13 เม.ย. 2021 เวลา 04:00 • สุขภาพ
To-date Thinking vs To-go Thinking
To-date Thinking คือการคิดที่มองว่า เราได้ทำอะไรสำเร็จมาแล้วบ้างจนถึงปัจจุบัน เช่น ตอนนี้ทำโปรเจคไปแล้ว 40%
To-go Thinking คือการคิดว่า เหลืออีกเท่าไหร่ถึงจะบรรลุเป้าหมาย เช่น ตอนนี้เหลืออีก 60% กว่าจะเสร็จโปรเจค
งานวิจัยบอกว่า มุมมองแบบ To-go Thinking จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้ดีกว่า เพราะการคิดแบบแรกมันจะให้ความรู้สึกว่า เราประสบความสำเร็จบางส่วนแล้ว
เช่น ได้มีการทดลองว่า บอกนักศึกษาว่า เรียนจบไปแล้ว 48% กับ เหลือให้เรียนอีก 52% พบว่าแบบหลังนักศึกษาจะมีแรงจูงใจให้เรียนจนจบมากกว่า
คือเค้าอธิบายว่า พอเรารู้สึกว่าได้สำเร็จอะไรบางอย่างมาระดับนึงแล้ว เราก็จะ balance ตัวเองด้วยการไปทำงานอื่นที่รู้สึกว่ายังไม่สำเร็จ
สุดท้ายก็อาจจะทำให้ไม่เสร็จอะไรซักอย่าง
.
ถ้าจะออกแบบเกม ก็แนะนำว่า ลองเปลี่ยนมุมมองไปบอกผู้เล่นว่าเหลืออีกเท่าไหร่ที่เค้าต้องทำ มันจะจูงใจกว่า บอกว่าเค้าสำเร็จมาแล้วเท่าไหร่
น่าสนใจมาก
.
To-date Thinking มันดีตรงที่จะช่วยให้อุ่นใจ ให้สบายใจว่า ทุกวันนี้เราดีแล้ว [Being Good]
แต่ To-go Thinking จะช่วยให้เราเดินต่อพัฒนาไปข้างหน้า [Getting Better]
การคิดแบบ To-date Thinking ที่ดีคือไม่ใช่มองว่า จนถึงปัจจุบันเรา”สำเร็จ”อะไรบ้าง แต่ควรมองว่า จนถึงปัจจุบันเราได้ “เรียนรู้” อะไรบ้าง เพื่อที่จะได้รู้ว่าต้องเดินต่อยังไงให้ดี
.
เวลาฟังใครพูดอะไรก็สามารถใช้มุมมองนี้ไปจับดูได้ ว่าคนพูดเค้ากำลังพูดแบบ To-date หรือ To-go
เช่นเรื่องการอธิบายต่างๆเกี่ยวกับการจัดการโควิดในบ้านเรา จะเห็นว่าส่วนใหญ่จะเป็น To-Date ว่าทำดีแล้ว ทำมาเยอะแล้ว
วัคซีนที่เราเลือกมาดีแล้ว การจัดการเราดีแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะที่ผ่านมาเราไม่ระวังตัว
ก็เข้าใจว่าอยากให้คนไม่แตกตื่น แต่คนจะอุ่นใจกว่า ถ้ารู้ว่าทางที่จะเดินต่อไปมันมั่นใจได้ ไม่ใช่คำอธิบายว่าที่ผ่านมาโอเคแล้ว
.
ก็มาฟังเพลงกัน
สุขสันต์วันสงกรานต์นะครับ
โฆษณา