21 เม.ย. 2021 เวลา 08:30 • กีฬา
ปรับตัวไม่ทันโลก เก่งแค่ไหนก็เหนื่อย ไม่เว้นแม้แต่วงการฟุตบอล ทำไมโชเซ่ มูรินโญ่ อัจฉริยะแห่งโลกลูกหนังถึงโดนสเปอร์สไล่ออก วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
3
เหตุผลที่โชเซ่ มูรินโญ่ โดนไล่ออกจากสเปอร์ส สรุปได้อย่างเรียบง่ายว่า "เขาไม่ทันยุคสมัยที่เปลี่ยนไป"
การตกยุคที่ว่า ไม่ใช่เรื่องในสนาม ถ้าว่ากันเรื่องแท็กติก มูรินโญ่ก็ยังเป็นอัจฉริยะ ความรู้เรื่องฟุตบอลหาตัวจับได้ยากมาก คู่แข่งใช้แผนแบบไหน เขารู้หมดว่าต้องใช้วิธีไหนในการเอาชนะ
แต่ความตกยุคของเขา เกิดขึ้นนอกสนาม โดยเฉพาะเรื่องการ "การดีลกับนักเตะ" ที่เขาไม่สามารถใช้วิธีเดิมๆ เอาชนะใจผู้เล่นในทีมได้อีกแล้ว
2
สิ่งที่มูรินโญ่ทำกับสเปอร์สในปี 2021 ไม่ได้ต่างอะไรเลย กับที่เขาเคยทำกับเชลซีในปี 2004 หรือกับเรอัล มาดริดในปี 2010 แต่เมื่อเวลาเดินหน้าไป แล้วคุณยังใช้ชุดทักษะที่มี โดยไม่ได้ปรับตัวตามโลกที่เปลี่ยนแปลง โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็เกิดขึ้นได้ยาก
4
เราจะค่อยๆไล่เรียงอย่างช้าๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมูรินโญ่ ทำไมเขาถึงล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงกับสเปอร์ส ทั้งๆที่ ตอนแรกถูกคาดหวังเอาไว้เยอะมากจริงๆ
1
ผู้จัดการทีมที่แฟนบอลสเปอร์สบูชามากที่สุดตลอดกาล มีชื่อว่าบิลล์ นิโคลสัน (1958-1974) กับผลงานมาสเตอร์พีซ พาทีมคว้าแชมป์ลีก 1 สมัย แชมป์เอฟเอคัพ 3 สมัย ยังไม่นับลีกคัพ, ยูฟ่า คัพ และ คัพวินเนอร์สคัพอีก
1
ส่วนคนที่แฟนสเปอร์สบูชารองลงมาอันดับ 2 คือเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ (2014-2019) ที่นำพาสเปอร์ส จากทีมที่ไม่มีทรง ให้กลับมาเป็นยอดทีมของอังกฤษอีกครั้ง
1
สเปอร์สในซีซั่น 2013-14 ใช้กุนซือสองคน คืออันเดร วิลลาส-โบอาส กับ ทิม เชอร์วู้ด แต่ไม่มีใครฝีมือถึงเลยสักคน ทำให้แดเนียล เลวี่ ต้องไปดึงโปเช็ตติโน่มาจากเซาธ์แฮมป์ตัน เพื่อเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ตั้งแต่ฤดูกาล 2014-15 เป็นต้นไป
โปเช็ตติโน่ ยกระดับสเปอร์สให้แกร่งขึ้นอย่างน่าตกใจ เขาปลุกปั้นแฮร์รี่ เคน ให้ยืนเป็นกองหน้าตัวจริง แทนที่จะยึดมั่นกับหัวหอกค่าตัวแพงอย่างโรแบร์โต้ โซลดาโด้ รวมถึงให้โอกาสดาวรุ่งทั้งเดเล่ อัลลี่ และ เอริค ดายเออร์ จนกลายเป็นสตาร์ทีมชาติอังกฤษทั้งสองคน
1
รวมไปถึงทักษะการเจียระไน นักเตะที่ดีอยู่แล้ว ให้กลายเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม อย่างซน ฮึง-มิน ตอนอยู่บุนเดสลีกา ก็เก่งระดับหนึ่ง แต่พอย้ายมาสเปอร์ส ซน เลเวลอัพจนกลายเป็นผู้เล่นเกรดเอ
4
โปเช็ตติโน่พาสเปอร์สเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ในปี 2019 โอเคว่า ไม่สามารถไปถึงแชมป์ได้ แต่นี่ก็เป็นย่างก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ตั้งแต่สโมสรเคยก่อตั้งมาแล้ว
ทุกอย่างดูเหมือนจะดีไปหมด อย่างไรก็ตามปัญหาของโปเช็ตติโน่คือ เขาอยู่กับทีมมา 5 ซีซั่นเต็มๆ แต่ไม่มีโทรฟี่แม้แต่ใบเดียว นั่นจึงทำให้เกิดคำถามว่า หรือโปเช็ตติโน่ จะทำทีมมาได้สุดทางแล้วหรือเปล่า ในสเต็ปต่อไป หากทีมอยากจะก้าวหน้าเป็นแชมป์อะไรจริงๆจังๆ ควรเปลี่ยนโค้ชมาใช้คนที่เก๋ากว่านี้หรือไม่
5
ออกสตาร์ตซีซั่นที่ 6 ของตัวเอง (2019-20) โปเช็ตติโน่ พาสเปอร์สฟอร์มหลุดไปอย่างดื้อๆ 12 เกมแรก อยู่อันดับ 14 ของพรีเมียร์ลีก กับผลงานไม่ชนะใคร 5 เกมติดต่อกัน จริงๆแล้ว การฟอร์มสะดุดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกทีม กรณีของสเปอร์สใครๆก็เชื่อว่า พอตั้งสติได้เดี๋ยวโปเช็ตติโน่ก็พาทีมคัมแบ็กกลับมาเอง แต่ฝั่งผู้บริหารไม่คิดแบบนั้น แดเนียล เลวี่ มองว่าเวลาของโปเช็ตติโน่หมดแล้ว
3
นั่นทำให้ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2019 ด้วยความที่ไม่มีใครเชื่อ สเปอร์สไล่โปเช็ตติโน่ออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความอาลัยของนักเตะในทีม แต่แดเนียล เลวี่ คิดแผนไว้หมดแล้ว เพราะคนที่จะมาเสียบแทนโปเช็ตติโน่ คือคนที่มีดีกรีเหนือกว่ากัน นั่นคือโชเซ่ มูรินโญ่
7
ในขณะที่โปเช็ตติโน่ไม่เคยได้แชมป์อะไรเลย แต่มูรินโญ่คว้าแชมป์เป็นว่าเล่นทั้งแชมป์ลีก และแชมป์ยุโรป นี่คือ Serial Winner ผู้เสพติดแชมเปี้ยนตัวจริง
3
ในภาพรวม มูรินโญ่เป็นคนที่ตอบโจทย์ของสเปอร์สที่สุด ทันทีที่ย้ายมามูรินโญ่ส่งเสริมให้ทีมมี Global Image หรือภาพลักษณ์ของทีมระดับโลก คุณจะเกลียดหรือจะรักมูรินโญ่ก็แล้วแต่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือคนที่มีคาแรคเตอร์โดดเด่นมาก
5
ทีมที่มูรินโญ่เลือกคุมแต่ละทีม คือทีมระดับท็อปของวงการทั้งสิ้น แปลว่าเมื่อสเปอร์สได้ตัวมูรินโญ่ ก็พอจะขยับตัวเองให้ขึ้นไปอยู่ในเลเวลของทีมซูเปอร์สตาร์ได้เหมือนกัน
1
การปลดโปเช็ตติโน่ที่แฟนๆรักนั้น ทำได้ไม่ง่ายหรอก แฟนๆไม่ยอมแน่ แต่ถ้ามีคนที่ดีกรีเหนือกว่าก็อาจเป็นอีกเรื่อง ซึ่งมูรินโญ่ช่วยเคลียร์จุดนี้ให้แดเนียล เลวี่อย่างสบายๆเลย
2
ผลงานปีแรกของมูรินโญ่ (2019-20) ก็นับว่าไม่เลวนัก ในเงื่อนไขที่ไม่ง่ายเพราะหัวหอกตัวหลัก แฮร์รี่ เคนได้รับบาดเจ็บยาว แต่มูรินโญ่ก็ยังประคับประคอง จากทีมอันดับ 14 ไต่ๆมาเรื่อยๆ จนจบอันดับ 6 คว้าโควต้ายูฟ่า ยูโรป้าลีก ได้สำเร็จ
3
จากนั้นในซีซั่นสอง (2020-21) ผู้บริหาร ก็แสดงการสนับสนุนมูรินโญ่เต็มที่ ลองคิดดูว่าช่วงโควิด ทีมไหนๆ ก็เก็บเงินสดทั้งนั้น ไม่มีใครอยากใช้เงิน แต่สเปอร์ส ซื้อนักเตะหลายตัวเข้ามาให้มูรินโญ่ใช้งาน เช่น ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก, แมตต์ โดเฮอร์ตี้, เซร์คิโอ เรกีลอน และ โจ โรดอน เป็นต้น ยังไม่รวมที่ยืมตัว แกเร็ธ เบล กลับมาจากเรอัล มาดริด และ คาร์ลอส วินิซิอุส มาจากเบนฟิก้าอีก
3
โอเคว่า ขาดตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก 1 คน ที่มูรินโญ่ต้องการ เช่นรูเบน ดิอาส ที่เล็งไว้นานแล้ว แต่ในภาพรวม ก็ถือว่าทีมลงทุนไม่น้อย เซ็นเตอร์แบ็กเมื่อไม่ได้ตัวใหม่ ก็ใช้ตัวที่มี อย่างโทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, เอริค ดายเออร์ และ ดาวินซอน ซานเชซ ไปก่อนก็ได้
3
อย่างไรก็ตาม ในซีซั่นที่สองนี่เอง ที่บรรยากาศในทีม เริ่มไม่ค่อยเป็นใจให้มูรินโญ่มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนักเตะในทีมเริ่มมีอาการกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจ เรื่องรูปแบบการซ้อม ที่แตกต่างจากยุคโปเช็ตติโน่อย่างสิ้นเชิง
2
ในยุคโปเชตติโน่ สเปอร์สจะเล่นด้วยแผนเดียว นั่นคือ Build Up ขึ้นมาจากแดนหลัง จากนั้นพอคู่แข่งได้บอล แบ็กโฟร์จะดันสูงเล่น High Block ส่วนกองหน้าจะเพรสซิ่งช่วยไล่แย่ง บอล คือไม่ว่าเจอใครก็เล่นแผนนี้
5
แนวคิดของโปเช็ตติโน่คือ ฝึกฝนแผนเดียวของตัวเองให้ดีที่สุดไปเลย จะเจอทีมไหน ก็ใช้แผนนี้เข้าลุย ถ้าทีมแกร่งกว่าก็ชนะคู่แข่งได้เอง
แต่ไอเดียการทำทีมของมูรินโญ่นั้นต่างออกไป เขาปรับทีมตามแต่คู่แข่งที่เจอ เมื่อเจอคู่แข่งทีมหนึ่ง ทีมจะใช้แผนนี้ แต่เมื่อเจออีกทีมก็จะใช้แผนนั้น ซึ่งนักเตะต้องใช้เวลาเรียนรู้เป็นวันๆ เพื่อให้เข้าใจในแท็กติกที่เปลี่ยนไปในแต่ละนัด
4
สมัยโปเช็ตติโน่นักเตะทุกคนต้องฟิต ดังนั้นจึงมีการฝึกหนักเป็นพิเศษ บางวันก็ซ้อม 2 รอบ และมีวันหยุดน้อยมาก แต่อย่างน้อยทุกคนก็รู้ว่าทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร แต่ยุคมูรินโญ่ นักเตะบ่นอุบว่าทีมซ้อมน้อยเกินไป เพราะเอาเวลาไปศึกษาแผนของคู่แข่ง ซึ่งนักเตะมองว่า ควรสนใจว่าตัวเองจะเล่นยังไง ดีกว่าไปโฟกัสว่าคู่แข่งจะมาแผนไหน
3
ตามปกติ เมื่อนักเตะในทีมเริ่มมีความไม่พอใจ ในหลักของฟุตบอล จะมีตำแหน่ง "ผู้ช่วยผู้จัดการทีม" ที่ทำหน้าที่เป็นกันชน ระหว่างนักเตะกับผู้จัดการทีม
ตำแหน่งนี้ จะเป็นคนคอยรายงานปัญหาของนักเตะให้ผู้จัดการทีมรู้ และจะเป็นคนคาบข่าวบางอย่างจากผู้จัดการทีม เอามาเล่าให้นักเตะฟัง ทีมไหนจะประสบความสำเร็จได้ต้องมีผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่เก่ง เพราะนี่คือตำแหน่งที่มีความสำคัญมาก ต่อสมดุลของสโมสร
4
ในอดีตตั้งแต่คุมปอร์โต้ ไปเชลซี อินเตอร์ มิลาน เรอัล มาดริด เชลซีรอบสอง และแมนฯ ยูไนเต็ด มูรินโญ่จะใช้ผู้ช่วยคนเดียวเสมอ นั่นคือรุย ฟาเรีย นี่คือบุคลากรที่มีทักษะในการ "เชื่อมสัมพันธ์" กับนักเตะที่เก่งกาจมากๆ
2
แต่ตอนมูรินโญ่โดนไล่ออกจากแมนฯยูไนเต็ด ฟาเรียแจ้งว่า เขาอยากจะลองเป็นผู้จัดการทีมเองดูสักครั้ง จึงไปรับงานคุมทีม อัล ดูฮาอิล ที่กาตาร์ นั่นทำให้มูรินโญ่ต้องไปหาตัวแทนของฟาเรีย ก่อนจะไปเจอดาวรุ่งชาวโปรตุเกสที่ชื่อ ชูเอา ซาคราเมนโต้ นักวิเคราะห์เกม วัย 30 ปี
1
ซาคราเมนโต้ มีพรสวรรค์เรื่องแท็กติกก็จริง แต่ประสบการณ์เขายังน้อยมาก เขาเป็นแมวมองที่โมนาโก 3 ปี และเป็นผู้ช่วยที่ลิลล์อีก 2 ปี การมารับงานที่สเปอร์ส เป็นย่างก้าวที่ใหญ่มากๆ และเขาเองก็ไม่มีประสบการณ์ในการช่วยดีลกับซูเปอร์สตาร์มาก่อนเลย
2
ซาคราเมนโต้ ไม่สามารถสนิทสนมกับกลุ่มนักเตะได้ กลายเป็นว่า เขาไม่สามารถแบ่งเบาแรงกดดันของมูรินโญ่ได้ เวลาซาคราเมนโต้พูดอะไร นักเตะก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง คราวนี้กลายเป็นว่าช่องว่างระหว่าง นักเตะกับผู้จัดการทีม ยิ่งค่อยๆขยายกว้างขึ้น โดยไม่มีใครมาช่วยทำให้บรรยากาศดีขึ้นเลย
1
เรื่องแท็กติกและการซ้อมก็ประเด็นหนึ่ง แต่เรื่องที่ผลักดันให้ทุกอย่างมันแย่ลง คือ "คำพูด" ของมูรินโญ่ ที่ปกป้องทีมน้อยมาก และเขาไม่ลังเลใจที่จะตำหนิลูกทีมตัวเองผ่านสื่อ
1
การตำหนิทีมตัวเอง เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ตั้งใจเล่น เป็นกลยุทธ์ ที่มูรินโญ่ใช้มาตลอด และมันได้ผลดีมากตั้งแต่ยุคที่เขาคุมเชลซี และมันเคยได้ผลตอนคุมเรอัล มาดริด
3
ตัวอย่างเช่นในเดือนสิงหาคม 2005 เขาเคยตำหนิริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ว่า "คาร์วัลโญ่ดูจะมีปัญหาเหลือเกินเรื่องความเข้าใจ บางทีเขาอาจต้องไปสอบวัดไอคิว หรือไม่ก็ไปตรวจสภาพจิตที่โรงพยาบาลหน่อย" ซึ่งพอโดนด่า คาร์วัลโญ่มีฮึด และตั้งใจซ้อมหนักกว่าเดิม ก่อนพาทีมคว้าแชมป์ลีกในซีซั่นนั้นได้อย่างสวยงาม
1
หรือในช่วงที่เขาคุมเรอัล มาดริด มูรินโญ่ก็ไม่ลังเลใจที่จะตำหนิซูเปอร์สตาร์อย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้ โดยลูก้า โมดริชเล่าว่า "ตอนนั้นเรานำคู่แข่งในบอลโกปา เดลเรย์ 2-0 แต่มูรินโญ่ด่าคริสเตียโน่กลางสนามเลยที่ไม่ยอมวิ่งไล่บอล ผมเห็นทั้งคู่เถียงกันหนักมากข้างสนาม จากนั้นกลับเข้าห้องแต่งตัวคริสเตียโน่น้ำตาไหลเลย เขาบอกกับผมว่า เขาทำดีที่สุดแล้ว แต่โค้ชก็ยังด่าไม่หยุดอยู่อย่างนั้น"
5
เราแทบไม่เห็นโค้ชคนไหนจะกล้าตำหนิโรนัลโด้กลางสาธารณชนแบบนั้น แต่ก็มีมูรินโญ่นี่แหละ ที่ด่ากลางสนามเลย แต่สุดท้าย มันอาจเป็นแรงผลักดันส่วนหนึ่ง ที่ส่งเสริมให้โรนัลโด้กลายเป็นสุดยอดนักเตะที่ยิงประตูกระจุยในช่วงอยู่เรอัล มาดริดก็ได้
9
โอเค เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นจริง แต่จุดสำคัญคือ เรื่องราวเหล่านั้นมันผ่านมา 10 กว่าปีมาแล้ว ในยุคนี้ เด็กสมัยนี้ ไม่เชื่อเรื่องการใช้คำตำหนิเพื่อเป็นแรงจูงใจอีกแล้ว
5
แจ๊ค พิตต์-บรูค นักข่าวสายสเปอร์ส รายงานว่า "กับเดโก้, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่, จอห์น เทอร์รี่, แฟรงค์ แลมพาร์ด, เวสลีย์ สไนจ์เดอร์ และ ดีเอโก้ มิลิโต้ มูรินโญ่สามารถใช้วิธีการนี้ได้ผล แต่กับเด็กยุคมิลเลนเนียลส์ และ เด็ก Gen Z พวกเขาไม่พร้อมจะทนกับวิธีการโดนตำหนิแบบนี้"
5
โค้ชรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อกล่าวว่า "ผมชอบโชเซ่นะ แต่เขาไม่สามารถเชื่อมต่อตัวเองกับนักเตะในเจเนเรชั่นใหม่ได้ เขายังยึดมั่นกับวิธีการเดิมๆของตัวเองอยู่"
ถามว่าการตำหนิลูกทีมผ่านสื่อ มันได้ผลไหม คำตอบคือบางครั้งก็ได้ผลอยู่
ตัวอย่างเช่น ในฤดูกาล 2019-20 เอริค ดายเออร์ โดนแบนในช่วงท้ายซีซั่น แต่พ้นโทษในเกมนัดสุดท้ายที่จะเจอกับคริสตัล พาเลซทันที ซึ่งระหว่างการซ้อมก่อนแข่งไม่กี่วัน มูรินโญ่เดินมาหาดายเออร์แล้วบอกว่า "นายซ้อมไม่ได้เรื่องเลย ในช่วงที่โดนแบนไป ถามจริงๆว่าอยากจะลงเล่นในเกมสุดสัปดาห์นี้ไหม?" จากนั้นก็เดินหนีไปเลย ซึ่งดายเออร์กล่าวว่า การโดนตำหนิเป็นแรงกระตุ้นให้เขาตั้งใจซ้อมมากขึ้น ก่อนจุดท้ายจะได้ลงเล่นในเกมกับคริสตัล พาเลซ และเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมมาก
7
หรือในเกมซีซั่นที่แล้ว ที่สเปอร์สเจอเบิร์นลีย์ เกมนั้นมูรินโญ่ใช้กองกลางสองคนยืนคู่กัน คือตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่ กับ ดาวรุ่ง โอลิเวอร์ สคิป วัย 19 ปี ในครึ่งแรก สเปอร์สโดนเบิร์นลีย์นำ 1-0 พอพักครึ่งปั๊บ มูรินโญ่ถอดทั้งเอ็นดอมเบเล่ กับ สคิป ออกไปเลย ก่อนจะให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่า "ในครึ่งแรกเราไม่มีมิดฟิลด์ในสนาม แน่นอน ผมไม่ได้หมายถึงสคิป เพราะนั่นเป็นเด็กอายุ 19 ผมว่าเขาไม่ได้หรอก แต่ผมหมายถึงเอ็นดอมเบเล่"
3
"ผมรู้ว่าพรีเมียร์ลีก มันมีความยาก และนักเตะบางคนต้องใช้เวลาปรับตัวเยอะกับลีกใหม่ แต่ถ้าคุณเป็นคนเก่งจริง คุณต้องสร้างประโยชน์ให้ทีมมากกว่านี้"
2
เมื่อโดนตำหนิไปแรงๆ เอ็นดอมเบเล่ ก็มุ่งมั่นกับการฝึกซ้อมมาก และมีสภาพความฟิตที่ดีขึ้น ระดับการเล่นก็ถือว่าพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจนด้วย
1
หรืออีกเคส ในวันที่ 30 ตุลาคม 2019 เกมยูโรป้าลีก รอบแบ่งกลุ่ม สเปอร์ส เจอรอยัล อันเวิร์ป จากเบลเยี่ยม จบครึ่งแรกสเปอร์สโดนนำ 1-0 มูรินโญ่เปลี่ยน 4 คนออกพร้อมกันตอนพักครึ่ง ได้แก่ สตีเว่น เบิร์กไวน์, โจวานนี่ โล เซลโซ่, เดเล่ อัลลี่ และ คาร์ลอส วินิซิอุส
1
จบเกมมูรินโญ่แขวะนักเตะกลุ่มที่โดนเปลี่ยนตัวออกไป โดยกล่าวว่าต่อไปนี้การจัดตัวของเขาคงจะง่ายมากขึ้นเยอะ เพราะรู้แล้วว่าใครพร้อมเป็นตัวจริงได้ ใครที่เล่นได้แค่ตัวสำรอง
เมื่อโดนแซะแบบนั้น นักเตะชุดตัวสำรอง ก็ตั้งใจเล่นมากขึ้น และไม่แพ้ใครอีกเลย ในอีก 4 เกมที่เหลือของรอบแบ่งกลุ่มของยูโรป้าลีก ก่อนจะเดินหน้าคว้าแชมป์กลุ่ม J ไปแบบสวยๆ
1
แต่ประเด็นคือ ไม่ใช่นักเตะทุกคนที่จะรับคำตำหนิผ่านสื่อได้ ในยุคปัจจุบันโค้ชระดับโลกคนอื่น อย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือเจอร์เก้น คล็อปป์ จะปกป้องลูกทีมตัวเองผ่านสื่อเสมอ ส่วนการตำหนินั้น ก็คงไปเคลียร์กันหลังไมค์ ไม่มาออกสื่อโต้งๆแบบนี้ เพราะมันมีโอกาสที่จะทำให้ผิดใจกันได้
2
ธรรมชาติของมนุษย์ ไม่มีใครในโลกอยากโดนทำให้อับอายต่อหน้าคนทั้งโลกหรอก ถ้าเป็นนักเตะยุคก่อน อาจอดทนไว้แล้วมองว่า เราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้โค้ชเห็นสิ แต่เด็กยุคนี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องฉีกหน้ากันแบบนั้น
6
มูรินโญ่ วิจารณ์นักเตะทีมตัวเองเสมอ ยกตัวอย่างเช่น ในวันที่ 13 ธันวาคม เกมเสมอคริสตัล พาเลซ 1-1 ที่เซลเฮิร์ส พาร์ก ครึ่งแรกสเปอร์สนำ 1-0 จากแฮร์รี่ เคน แต่สุดท้ายมาโดนตีเสมอท้ายเกมจากจังหวะฟรีคิก พาเลซโยนบอมบ์เข้าไป ก่อนที่เจฟฟรีย์ ชลุปป์ จะซัดหาย จบเกมเลยเจ๊ากันไปแบบที่สเปอร์สเล่นดีกว่าเยอะ
1
จบเกมปั๊บ ก็ไม่ต้องเดาว่ามูรินโญ่จะโทษใคร "ผมบอกนักเตะแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ผมบอกนักเตะไปแล้วว่าอย่าปล่อยให้เกิดสถานการณ์นี้เกิดขึ้น (เสียฟรีคิกใกล้เขตโทษ) แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ นักเตะไม่ทำตามในสิ่งที่ผมขอให้ทำ"
1
สิ่งที่สะท้อนในประโยคนี้คือ เขาวางแผนถูกทุกอย่างแล้ว แต่เพราะนักเตะเองนั่นแหละ ที่ทำไม่ได้ อย่างที่เขาสั่งเอง
หลังจากเกมพาเลซมา ทีมจะแพ้ จะชนะ มูรินโญ่จะตำหนิผู้เล่นในทีมตลอด 23 ตุลาคม 2020 เกมลีกคัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ระหว่างเกมมีช็อตที่เดเล่ อัลลี่ ทำบอลเสีย จนโดนสโต๊คยิง แต่สุดท้ายสเปอร์สก็คัมแบ็กกลับมาชนะ 3-1 เข้ารอบได้อยู่ดี
3
หลังจบเกม มูรินโญ่ให้สัมภาษณ์ว่า "สำหรับผม ผู้เล่นที่เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุก คุณต้องสร้างปัญหาให้คู่แข่ง ไม่ใช่คอยสร้างปัญหาให้ทีมตัวเอง" คือถ้าเป็นผู้จัดการทีมคนอื่น ทีมชนะแล้ว ก็คงจะร่วมเอ็นจอยไปกับทีม แต่มูรินโญ่ไม่ใช่แบบนั้น เขาตำหนิทุกอย่างที่เขามองว่า มันยังไม่เพอร์เฟ็กต์พอ
3
จากนั้นวันที่ 27 ตุลาคม สเปอร์สเสมอวูล์ฟแฮมป์ตัน 1-1 แต่ความน่าเจ็บใจคือมาโดนยิงนาที 86 ทีมจะชนะอยู่แล้ว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น หลังจบเกมมูรินโญ่ด่าลูกทีมแหลกตามเคย "พวกเขารู้อยู่แล้วว่าผมสั่งให้ทำอะไรตอนพักครึ่ง ถ้าพวกเขาทำไม่ได้อย่างที่ผมบอก นั่นก็เพราะความสามารถพวกเขามีแค่นั้น"
6
ในทีมสเปอร์สมีกลุ่มนักเตะที่เข้าใจวิธีการของมูรินโญ่ดี ตัวอย่างเช่น แฮร์รี่ เคน ที่มีความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก เช่นเดียวกับ ลูคัส มูร่า และ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก ที่เคยอยู่กับองค์กรใหญ่อย่าง เปแอสเช กับ บาเยิร์น มิวนิค มาแล้ว แต่กับนักเตะคนอื่น นำโดยเดเล่ อัลลี่ และ แฮร์รี่ วิงค์ส เป็นลักษณะต่อต้าน ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง
2
จุดแตกหักสำคัญที่สุด เกิดขึ้นในยูโรป้าลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายเลกที่ 2 ที่สเปอร์สไปเยือนดินาโม ซาเกร็บ โดยจริงๆในเลกแรก สเปอร์สชนะมา 2-0 พอเข้าเลก 2 ก็ควรปิดจ๊อบง่ายๆ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
2
ในขณะที่ท็อปโฟร์ของสเปอร์สอาจลุ้นยาก แต่พวกเขามีทางลัด ในการไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก คือแชมป์ยูโรป้าลีก ซึ่งมูรินโญ่เคยได้แชมป์ถ้วยใบนี้มาแล้ว 2 ครั้ง ทำไมเขาจะทำครั้งที่ 3 ไม่ได้
1
แต่ปัญหาก็คือ นักเตะหลายคน ไม่ทำตามแท็กติกที่วางไว้ ก่อนเกมมูรินโญ่กำชับแล้ว กำชับอีก ว่าตัวอันตรายที่สุดของดินาโม ซาเกร็บ คือ มีสลาฟ ออร์ซิช เพลย์เมกเกอร์วัย 28 ปี ชาวโครเอเชีย สุดท้ายสเปอร์สโดนออร์ซิช ยิงแฮตทริก แพ้ 3-0 ตกรอบยูโรป้าลีกไปเฉยเลย
1
สิ่งที่เห็นคือบุคลิกของมูรินโญ่ ส่งผลให้เกิดรอยร้าวภายในสโมสร คือมีการแบ่งฝ่าย ออกเป็นกลุ่มที่ซัพพอร์ทโค้ช กับกลุ่มที่ต่อต้านโค้ช บรรยากาศในทีม ขาดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จนทำให้อูโก้ โยริส กัปตันทีม ที่ปกติจะระมัดระวังคำพูดมากๆ ถึงกับออกมาให้สัมภาษณ์ว่า
2
"ไม่ว่าผู้จัดการทีมจะวางแผนอย่างไร คุณต้องทำตาม นั่นคือแนวทางของนักฟุตบอลอาชีพ แต่ถ้าคุณเลือกจะตอบสนองเฉพาะเวลาที่คุณได้เป็น 11 ตัวจริง นั่นจะสร้างปัญหาใหญ่ให้เกิดขึ้นกับทีมแน่ๆ อย่าลืมว่าสโมสรจ่ายเงินเรา ให้เราทำหน้าที่ ในอดีตเราเคยมีโมเมนต์ยิ่งใหญ่มากมาย เพราะเราเชื่อใจกัน และมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่ในวันนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเรามีความสามัคคีกันอยู่หรือเปล่า"
5
ลองนึกภาพสเปอร์ส ในซีซั่น 2018-19 พวกเขาโค่นแมนฯซิตี้ ที่แข็งแกร่งกว่าได้อย่างสวยงาม และแม้จะโดนอาแจ๊กซ์ขึ้นนำจนเกือบจะตกรอบ แต่ก็ไม่ยอมตาย พลิกกลับมาเข้ารอบได้สำเร็จ สิ่งเหล่านี้เกิดจากความเชื่อใจกันและกัน ซึ่งบรรยากาศนั้น ขาดหายไปจากสเปอร์สในช่วงหลัง
1
ถ้าถามว่าผลงานของสเปอร์สแย่มากไหม คำตอบคือ ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ท็อปโฟร์ก็ยังมีโอกาส แถมยังเข้าชิงคาราบาวคัพอีก อาจจะเป็นโทรฟี่แรกของสโมสรในรอบหลายปี แต่สิ่งที่มูรินโญ่สร้างไว้ มันหนักหนากว่า นั่นคือทำลายบรรยากาศอบอุ่นของสโมสร ให้มีรอยร้าว
3
นักเตะแบ่งฝักแบ่งฝ่าย นักเตะบางคนไม่คุยกับสตาฟฟ์ นักเตะบางคนเช่นแมตต์ โดเฮอร์ตี้ ความมั่นใจแตกสลายไปแล้วหลังจากโดนโค้ชตำหนิ จนสโมสรต้องขอร้องให้มูรินโญ่หยุดด่านักเตะทีมตัวเองเสียที คือต้องเริ่มสร้างความรู้สึกดีๆ ให้คืนมาก่อนทีละนิด
4
อย่างไรก็ตาม กว่าที่มูรินโญ่จะรู้ตัว และไม่วิจารณ์ทีมตัวเองแล้ว ก็ต้องรอจนถึงหลังเกมที่แพ้แมนฯยูไนเต็ด 3-1 แต่ ณ จุดนั้น มันก็สายเกินไปแล้ว แดเนียล เลวี่ ยอมรับความจริงว่า มูรินโญ่ ไม่ใช่คำตอบของสเปอร์สที่พวกเขารอคอย และนำมาสู่การไล่ออกในที่สุด
1
สิ่งที่เกิดขึ้นกับมูรินโญ่ ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับที่สเปอร์ส มีความคล้ายคลึงกัน นั่นคือ เขาไม่สามารถทำให้นักเตะในทีม "เล่นเพื่อเขา" แบบหมดหัวใจได้
3
ไม่เหมือนกับปอร์โต้ ไม่เหมือนกับเชลซีรอบแรก และไม่เหมือนกับตอนคุมอินเตอร์ มิลาน ที่มูรินโญ่พูดอะไรก็เป็นประกาศิตเสมอ พูดตำหนินักเตะ นักเตะไม่โกรธโค้ชแต่กลับสู้ยิบตาเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าที่พูดไปมันผิด
1
ยุคสมัยเปลี่ยนไป นิสัยของนักเตะก็เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันน้อยคนนักจะยอมทนการโดนฉีกหน้าผ่านสื่อได้ สิ่งที่เราเห็นคือกลยุทธ์ของมูรินโญ่ที่ได้ผลมาตลอด มันไม่ได้ผลอีกแล้ว และศึกครั้งนี้ เขาแพ้ราบคาบ ผลงานในสนามก็ไม่ดี ซื้อใจนักเตะทีมตัวเองก็ไม่ได้
6
ปัจจุบันมูรินโญ่อายุ 58 ปี อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายในอาชีพผู้จัดการทีมแล้ว อาจจะมีข้อเสนอจากทีมใหญ่อีกสัก 1 ครั้งในอนาคต ซึ่งถ้าโอกาสมาถึงเมื่อไหร่ มูรินโญ่อาจต้องยอมรับการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ที่สเปอร์สเกิดซ้ำอีก
2
ในโลกธุรกิจ สินค้าใดๆ ที่ไม่ปรับตัวตามโลก ก็มีแต่จะสูญหายไปตามกาลเวลา โนเกีย แบล็คเบอร์รี่ โกดัก เคยขายดีที่สุด แต่วันนี้ไม่เหลือตัวตน
2
สำหรับคนทำงานก็เช่นกัน วิธีการที่เคยสำเร็จในอดีต ไม่ได้แปลว่าในปัจจุบันมันจะได้ผลด้วย ดังนั้นเราจึงต้องยอมเปลี่ยนบางอย่าง เพื่อให้ทันกับโลกที่พัฒนาไปข้างหน้า
3
เพราะในปี 2021 ความจริงวันนี้ก็คือ การปรับตัวไม่ใช่ทางเลือก แต่มันคือทางรอด
4
#Mourinho
โฆษณา