25 เม.ย. 2021 เวลา 02:50 • นิยาย เรื่องสั้น
"ไอ้หนุ่มช่วยพิมพ์ข้อความพวกนี้ให้ทีได้ไหม?"
ผมก้มลงมองข้อความบนกระดาษที่ชายแก่ยื่นส่งมาให้ เขาเป็นลูกค้าที่เคยมานั่งดื่มกาแฟที่ร้านนี้เป็นประจำ จนกระทั่งการมาของโควิดระลอกใหม่ ที่ทำให้ชายชราหายหน้าไปเป็นเดือน
"คนแก่ตาไม่ดี พิมพ์ยาวๆไม่ไหว"
"กวนเวลาทำงานของเอ็งรึป่าว?"
ผู้สูงอายุออกตัวเมื่อผมทำหน้างงๆ
"เอ่อ!.. ไม่ครับ"
"แหมลุงก็เห็น วันนี้ลูกค้าก็มีแต่ลุงนี่แหละ"
ผมยิ้มแห้งๆให้ลุงแต่ความจริงนั้นเพื่อปลอบใจตัวเอง
"แฮร่!..ไม่มีความลับอะไรใช่ไหมครับ?"
 
ผมแหย่ลุงแกเล่นๆ ชายแก่มองกลับมาแล้วยิ้ม
"โลกนี้มีอะไรที่เป็นความลับด้วยเหรอ?"
ผมยักไหล่แล้วยิ้มอีกครั้งให้กับความไร้เดียงสาของผู้สูงอายุคนนี้ จากนั้นเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ วางนิ้วลงบนโน๊ตบุ๊คที่วางข้างเครื่องเก็บเงิน แต่เมื่อเห็นข้อความที่เขียนเป็นจดหมายด้วยลายมือบรรจง ผมเหลือบตามองเชิงจะถามชายแก่อีกครั้ง
ชายชราพยักหน้านิดๆยิ้มกลับมา คล้ายกับระอาในความขี้กังวลของผม
ผมก้มลงพิมพ์ข้อความพวกนั้นลงบนหน้าจอ แม้ในใจจะมีคำถามและความรู้สึกมากมายที่ถูกข้อความในกระดาษแผ่นนั้นก่อกวนให้ฟุ้งขึ้นมาในใจ โดยเฉพาะความรู้สึกคิดถึงแม่ ที่ผมไม่ได้กลับไปเยี่ยมมาเกือบปีแล้ว
______________________
' ถึงลูกรัก ....
จากความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพในการควบคุมโควิด ตอนนี้สถานการณ์ของโรคแย่ขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผู้ป่วยสูงขึ้นทุกวัน เชื้อโรคกระจายไปในวงกว้าง โรงพยาบาลเริ่มจะไม่พอรองรับ ผู้ป่วยหลายคนจากไปภายหลังจากรับเชื้อไม่กี่วัน และไม่มีใครรับประกันได้เลยว่า..
พ่อจะไม่เป็นหนึ่งในนั้น
และถ้าวันนั้นมาถึง เราอาจจะไม่มีโอกาสได้ร่ำลากันอย่างจริงจัง พ่อมีเรื่องที่อยากจะบอกกับลูกหลายเรื่องและไม่อยากจะพลาดโอกาสนั้นไป
แต่ก่อน พ่อมักคิดว่าคนเรา เมื่อถึงที่สุดแล้วคือการอยู่เพียงลำพัง ทุกอย่างเราเป็นผู้ตัดสิน ยอมรับและเมื่อถึงเวลาหนึ่ง ก็จากไปเพียงลำพัง
1
แต่เมื่อมีลูก พ่อถึงได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่พ่อเชื่อมาตลอดนั้น เป็นสิ่งที่ผิดและได้แต่หวังว่า มันจะไม่สายจนเกินไป
ที่ผ่านมาพ่อขอยอมรับว่า พ่อเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน
เป็นความจริงที่พ่อขาดความกระตืนรือล้นในความทะยานอยาก และยินดีกับการกินอยู่แบบง่ายๆ ซึ่งอาจกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนักในการขวนขวายไขว่คว้าสิ่งต่างๆ
ซึ่งมันอาจทำให้ลูกเคยชินกับการขาดความกระตือรืนล้นในชีวิต
พ่อพยายามที่เปิดกว้างทางความคิด แต่นั่นก็อาจทำให้ลูกรู้สึกขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ คำว่า"อะไรก็ได้" หรือ "ก็แล้วแต่ (สถานการณ์)" อาจสร้างความหงุดหงิดใจให้ในหลายๆโอกาสยามที่ลูกๆต้องการคำตอบสำเร็จรูป
การเป็นคนชอบตั้งคำถามต่อคุณค่าของสิ่งต่างๆ
อาจทำให้ลูกมองทุกอย่างด้วยความเคลือบแคลง สงสัย และอาจดูกร้าวร้าวในบางครั้งกับหลายคนที่เชื่อมั่นในคุณค่าที่ลูกตั้งข้อสงสัย
การปฏิเสธความคิดที่แห่ตามๆกันไปในหลายเรื่องของพ่อ
ก็ทำให้ลูกของพ่อพลอยตกหล่นขบวนรถกระแสหลักในหลายๆคราว
การไม่ใช่คนขยัน พลอยทำให้ลูกๆขาดโอกาสในหลายเรื่อง บ้านอื่นอาจจะพาลูกไปท่องเที่ยวต่างประเทศ เข้าค่ายฤดูร้อน พาไปทำกิจกรรมอะไรมากมาย แต่บ้านเรากลับมีกิจกรรมเหล่านี้ไม่มากนัก นั่นจะคงเพราะความขี้เกียจของพ่อ (ซึ่งส่งผลถึงฐานะทางการเงินของเรา ที่ไม่สามารถใช้จ่ายได้ตามใจปรารถนา)
ที่เล่ามา เพราะอยากให้ลูกรู้ว่า พ่อตระหนักดีในความบกพร่องเหล่านี้และรู้ตัวว่า แม้ว่าจะทำเป็นหลงลืมเพียงใด แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การมีตัวตน(หรือไร้ตัวตน)ของพ่อ ก็มีผลในการเป็นตัวตนของลูก
เพราะการดำรงอยู่ของใครคนใดคนหนึ่งนั้นมีอิทธิพลต่อคนรอบข้าง โดยที่เจ้าตัวเองก็อาจไม่เคยสังเกตและไม่สนใจจะแก้ไข
1
หลายครั้งเมื่อเห็นบางอาการที่ลูกๆแสดงออกไปสู่คนภายนอก ก็ทำให้นึกย้อนว่า
"มันไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหนวะ?"
1
ข้อความนี้จึงอาจจะเป็นข้อแก้ตัวครั้งสุดท้ายของพ่อ ที่อยากจะให้ลูกได้เห็นและพิจารณาเลือกหยิบไปใช้
พ่อเชื่อว่าการยอมรับจุดอ่อน บางครั้งทำให้เราสามารถมีชีวิตที่เรียบง่ายขึ้น ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเสแสร้ง
การเรียนรู้จุดด้อยทำให้เราไม่ระเริงไปกับจุดเด่นที่หลายคนเชิดชู
การยอมรับข้อเสียทำให้เราเข้าใจในตนเอง อ่อนโยนขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น
1
ทุกคนมีจุดเปราะบาง
การมีตัวตนของเรา ไม่ควรเกิดจากการเอาจุดเด่นของเราไปทำร้ายจุดด้อยของใคร
1
เราเองก็มีจุดอ่อน ถ้าเรายอมรับจุดอ่อนของเรา เราก็ได้เริ่มเรียนรู้จะยอมรับจุดด้อยผู้อื่น และนั่นคือการรู้จักความรักที่แท้จริง
จุดอ่อน ทำให้เรารู้จักตั้งคำถามกับความกลัวในใจเรา เรากลัวอะไร ? กลัวเพราะว่าอะไร ?
ใช่หรือไม่? เรากลัวการถูกไม่ยอมรับ
แน่นอน เราไม่อาจให้ทุกคนรักเราได้
แต่เราสามารถมอบความรักให้ทุกคนได้
ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ รอยตำหนิจะทำให้เรารู้ตัวและสามารถปรับปรุงแก้ไขต่อไปได้
ไม่มีสิ่งใดงามพร้อม และถ้าเราเข้าใจในความไม่งาม บางทีหลายอย่างจะงดงามขึ้น
1
และไม่มีสิ่งใดยั่งยืน (แม้กระทั่ง ตัวพ่อ และข้อแก้ตัวต่างๆ)
สิ่งที่เราไม่รู้ยังมีมากมาย มากกว่าสิ่งที่เรารู้
และนี่ อาจจะเป็นคำขอครั้งสุดท้ายของพ่อ
เมื่อฟ้ากว้างยั่วยวนให้ลูกที่เคยเป็นดั่งนกตัวน้อยของพ่อได้โบยบินออกไปแล้ว
นกตัวน้อยที่เพิ่งโผบิน อาจจะบินได้ไม่ไกลเท่านกป่า แต่อย่างน้อย พ่ออยากให้นกตัวนี้รู้ว่า นกได้รับการยอมรับจากการโบยบิน แต่การจะบินได้ไกล นกตัวนั้นต้องรู้จักการผ่อนพักด้วย
เราต้องเรียนรู้ในความสมดุลและความเชื่อมโยงนั้น
และเมื่อถึงวัน..ที่ลูกไม่รู้ว่าจะบินไปในทิศทางใด วันที่ลูกกลัว ว่าจะบินไปผิดทิศ กลัวหลงทาง ขอให้ลูกระงับใจที่ร่ำร้องนั้น หยุดพัก และก้มลงมองกลับมาที่ข้างในใจของตนเอง
พ่อจะคอยอยู่ที่นั่นเพื่อรอรับคำปรึกษาจากลูก จากนั้น..
เราจะออกโบยบินไปด้วยกันอีกครั้ง
จาก..พ่อ'
_____________________________
ผมยกมือเช็ดที่หางตาหลังจากเคาะแป้นพิมพ์ครั้งสุดท้าย เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายสูงอายุมายืนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์
"เอ็งช่วยส่งข้อความที่พิมพ์ มาทางไลน์ลุงทีนะ
ไลน์เดิมนั่นแหละ"
"มันเป็นจดหมายถึงลูกของลุงใช่ไหม?"
ผมตัดสินใจถามออกไป
"ใช่" แกพยักหน้ารับ
"ลุงอุตส่าห์เขียนด้วยลายมืออย่างสวย ทำไมไม่ส่งเป็นจดหมายไปเลยล่ะ? ลูกลุงได้รับจดหมายแบบนี้น่าจะดีใจ"
"อืม..ลุงก็อยาก แต่ลุงไม่รู้ว่าตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหนอ่ะ มันถูกย้ายไปย้ายมาตลอด ก็เลยไม่ได้ติดต่อกันมาสักระยะแล้ว โทรศัพท์ก็ถูกห้ามใช้"
"เอ่าเหรอ! แล้วลุงจะส่งให้ลูกยังไง?"
"ตอนนี้คิดออกวิธีเดียว ลุงเห็นคนหนุ่มสาวพวกนี้ถนัดใช้โซเชี่ยล ลุงจะโพสต์ทิ้งไว้ในเฟสบุ๊ค เผื่อว่าวันหนึ่งลูกจะเปิดมาเจอ"
"โอ่! เอางั้นเลยนะ" ผมเม้นริมฝีปาก ในใจพยายามช่วยคิด แต่ก็นึกไม่ออก
"อ่ะ!" ผมเคาะนิ้วลงบนแป้นพิมพ์
"ส่งเข้าไลน์ของลุงแล้วนะครับ"
ชายชรายิ้มรับ "ขอบใจนะ"
"เอ่อ..ว่าแต่เจ้านายของลูกลุงนี่'เคี่ยว'ชะมัด มือถือก็ไม่ให้ใช้ แต่ก็ช่างเถอะ สถานการณ์แบบนี้..มีงานให้ทำก็ดีแล้ว"
ผมพยายามพูดปลอบใจ
"ไม่ใช่เจ้านายหรอก กรมราชทัณฑ์น่ะ"
"ห่ะ!" ผมสะดุ้ง
ชายแก่เห็นอาการของผม เลยรีบบอกก่อนที่ผมจะถามต่อ
"ลูกของลุงถูกจับเพราะไปชุมนุมน่ะ เหตุที่ถูกจับก็เพราะเขียนจดหมายนี่แหละ นี่ก็เดือนกว่าแล้วที่ยังไม่ได้ประกันตัว"
1
ผมฟังแล้วได้แต่ถอนใจ ก้มหน้ามองดูแก้วกาแฟที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า ในใจนึกทบทวนข้อความในจดหมายที่พิมพ์ผ่านมือไปเมื่อครู่
"ลุงครับ" ผมเงยหน้าขึ้นมองชายชรา
"ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกลุง"
ชายชรามองกลับมาด้วยสายตาเด็ดเดี่ยวแต่แฝงแววเศร้า
"เรื่องอะไร?"
"เอ่อ..ผมว่าลุงเป็นคนที่โอเคนะ แต่ถ้าลุงเกิดติดโควิดขึ้นมาจริงๆ"
"ผมอยากจะบอกลุงว่า...
"ในไทม์ไลน์อย่าบอกว่า มาที่ร้านนี้นะครับ"
 
. . . . . . . . . . . . . .
1
khanaad_photo
#เรื่องสั้น
***********************************
สำหรับเพื่อนๆ Blockdit ที่สนใจแนวอื่น ผมมีเขียนลงอีก 2 เพจคือ
๏ 'Bear's Books'  = ข้อคิดดีๆที่ได้จากการอ่าน
๏ 'คิด อย่างสถาปนิก'  = เรื่องของสถาปัตยกรรมต่างๆจากสายตาสถาปนิก
ขอเชิญชวนให้เข้าไปแวะชมนะครับ
เผื่อจะมีบางข้อเขียนที่อาจถูกใจ
ฝากติดตาม หรือ แลกเปลี่ยนความคิดกันได้ครับ
หรือใครสนใจเฉพาะภาพถ่าย
ลองเข้าไปดูและกดติดตามได้ใน
ig : khanaad_photo  นะครับ
แล้วพบกันนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา