30 มี.ค. 2021 เวลา 11:06 • กีฬา
ความหมายการมาของลามาคัส ออลดริจ (LaMarcus Aldridge)
ในฤดูกาลนี้บรูคลิน เนตส์ สร้างความประหลาดใจให้พวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า ล่าสุดการได้ตัวลามาคัส ออลดริจ (LaMarcus Aldridge) มาร่วมทีมนั้นก็สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบาสอีกครั้ง หลังจากที่มีแต่กระแสการไปร่วมทีมกับไมแอมี ฮีต (Miami Heat)....
NBA Mania
นักกีฬาที่ buyout และเป็นฟรีเอเจนต์แบบนี้ เค้ามีสิทธิ์ในการตัดสินใจที่จะร่วมทีมไหนก็ได้ตามแต่ใจตัวเองต้องการ ซึ่งทันทีที่เค้าเจรจาจบสัญญากับแซนแอนโทนิโอ สเปอร์ (San Antonio Spurs) กระแสข่าวว่าฮีตจะได้ตัวไปร่วมทีมก็หนาหูมากๆ เรียกว่าระดับ 80-90%ก็ว่าได้ แต่สุดท้ายพวกเรากลับเห็นข่าวเค้ามาอยู่ในยูนิฟอร์มของบรูคลิน เนตส์ (Brooklyn Nets) แทน...
ตามข่าวของทางฮีต สาเหตุที่ออลดริจเปลี่ยนใจไม่มาร่วมทีมเป็นเพราะว่าผลงานที่ติดๆ ขัดๆ ล่าสุดของทางทีม ซึ่งตัวเค้ามองว่าเนตส์น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าที่จะทำให้ตัวเค้าที่อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายในชีวิตการเล่นสามารถคว้าแชมป์และมีแหวนแชมป์กับเค้าบ้าง ซึ่งทางเนตส์เองก้โอเคและยินดีต้องรับออลดริจทันทีเช่นกัน...
ในส่วนของฮีตก็ถือว่าพวกเค้าเสริมทีมได้ดีและเต็มที่แล้วครับในช่วงกลางฤดูกาลแบบนี้ ได้วิคเตอร์ โอลาดิโป (Victor Oladipo) ได้เทรเวอร์ อาริซ่า (Trevor Ariza) เนแมนย่า บีอลิซ่า (Nemanja Bjelica) พร้อมกับยังเก็บไทเลอร์ ฮีโร (Tyler Herro), ดันแคน โรบินสัน (Duncan Robinson), เคนดริก นันท์ (Kendrick Nunn) ผู้เล่นอายุน้อยมีอนาคตที่ดี แม้จะเสียดายที่ไม่ได้ออลดริจมาเสริมก็ตาม...
เรามารูจักลามาคัส ออลดริจกันให้มากขึ้น เค้าคืออดีตดราฟต์อันดับ 2 ปี 2006 อยู่ใน NBA ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่ 15 ปัจจุบันอายุ 35 ปี จะ 36 ปีช่วงเพลย์ออฟ (Playoff) นี้...
เค้าคืออดีตออลสตาร์ 7 สมัย
ติด All-NBA ทีมสอง 2 ครั้ง
ติด All-NBA ทีมสามอีก 3 ครั้ง
อยู่กับพอตแลนด์ เทรล เบลเซอร์ (Portland Trail Blazers) 9 ฤดูกาล อยู่กับแซนแอนโทนิโอ สเปอร์ 5 ฤดูกาลครึ่ง และ อีกครึ่งที่เหลือจะอยู่กับ บรูคลิน เนตส์
Credit Picture: NBA
มีประสบการณ์ในเพลย์ออฟกับพอตแลนด์และสเปอร์รวมกันทั้งหมด 72 เกม แม้ว่าผลงานในตอนนี้อาจจะไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่รุ่งโรจน์แต่ด้วยประสบการณ์และศักยภาพที่บอก ยังไงก็มีประโยชน์กับบรูคลินเนตส์แน่นอน
Credit Picture: NBA
การมาครั้งนี้ของลามาคัส ออลดริจ ทำให้บรูคลิน เนตส์ ยิ่งเป็นทีมที่เต็มไปด้วยสตาร์ครับ หากเอาการติดออลสตาร์มารวมกันตอนนี้ ทั้งเควิน ดูแรน (Kevin Durant), เจมส์ ฮาร์เดน (James Harden), ไครี เออวิง (Kyrie Irving), เบลค กริฟฟิน (Blake Griffin), ดิอังเดร จอร์แดน (DeAndre Jordan) และพอรวมเอาออลดริจเข้าไปด้วยเบ็ดเสร็จแล้ว ติดออลสตาร์รวมกัน 41 ครั้ง...
ในประวัติศาสตร์เป็นรองแค่ บอสตัน เซลติค (Boston Celtics) ชุดปี 2011 ที่ติดรวมกัน 56 ครั้ง และ เซลติคในปี 2012 ที่รวมกัน 43 ครั้ง เนตส์นั้นเทียบเท่ากับไมแอมี ฮีต ในปี 2014 แต่ทั้งหมดที่พูดมาคือไม่ได้แชมป์เลยสักทีมนะครับ ในส่วนของเซลติคนั้นเป็นช่วงขาลงของหลายๆคนไม่ว่าจะชาคีล โอนีล (Shaquille O’Neal), พอล เพียซ (Paul Pierce), เควิน การ์เนต (Kevin Garnett), เรย์ อัลเลน (Ray Allen) รวมไปถึงจาเมน โอนีล (Jermaine O’Neal) ด้วย ในส่วนของฮีตตอนนั้นก็เจอความสุดยอดของแซนแอนโทนีโอ สเปอร์ล้างแค้นคืนเลยอดแชมป์ไป...
แต่ในกรณีของเนตส์นั้นช่างแตกต่างกับเซลติคในอดีตมาก เพราะบิ๊กทรีตัวหลักทั้งสามคนอย่างเคดี, ฮาร์เดน และ ไครี ยังอยู่ในช่วงพีคของการเล่นตัวเองแบบสุดๆ แม้เคดีตอนนี้จะบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาหลังซ้ายแต่เราเห็นผลงานของเค้ากันแล้วการกลับมาจากเอ็นร้อยหวายฉีกนั้นไม่มีผล ฮาร์เดนก็ดูดีกว่าตอนเล่นกับร้อคเกต ไครีก็เหมือนลงมาโชว์ให้แฟนๆ ชมความมหัศจรรย์ในการเล่น...
แม้ว่าออลดริจจะอยู่ในช่วงขาลงแต่เค้าไม่ได้โรยราขนาดที่เราเคยเห็นแช็คกับเซลติค เราเห็นเบลค กริฟฟิน ที่สภาพแย่ๆกับพิสตัน พอมาอยู่กับเนตส์ก็ดูดีเล่นง่ายและน่ากลัวขึ้นมาเลย เช่นเดียวกันเราน่าจะได้เห็นลามาคัส ออลดริจลักษณะเดียวกัน อย่าลืมนะครับ ออลดริจนี่คืออดีตดราฟต์อันดับ 2 พรสวรรค์ ศักยภาพในการเล่นต่างยังไงก็สูงส่ง แม้สภาพร่างกายจะไม่เหมือนเดิมก็ตาม แต่การที่มีความคาดหวังในการเล่นที่น้อยลง ไม่ใช่คนแบกทีม มีตัวหลักระดับเทพๆ สร้างเกมให้เล่นง่ายขึ้น เค้าทำได้แน่นอน ไครี เออวิง อดีตดราฟต์ อันดับ 1 เบลค กริฟฟิน อดีตดราฟ์อันดับ 1 เควิน ดูแรน อดีตดราฟต์อันดับ 2 ลามาคัส ออลดริจ อดีตดราฟต์อันดับ 2 เจมส์ ฮาร์เดน อดีตดราฟต์อันดับ 3 พรสวรรค์นี่ล้นทีม...
“การเสริมทีม Brooklyn Nets”
เอ้ ก่อนอื่นนะครับต้องบอกเพื่อนๆก่อนว่า งานที่ท้าทายที่สุดของรุกกี้โค้ช สตีฟ แนช (Steve Nash) มาถึงแล้วล่ะครับว่าจะจัดสรรจำนวนการลงสนามยังไงให้กับบรรดานักกีฬาในทีมแฮปปี้และมีประสิทธิภาพ ตอนแรกทางแนชนั้นอยากจะเอามาลงในส่วนของเซ็นเตอร์ เป็นลักษณะ small ball แต่สุดท้ายแล้วจากการลงสนาม 55 นาทีเค้ายืนในส่วนของพาวเวอร์ ฟอร์เวิร์ด 42 นาที ในจุดนี้น่าจะน้อยลงๆเมื่อเควิน ดูแรนกลับมา...
Credit Picture: NBA
ดังนั้นการมาของลามาคัส ออลดริจ น่าจะมาเติมเต็มในส่วนของเซ็นเตอร์เพราะว่าตัวเค้าในตอนนี้หลักๆนั้นยืนตำแหน่งเซ็นเตอร์ นั่นหมายความว่า ตอนนี้ตำแหน่งเซ็นเตอร์ของเนตส์ นั้นแน่นเอียด ไม่ว่าจะดิอังเดร จอร์แดน (DeAndre Jordan), เจฟฟ์ กรีน (Jeff Green) รวมทั้งนิโคลัส แคล็กสตัน (Nicolas Claxton)...
ซึ่งหากถามว่าในตอนนี้หากทีมอยู่กันครบๆ death lineup จริงๆของทีมที่สตีฟ แนช มักจะใช้ในช่วงท้ายควอเตอร์ 4 ปิดเกม กลับเป็น เจฟฟ์ กรีน ยืนเซ็นเตอร์ บิ๊กทรีทั้งสาม และจอมแม่น โจ แฮริส ซึ่งตัวเจฟฟ์ กรีนนั้นก็ทำหน้าที่ได้ดีมากๆและถือว่าเป็นชุดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเล่นเกมบุกด้วยการใช้เจฟฟ์ กรีน ที่สามารถยิงสามได้ แต่หากพูดถึงการเล่นเกมรับ เจฟฟ์ กรีนนั้นไม่ใช่เซ็นเตอร์ธรรมชาติ หากเจออย่างโจเอล เอมบีด (Joel Embiid) เจออย่างนิโคลา โยคิช (Nikola Jokic) แบบนี้ยังไงก็ไม่ไหว
Credit Picture: NBA
ซึ่งหลังจากที่ลามาคัส ออลดริจมาร่วมทีม หลายๆอย่างอาจจะเปลี่ยนไป พวกเค้าสามารถปรับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ บิ๊กทรีทั้งสามยืนเป็นหลัก หากเจอทีมที่รูปร่างใหญ่อย่างซิกเซอร์ที่มีทั้งเอมบีด, เบน ซิมมอน (Ben Simmons) หรือจะเป็นอย่างบรูค โลเปซ (Brook Lopez) กับ ยานนิส (Giannis Antetokonumpo) พวกเค้าอาจจะเริ่มด้วย ดิอังเดร จอร์แดน กับ เจฟฟ์ กรีน แล้วมี เบลค กริฟฟิน, ลามาคัส ออลดริจ เป็นสำรอง โดยมีนิโคลัส แคล็กสตัน คอยเสริม...
ในจุดนี้ต้องยอมรับว่า เวลาในการลงสนามของฟร้อนคอร์ต (front court) ทุกคนยังไงก็ต้องเฉลี่ยลดลงกระจายไปในส่วนของออลดริจ และดูแล้วก็น่าจะเป็นนิโคลัส แคล็กสตันนะครับที่โอกาสในการลงสนามน่าจะน้อยลงมากที่สุด ด้วยชื่อชั้นและดีกรีต่างๆของรุ่นพี่ แต่ในส่วนของนิโคลัส แคล็กสตัน ต้องยอมรับเลยว่าผลงานของเค้าก้าวขึ้นมาเสริมการที่ทีมขาดแจเรตต์ อัลเลน (Jarrett Allen) ได้ดีมากๆ ดูคล่องแคล่วดูความลงตัวไหลลื่นในการเล่นกับเจมส์ ฮาร์เดนก็ดีมากๆ...
เชื่อว่าเป็นสิ่งที่แฟนๆบาสหลายๆคนคิดเหมือนกันเพราะแคล็กสตันทำได้ดีจริงๆ ไม่ว่าเกมรุกและโดยเฉพาะเกมรับที่เนตส์นั้นต้องการที่สุดเค้าทำได้ดีจริงๆโดยเฉพาะการป้องกันปากห่วงคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ในตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าออลดริจนั้นจะมีผลงานกับทีมเป็นอย่างไร จะเข้ากับทีมดีมากน้อยแค่ไหน แต่หากเอาตัวเลขที่มีอยู่กับสเปอร์มาเทียบในการเล่นเกมรับสำหรับการป้องกันในระยะรอบๆห่วงในพื้นที่โซนสามวินาทีทั้งหลาย...
ลามาคัส ออลดริจ นั้นเฉลี่ยแล้วคู่แข่งยิงได้ประมาณ 59%
สำหรับนิโคลัส แคล็กสตัน ทำได้ดีกว่าในจุดนี้ คู่แข่งยิงได้ประมาณ 55%
ในส่วนของเจฟ กรีน ไม่ค่อยดีเพราะรูปร่างเป็นรอง คู่แข่งยิงระดับ 69%
ประเด็นความแตกต่างคืออะไร ประเด็นคือ นิโคลัส แคล็กสตัน รับดีแต่เกมรุกเป็นรองเจฟฟ์ กรีน โดยเฉพาะการยิงสามคะแนน นี่คือ สาเหตุว่าทำไม death lineup ชุดเต็มของเนตส์ ท้ายเกมมักจะเป็นเจฟฟ์ กรีนยืน เพราะเค้ายิงสามได้ ถ่างโซนออกมา เปิดพื้นที่ให้บิ๊กทรีทำงานสะดวกขึ้น แม้จะเป็นรองเกมรับอยู่บ้างก็ตามแต่ แนชต้องเลือกแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงดีอังเดร จอร์แดนนะครับ เพราะด้วยความที่ยิงลูกโทษไม่แน่นอน ยิงสามหวังผลไม่ได้ ช่วงท้ายจึงเป็นปรกติที่จะไม่ค่อยเห็นเค้า...
ดังนั้นการมาของออลดริจ น่าจะมาตอบโจทย์ให้สตีฟ แนชค่อนข้างครบ เพราะออลดริจ สามารถเล่นเกมรับโดยเฉพาะการป้องกันรอบๆห่วงดีกว่าเจฟฟ์ กรีน แม้จะเป็นรองแคล็กสันต อยู่นิดหน่อยก็ตาม และเค้าก็ยิงสามคะแนนได้ระดับไล่ๆกับเจฟฟ์ กรีน คือประมาณ 38-39% แม้ก่อนจะย้ายมาล่าสุดจะตกมานิดอยู่ที่ 36% แต่ก็ถือว่าหวังผลได้ เรียกว่าเป็นคอมบิเนชั่นของเจฟฟ์ กรีน ผสมกับนิโคลัส แคล็กสัน ได้เลย...
จบที่ส่วนตัวคิดว่า เค้าน่าจะเข้ามาเสริมในส่วนของเซ็นเตอร์ พวกฟร้อนคอร์ต ก็บทบาทประมาณเดิมเพิ่มเติมคือเฉลี่ยเวลาลงสนามมาแชร์ให้กับออลดริจ แชร์มากสุดน่าจะเป็นแคล็กสตัน และหากออลดริจมีการเล่นที่เข้ากับทีมได้อย่างลงตัว เราน่าจะเห็น death lineup ใหม่ เปลี่ยนจากเจฟฟ์ กรีน เป็นออลดริจ ก็เป็นได้...
สุดท้ายจับตาดูดีๆ นักกีฬาที่ทำแต้มมากที่สุด 6 อันดับในปัจจุบันที่ยังคงเล่นอยู่ เป็นของเนตตส์ อยู่ 3 คนคือ เคดี, ฮาร์เดน และ ล่าสุดคือ ออลดริจ... เคดีนั้นได้แหวนไปแล้ว ดังนั้น Top Score สองคนที่ยังไม่ได้แหวนคือ ฮาร์เดน กับ ออลดริจ มาดูสิว่าพวกเค้าจะทำได้ไหม? มาถึงขนาดนี้หากไม่ได้ ก็น่าจะอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ความล้มเหลวได้เลย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเค้าคือ โครตทีม 2021 และเป็นเต็ง 1 ในการคว้าแชมป์ NBA ปีนี้...
โฆษณา