทรน (10 วันทำการแรก) เท่านั้น
จากตารางพบว่าในช่วง 5 ปีหลังสุด ตลาดได้มีการ +/- เกิน 5% ในรอบ 10 วันทำการ เป็นจำนวน 22 ครั้ง โดยปีที่ผันผวนมากที่สุด คือ ปี 2020 ที่มีการขึ้นลงแรงถึง 11 ครั้ง (ครึ่งหนึ่ง)
ในขณะเดียวกันก็มีบางปีที่ตลาดแทบจะ Sideway ไม่เคลื่อนไหวรุนแรงเลยด้วยเช่นกัน บ่งชี้ว่าพฤติกรรมความผันผวนของตลาดเป็นแบบ Dynamic ที่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้การเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน … แล้วพวกท่านคิดว่า
“ในแต่ละครั้งของการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนกลุ่มใดที่ซื้อขายได้ตรงกับทิศทางมากที่สุด” มาดูเฉลยกัน
 
ตารางแสดงยอดการซื้อขาย 10 วันทำการของนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ ตามรอบที่ตลาด +/- เกิน 5%
เกิดเป็นเม่า เศร้าเสมอ !
จากตัวเลขเราจะได้ว่าในรอบ 22 ครั้งที่ตลาดเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ กองทุน&โบรกเกอร์&ต่างชาติ มีการซื้อขายที่ถูกทางถึง 15-16 ครั้ง หรือคิดเป็น 70% !
ในขณะที่รายย่อยถูกทางเพียงแค่ 3 ครั้ง หรือเพียง 13% เท่านั้น แถมยังเป็น 3 ครั้งติดกันที่เกิดจากการหน้ามืดตามัวถัวตลอดทาง จากสถานการณ์ Covid ที่กลุ่มอื่น ๆ กินกำไร Short กันแบบอิ่มหนำสำราญกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งหากเปรียบเทียบกับในระยะสั้นแล้วจะเห็นว่า คำตอบยิ่งชัดเจนขึ้น โดยกลายเป็นทั้ง 3 กลุ่มผลัดกันทำกำไรและทิ้งให้รายย่อยกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ได้รับลูกหลงจากสงครามในตลาดหุ้นอยู่เสมอ
จากตัวเลขทั้งหมดทุกท่านคงได้ข้อสรุปแล้วนะครับ ว่าทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว ทั้ง 3 กลุ่มต่างก็มีอิทธิต่อการเคลื่อนไหวของของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ และคงพอทราบคำตอบกันแล้วว่ากันแล้ว ว่าเราควรซื้อ-ขายตามใคร (หรือสวนใคร)
ดังนั้น ทุกคนเตรียมตัวรวยกันได้เลยครับ ถ้าเรารู้ว่าพรุ่งนี้กลุ่มคนเหล่านั้นเขาจะซื้อหรือขายหุ้น …
 
แล้วเรื่องแบบนี้ใครมันจะไปรู้ว่ะ ???
ใช่ครับ และนี่คือโลกของความจริง เอาตรง ๆ ต่อให้เราไม่ทำการพิสูจน์ข้อมูลข้างต้นออกมา คนส่วนใหญ่ก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าใครคือผู้ชนะ/ผู้แพ้ในตลาดหุ้น และก็พยายามซื้อ/ขายตามคนกลุ่มนั้นให้ได้ แต่แทบทุกคนกลับไม่ประสบความสำเร็จกับมัน
เพราะติดปัญหาตัวเดียว คือ “ไม่รู้ว่าวันต่อมานักลงทุนเหล่านั้นจะ Action ทางใด” จึงกลายเป็นเพียงแค่การคาดเดาแบบผิด ๆ ถูก ๆ จนผลลัพธ์ที่ได้กลายเป็น “ไม่ได้ผล” และเลิกใช้
หรือไม่ก็วนอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ … และนี้จึงเป็นที่มาที่เราบอกกับพวกท่านว่า “ไม่เข้าใจ” เพราะคนที่ใช้งานจริงเขารู้ดีว่า มันไม่มีทางถูกทุกครั้ง
เขาจึงเลือกใช้มันเป็นแค่ “ตัวกรองสัญญาณ” เพื่อพัฒนาให้สัญญาณหลักที่ตัวเองใช้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยเน้นย้ำว่า “ไม่ต้องการถูกทุกครั้ง” โดยพวกเราจะทำการสาธิตการใช้งานให้ดู ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 กำหนดสัญญาณหลักที่ใช้ในการให้จังหวะซื้อ-ขาย
เราจะทำการทดสอบโดยกันในตลาด TFEX เนื่องจากสามารถ Long และ Short ได้ จึงทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยกรณีตัวอย่างนี้ จะใช้สัญญาณซื้อ-ขายที่อ้างอิงจาก Technical (กราฟ) คือ Moving Average 10 แท่ง ตัดกับ Moving Average 50 แท่ง (ตัดขึ้นเปิด Long - ตัดลงปิด Long และเปิด Short) ในราย 15 นาที ดังภาพ
ภาพแสดงสัญญาณการซื้อขาย SET50 Futures ด้วย MA10 กับ MA50 ในราย 15 นาที
ขั้นตอนที่ 2 ทำการ Back Test ผลลัพธ์ออกมา
 
จากนั้นทำการทดสอบผลลัพธ์ออกมา เพื่อดูว่าก่อนที่จะมีการเพิ่มเงื่อนไข Fund Flow เข้าไป ผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไร ในส่วนนี้เพื่อความสะดวกจะจำเป็นต้องพึ่งพาโปรแกรมช่วยเพิ่มเติมในการทดสอบ โดยเราเลือกไปที่ AmiBroker ที่เขียนง่ายและเหมาะกับคนไม่มีความรู้ทางด้าน Program มากที่สุด (ใครอยากรู้วิธีการใช้งานเข้าไปดูได้ที่เพจหรือกระทู้เก่า ๆ ของเรานะครับ) ได้ผลลัพธ์ 5 ปีย้อนหลัง (2016-2021) ดังตาราง
รูปแสดง Performance (กำไร,ความแม่นยำ,ความเสี่ยง) ของการนำ MA10 ตัด MA50 ในราย 15 นาทีจำนวน 5 ปีย้อนหลัง
2
จากรูปจะเห็นว่าหากเราทำการใช้ MA ง่าย ๆ มาตัดกัน จะสามารถสร้างกำไรได้ประมาณ 250 จุดในช่วง 5 ปีหลัง
โดยมีการเทรดประมาณ 700 ครั้ง และมีความแม่นยำเพียง 32% หรือเทรด 100 ครั้งถูกประมาณ 30 ครั้ง
โดยมีการขาดทุนติด ๆ กันสูงสุด (Max Drawdown) ถึง 240 จุด
ซึ่งดูแล้วค่าที่ออกมาถึงแม้จะทำกำไรได้ แต่ต้องยอมรับว่า “สาหัส” พอสมควรกับความเสี่ยงที่เผชิญ จากนั้น เรามาลองทำการเพิ่มเงื่อนไขในเรื่อง Fund Flow และ Back Test ใหม่อีกครั้ง ตามขั้นตอนสุดท้าย
ขั้นตอนที่ 3 ทำการทดสอบสัญญาณซื้อขายอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้จะเพิ่มเงื่อนไข Fund Flow เข้า
สำหรับขั้นตอนสุดท้ายนี้ เราจะยังคงใช้สัญญาณหลักตัวเดิม คือ MA 10 ตัดกับ MA 50 แต่ในรอบนี้จะเพิ่มเติมเงื่อนไขเข้าไปกรอง โดยใช้ “ยอดการซื้อขายของต่างชาติวันก่อนหน้า (T-1)”
1
โดยมีสมมุติฐาน คือ “จะเปิด Long ก็ต่อเมื่อสัญญาณตัดขึ้น และวันก่อนหน้าช่างชาติต้องซื้อสุทธิ & เปิด Short ก็ต่อเมื่อสัญญาณตัดลงและวันก่อนหน้าต่างชาติต้องขายสุทธิ” โดยทำการทดสอบในช่วงเวลาเดียวกัน จะได้ผลลัพธ์ดังตาราง
รูปแสดง Performance (กำไร,ความแม่นยำ,ความเสี่ยง) ของการนำ MA10 ตัด MA50 ในราย 15 นาทีจำนวน 5 ปีย้อนหลัง โดยใช้ Fund Flow เข้ามากรองเพิ่มเติม
จากตารางสิ่งแรกที่สังเกตได้ชัดเจน คือ จำนวนการเทรดที่น้อยลง และมี %ความแม่นยำที่สูงยิ่งขึ้น (จาก 32% เป็น 35%)
เพราะการกรองสัญญาณจะทำจังหวะซื้อ-ขายหายไปกว่าครึ่ง และที่สำคัญมันจะช่วย “ลดสัญญาณหลอก” เราจึงเห็นความแม่นยำที่สูงขึ้น และทำให้กำไรสูงขึ้นตามไปด้วย (จาก 250 จุด => 400 จุด) รวมถึงช่วยลดการขาดทุนสะสมติด ๆ กันเหลือเพียง 170 จุด
1
ซึ่งจากตัวเลขทั้งหมด คำตอบที่ได้ดูดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติอาจสร้างความอึดอัดให้กับนักลงทุน เพราะอย่างที่บอกว่า “ต่างชาติไม่ได้ถูกเสมอ” จึงทำให้มีบางครั้งที่มันตัดสัญญาณครั้งที่ควรเข้าออกไปด้วย ซึ่งมันคือการ Trade off ที่ทุกคนต้องทำใจยอมรับ
*นี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ทดสอบบนสัญญาณซื้อขายแบบง่าย ๆ โดยยังไม่ได้มีการหาค่าที่ดีที่สุดออกมาทั้ง Logic หลักและค่าสัญญาณกรอง ในความเป็นจริงพวกท่านยังสามารถพัฒนาให้มีคุณภาพขึ้น โดยทุกเครื่องมือการซื้อขายจะมีค่าที่เหมาะสมต่างกัน และนั่นคือการบ้านที่ทุกท่านต้องหามันให้เข้ากับ Indicator ของตนเอง
จากข้อมูลทั้งหมด คงทำให้พวกท่านเห็นถึงประโยชน์ของข้อมูล Fund Flow ในตลาดหุ้นกันแล้วนะครับ แต่ในโลกของการลงทุนยังมีปัจจัยอื่นอีกมาก ที่สามารถหยิบจับมาใช้ได้
ทั้งในมิติที่มีความสำคัญไม่แพ้กันอย่าง Fund Flow ในตลาด TFEX หรือจะเป็นข้อมูลอื่น ๆ อย่าง ตัวเลขตลาดหุ้นรอบบ้าน,การทำ Short Sale,ความผันผวน ฯลฯ
และนี้คือสเน่ห์ของการเป็นนักลงทุนสายเชิงปริมาณ (Quantitative Trader) ที่รอคอยให้พวกท่านมาพัฒนากันอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด หากใครที่สนใจทางด้านนี้มาร่วม Join กันกับพวกเราได้นะครับ และหากเจอข้อมูลดี ๆ พวกเราก็จะนำมาบอกเล่าต่อให้กับทุกคนได้รับรู้กันแบบนี้ต่อไป
สุดท้ายนี้เราสังเกตว่า สังคมการลงทุนเริ่มมีบทความให้ความรู้เชิงบทความที่น้อยลง โดยในฐานะที่เป็นหนึ่งคนที่คอยทำบทความก็เริ่มมีความรู้สึกว่า “ยังมีคนสนใจข้อมูลยาว ๆ พวกนี้อยู่อีกหรือไม่”
2
เพราะเราเข้าใจว่าด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จึงอาจทำให้พฤติกรรมของนักลงทุนเปลี่ยนไป หันมาชื่นชอบกระทู้เชียร์/แช่ง หรือใบ้หุ้นกันแบบสำเร็จรูปกันเสียมากกว่า
ดังนั้น หากถ้ายังมีคนสนใจช่วยแสดงออกให้รับรู้และเป็นกำลังใจให้กับเราและทุกคนที่นำเสนอความรู้ด้วยนะครับ และหวังว่าบทความที่จัดทำขึ้นนี้จะยังคงเป็นประโยชน์กับใครสักคน ขอบคุณครับ
ปล.เรามีข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Fund Flow มาฝากกัน
นอกจากนี้ เรายังมีเพื่อนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพื้นฐานและคอยจับตาข้อมูลเรื่อง Fund Flow อย่างใกล้ชิด โดยเขาได้สังเกตเห็นถึง“ความผิดปกติ” ของ Fund Flow ในรอบนี้ จึงหวังดีอยากนำมาบอกเล่าให้ทุกคนรับรู้กันต่อ ดังรูป
รูปแสดงมูลค่าการซื้อ-ขายหุ้นสะสมของนักลงทุนทั้ง 4 กลุ่มในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
Credit : คุณ PETCHU จากห้อง Open Chat : TFEX For Future
จากรูปจะเห็นว่า หลังจากผ่านสถานการณ์ Covid มา นักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ ทั้งต่างชาติ,กองทุนและโบรกเกอร์เริ่มทำการขายทิ้งใกล้จะกลับมาติดลบ ยกเว้นก็แต่รายย่อยที่ยังตั้งหน้าตั้งตาซื้อหุ้นอยู่กลุ่มเดียวอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น หากถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เราอาจได้เห็น “3 ประสาน” ร่วมมือกันอีกครั้ง ขอให้ทุกคนระมัดระวังและติดตามข้อมูลในส่วนนี้กันอย่างใกล้ชิด
💬 สามารถพูดคุย สอบถาม หรือร่วมแชร์ข้อมูลกับเราได้ ในห้อง Line Open Chat “TFEX For Future”
👇🏻 คลิก link เข้ากลุ่มได้
1
📣 "โปรลับ" ‼️ สำหรับสมาชิกคนพิเศษ
📍 เราให้ได้มากกว่า แค่คำว่า...”ค่าคอมถูก”
ง่ายๆ แค่คลิก👇🏻link แล้วกรอกข้อมูล📄
✳️ฝากติดตาม TFEX For Future ช่องทางอื่นด้วยนะครับ
โฆษณา