ดังนั้นผู้เขียนเห็นว่าในการศึกษาการเมืองการปกครองของแต่ละสังคม จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำมุมมองทั้งสองแบบ นั่นคือ “unilinear” และ “uniqueness” มาพิจารณาทำความเข้าใจ ขณะเดียวกัน ผู้เขียนเห็นว่า มีทฤษฎีเกี่ยวกับระบอบหรือรูปแบบการปกครองที่ช่วยให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ หรืออาการ “การแกว่งตัวไปมา” ในการเมืองการปกครองของสังคม ทฤษฎีที่ว่า นี้คือทฤษฎีระบอบการปกครองแบบผสม (the theory of the mixed constitution)13 และแม้ว่าทฤษฎีการปกครองแบบผสมจะถือกำเนิดขึ้นจากทฤษฎี การเมืองกรีกโบราณ แต่ก็ถูกมองว่ามีอิทธิพลจวบจนถึงการเมืองสมัยใหม่ ดังที่ Kurt von Fritz ได้อ้างว่า “ไม่มีส่วนใดในทฤษฎีการเมืองโบราณที่จะมีอิทธิพล ต่อทฤษฎีและภาคปฏิบัติทางการเมืองในยุคสมัยใหม่มากเท่ากับทฤษฎีรูปแบบ การปกครองแบบผสม (mixed constitution)”
ทฤษฎีการปกครองแบบผสมนี้มีรากฐานความคิดจากการพิจารณาจัดแบ่งตัวแบบหรือแบบอันบริสุทธิ์สมบูรณ์ (pure form) ของรูปแบบการปกครองออกเป็น 3 แบบ อันได้แก่ 1. รูปแบบการปกครองที่อำนาจทางการเมืองอยู่ที่คนๆเดียว (the One) 2. รูปแบบ การปกครองที่อำนาจทางการเมืองอยู่ที่กลุ่มคน (the Few) และ 3. รูปแบบ การปกครองที่อำนาจทางการเมืองอยู่ที่มหาชน (the Many)