6 เม.ย. 2021 เวลา 13:46 • กีฬา
#ก่อนหงส์ลงสนาม 🏁🏆🔴ผ่าบิ๊กแมทช์"ชุดขาว-หงส์แดง"บู๊ยูซีแอล
........ความคั่งแค้นและเจ็บปวด คราบน้ำตาระหว่างเกม ไปจนถึงหลับจบเกมที่กรุงเคียฟ ปี 2018 เอาเข้าจริงมันได้ถูกลบเลือนไปหลังจากนั้น 1 ปีที่กรุงมาดริดไปแล้ว
แต่เมื่อเปิดลิ้นชักความทรงจำมาครั้งใด แฟนบอลของ ลิเวอร์พูล เอฟซี ยากมาก ๆ ที่ลบเลือนมันไปจากใยสมอง กับเกมที่ต้องแพ้ เรอัล มาดริด ไปแบบแตกสลาย 1-3 ในนัดชิงบิ๊กเอียร์ เมื่อ 3 ฤดูกาลที่แล้ว
ไม่มีใครลืมจังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ร่ำไห้ออกจากสนาม หลังจากโดนวิทยายุทธ์ของ เซร์คิโอ รามอส เล่นงานจนไหล่พัง และเกือบไม่ได้ไปฟุตบอลโลกในเวลาต่อมา
ไม่มีใครลืม การพลาดแบบ"น่าเกลียดที่สุด"ครั้งหนึ่งของวงการฟุตบอลที่ ลอริส คาริอุส ที่ปาบอลไปให้ คาริม เบนเซมา ยื่นขาเข้ามาในรัศมีบอลจนเสียประตูแบบแฟนช็อค
ไม่มีใครลืม การลงมาเป็นซูเปอร์ซับของ แกเร็ธ เบล แล้วตีลังกายิงได้อย่างหมดจด
ไม่มีใครหรอก ที่จะลืมลูกตัดสินเกมที่ เบล ยิงไกลแล้ว คาริอุส รับบอลปลิ้นเข้าไปตุงตาข่าย
คาริอุส เดินร้องไห้รับชะตากรรมที่ในใจคงจะคิดไปแล้วหลายกระเด้งในเวลานั้น ทั้งต้องรับสภาพความผิดแบบเต็มตีนเตี่ย และอาจจะพาลคิดไปถึงอนาคตอันใกล้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นับจากวันนั้นเขาเป็นสำรอง 1 ครั้ง แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ไม่เคยได้ลงสนามให้ทีมอีกเลย...........
ปีนั้น ลิเวอร์พูล เดินหน้าสู่นัดชิงด้วยการใช้นายประตูสลับไปมา ซึ่งปกติแล้ว "ตำรา" เค้าไม่มีใครทำกัน
ซิมง มินโญเลต์ กับ คาริอุส ชิงตำแหน่งกันจนแทบจะเล่นกันคนละนัด สลับกันลงคนละเกม ก่อนที่ คาริอุส จะรันยาวจากการผิดพลาดของ มินโญเลต์ แต่แล้ว คาริอุส ก็มาพลาดในเกมที่"ชัดกว่า" จนหมดอนาคต
เจ้าตัวอาจจะมาบอกตอนหลังว่า โดนอัดจนเกิดอาการมึนศีรษะหรือ คอนคัสชั่น แต่หลายบอกว่า นั่นคือ"คำแก้ต่าง"ก็เท่านั้นเอง
ความผิดพลาด และความผิดหวังครั้งนั้น ทำให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ จำเป็นต้องทุบคลังทำสถิติโลกในการซื้อ อลิสซอน เบ๊คเกอร์ เข้ามาเป็นด่านสุดท้าย ก่อนจะมีส่วนสำคัญให้ทีมปีนสู่ความสำเร็จบิ๊กเอียร์สมัยที่ 6 ในซีซั่นต่อมา
ลิเวอร์พูล มาได้แชมป์ที่มาดริด ได้แชมป์ที่เมืองของเรอัล มาดริด แม้ว่าสนามจะเป็นของแอตเลติโก มาดริด ก็ตามที
นาทีนี้ทั้งคู่จะต้องลงสู้กัน แต่ดีกรีความเข้มข้นอาจจะลดลงไปขีดสองขีด เมื่อ เซร์คิโอ รามอส ดันมาเจ็บซ้ำอดได้บดล้างตากับ ซาลาห์
แต่มันไม่ได้ทำให้ความสำคัญเกมนี้หายไปแม้แต่น้อย.......
*********************
ซีเนดีน ซีดาน เคยแผลงฤทธิ์สยายผมนำทัพเป็นแชมป์รายการนี้ 3 ปีติดแบบที่ไม่เคยมีใครทำได้ในยุคแชมเปี้ยนส์ลีก เพราะขนาดป้องกันแชมป์ก็ไม่เคยมีใครทำได้เลย
ซีดาน ออกจากทีมไป และสุดท้ายต้องกลับมาเพื่อ"อุ้ม"ทีมที่เขาปั้นเอาไว้ ขุนศึกหลายคนยังเป็นชุดเดิม แต่สำคัญก็คือ แม่ทัพใหญ่ไม่อยู่แล้ว
คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ทิ้ง"หลุมดำ"ในเกมรุกเอาไว้ แม้ว่าจะหาทางแก้ด้วยการซื้อ เอแด็น อาซาร์ มาร่วมทัพ แต่ก็ยังไม่ค่อยตอบโจทย์ เนื่องจากเจ็บบ่อย ทำให้ มาร์โก้ อาเซนซิโอ ได้เดินเครื่องเป็นตัวจริง
ที่เหลือสลับลงมาและลงตัวที่ วินิซิอุส เป็นประเภทแล้วแต่อารมณ์ว่าจะเล่นได้ดี หรือจะเข้ากับพวกหรือไม่
สุดท้ายต้องพึ่ง คาริม เบนเซม่า ที่วูบไปพักนึง จนกลับมายิงได้เป็นกอบเป็นกำอีกครั้ง
ถามว่า มาดริดชุดนี้มีความต่างจาก"ชุดแรก"ของ ซีดาน แค่ไหน จริง ๆ ถ้าไล่รายชื่อแล้ว พวกเขาแทบไม่ต่าง แต่เรื่องเงื่อนไขเวลามันมีส่วน และมีตัวเลือกน้อยลง
ตัวใหม่ที่ไม่ใช่ชุดยิ่งใหญ่ก็คือ ติบอร์ กูร์กตัวส์, แฟร์ล็องด์ เมนดี้ และวินิซิอุส
เอาจริง ๆ คือ 3 ตำแหน่งเท่านั้น
นายประตูของเดิมคือ เกลอว์ นาบาส, แบ๊กซ้าย มาร์เซลโล่ เป็นสำรองมาเกือบ 2 ซีซั่นตามวัย ส่วน วินิซิอุส คือตำแหน่งหลุมดำของโด้
ดังนั้นความเข้าใจกันในเกมจึงไม่มีปัญหา โดยเฉพาะกองกลางอย่านึกว่า โทนี่ โครส กับ ลูก้า โมดริช จะหมดแรง อีกคนคือ กาเซมิโร่ ทุกวันนี้ยังสกัดหนักและแน่น แถมไม่ค่อยฟาวล์เหมือนเดิมด้วย
ประเด็นคือ ตัวสำรองของ เรอัล มาดริด ค่อนข้างจำกัดจำเขี่ย ไม่ได้โหดเหี้ยมเหมือนกับเมื่อก่อนหน้านี้
ซีดาน จึงจำเป็นต้องใช้ชุดเดิมอย่างต่อเนื่อง ยอดที่ลงสนามจึงมีนักบอลที่เล่นทะลุ 30 เกมไปแล้ว
กูร์กตัวส์ 38 นัด, โมดริช 37 นัด, โครส 36 นัด, ราฟาเอล วาราน 36 นัด, อาเซนซิโอ 35 นัด, กาเซมิโร่ 34 นัด, เมนดี้ 34 นัด และลูคัส บาสเกซ 32 นัด
ตำแหน่งที่เปลี่ยนมากในปีนี้คือ ปราการหลัง ที่มีปัญหาตัวเจ็บก็คือ รามอส ทำให้ นาโช่ ขึ้นมาเนตัวหลัก โดยมี เอแดร์ มิลิเตา เป็นตัวเสียบ แต่พอได้เสียบก็เฟอะฟะโดนไล่ออกต้องไปติดแบนจนได้เล่นไปแค่ 8 เกม
ขณะที่แบ๊กขวา คาร์บาฆาล เล่นได้แค่ 12 เกม ทำให้ บาสเกซ ต้องถอนจากปีกมาเล่นแบ๊ก ส่วน อัลบาโร่ โอดริโอโซล่า ก็มาเสียบแค่สี่ซ้าห้านัดเท่านั้นเอง
นี่คือปัญหาใหญ่ของ ซีดาน ที่มากกว่าตัวเลือกมีให้ใช้น้อย
ดังนั้น ลิเวอร์พูล ที่ได้พักและปรับทัศคติ ปรับจูนจิตใจนักบอลได้หลายคน ขอยกตัวอย่างคือ อลิสซอน เบ๊คเกอร์ กับการสูญเสียคุณพ่อแบบไม่ทันตั้งตัว และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่หลุดทีมชาติ
สมาธิต่าง ๆ การได้พักถึง 18 วัน น่าจะช่วยผ่อนคลายได้เยอะมาก ๆ และการขยับ ฟาบินโญ่ ยืนตรงกล้าได้เสริมศักยภาพให้ ธิอาโก้ อัลคันตาร่า ไปอีกทางด้วย
ผมเคยเขียนเอาไว้ในฐานะที่เป็นผู้บรรยายบุนเดสลีกา และบรรยาย บาเยิร์น เมื่อซีซั่นก่อนแทบจะทุกเกม ย้ำอีกครั้งว่า ธิอาโก้ ทำได้คือ"ตัวเคียง"ในแดนกลาง ไม่ใช่ "ตัวกลาง" อย่างที่หลายแห่งยกยอปอปั้นว่า พี่แกเล่นเหนือดุจเทวดา
เอาเข้าจริงให้นึกถึงเวลาไปกินข้าวต้มโต้รุ่ง.........ถ้ามีใครจ่ายเงินวางไว้ก่อนสัก 500 ที่เหลือพลิ้วเลย สบายใจตูมตาม
จุดสำคัญอีกครั้งก็คือ แดนกลางนี่แหละ เพราะใครที่คิดว่า โมดริช หมดพิษสง ผมเน้นเลยครับว่า ให้คิดใหม่ ยิ่งถ้า โครส สมบูรณ์กลับมา สองคนนี้ขึ้นซ้าย-ขวา และสับกลางโดย กาเซมิโร่ ยังไงก็คือชุดกองกลางที่ระดับท็อปของโลกทั้งนั้น
ฟาบินโญ่ ที่ต้องบดชิงตำแหน่งนี้ในทีมชาติบราซิล กับ กาเซมิโร่ โดยตรง นี่คือแมทช์ที่เขาจะได้พิสูจน์ตัวเองอย่างเต็มจัง
ที่แน่ ๆ ก็คือ ลิเวอร์พูล จะมีพื้นที่เล่นค่อนข้างน้อยในเกมรุก เพราะแบ๊กโฟร์มาดริด ไม่ค่อยเติม และจะปล่อยให้คู่แข่งได้ตั้งเกมจากแนวลึกของตัวเองไปก่อน เพรสไม่ได้เยอะ เพราะพลังกำลังของ 3 ห้องเครื่องไม่ได้เหมือนเดิม แต่อาศัยการคุมพื้นที่ และจ่ายทีเดียวตัดขั้วหัวใจ
โอซาน คาบัค กับ แนต ฟิลลิปส์ จะมีเวลาในการเซ็ตบอลในเกมรุก แต่ต้องระวังว่า คุณจะไม่มีเวลาแม้จะสูดลมหายใจ กับจังหวะลูกเปิดแบบได้เสียของ โครส
นี่คือบทพิสูจน์และเป็นบทที่ผมเชื่อว่ายังไงซะ เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็ต้องการที่จะ"ลบแค้น"
ยิ่งในรายของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิ่งกรุ่นอยู่ในใจ และยิ่งไม่มี รามอส เขาจะยิ่งเล่นได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ต้องกังวลและกดดันจนเกินไป
ย้ำอีกที สนามที่แข่งนี้ไม่ใช่ซานดิอาโก้ เบอร์นาเบว ที่ตอนนี้รอผู้รับเหมาส่งงานก่อน ไม่รู้ว่าแกจะส่งเมื่อไหร่ แต่ยืนยันว่า ยังไม่หนี
มาเล่นที่สนามซ้อมที่พวกเขาคุ้นเคย และทันสมัยกว่าหลาย ๆ สนามเหย้าของสโมสรอื่น
น่าสนุกดีตี 2 กับทีมที่กองหลังกระท่อนกระแท่นเหมือนกัน เพราะ รามอส กับ เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค ไม่ใช่หัวใจ
พวกนี้ระดับดูแลสุขภาพใจและตับไตไส้พุงของทีมอีกด้วย
#บีแหลมสิงห์
🔴ปล. "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ออกมาประกาศยืนยันว่า ราฟาเอล วาราน ปราการหลังคนสำคัญถูกตรวจพบเชื้อ COVID-19 ทำให้จะพลาดลงเล่นในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีม เลกแรก ที่จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล คืนนี้
โฆษณา