1 พ.ค. 2021 เวลา 09:00 • ปรัชญา
อานาปานสติ
เป็น กรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ สรรเสริญ
3
ดังที่จะเห็นได้จากหลากหลายพระสูตร
Photo by wang binghua on Unsplash
ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อบุคคลเจริญ
ทำให้มากซึ่ง อานาปานสติสมาธิอยู่อย่างนี้แล
ความหวั่นไหวโยกโคลงของกาย
หรือความหวั่นไหวโยกโคลงของจิตก็ตาม
ย่อมมีขึ้นไม่ได้. .....ฯลฯ.....
1
ภิกษุทั้งหลาย ! แม้เราเองก็เหมือนกัน
ในกาลก่อนแต่การตรัสรู้ ยังไม่ได้ตรัสรู้
ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่
ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรม คือ อานาปานสติสมาธิ
นี้เป็นส่วนมาก.
2
เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นส่วนมาก
กายก็ไม่ลำบาก ตาก็ไม่ลำบาก
และจิตของเราก็หลุดพ้นจากอาสวะ
เพราะไม่มีอุปาทาน.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้
ถ้าภิกษุหวังว่ากายของเราก็อย่าลำบาก
ตาของเราก็อย่าลำบาก
และจิตของเราก็จงหลุดพ้นจากอาสวะ
เพราะไม่มีอุปาทานเถิด ดังนี้แล้ว;
ภิกษุนั้นจงทำในใจ ซึ่งอานาปานสติสมาธินี้
ให้เป็นอย่างดี.
3
- บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๙๙/๑๓๒๔.
- บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๐๑/๑๓๒๙.
เจริญอานาปานสติ เป็นเหตุให้
สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗
วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์
ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมอันเอกนั้นมีอยู่
ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมทำธรรมทั้ง ๔ ให้บริบูรณ์;
ครั้นธรรมทั้ง ๔ นั้น อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมทำธรรมทั้ง ๗ ให้บริบูรณ์;
ครั้นธรรมทั้ง ๗ นั้น อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมทำธรรมทั้ง ๒ ให้บริบูรณ์ได้.
ภิกษุทั้งหลาย !
อานาปานสติสมาธินี้แล เป็นธรรมอันเอก
ซึ่งเมื่อบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมทำสติปัฏฐานทั้ง ๔ ให้บริบูรณ์;
สติปัฏฐานทั้ง ๔ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมทำโพชฌงค์ทั้ง ๗ ให้บริบูรณ์;
โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้.
2
อานาปานสติบริบูรณ์
ย่อมทำสติปัฏฐานให้บริบูรณ์
1
ภิกษุทั้งหลาย ! ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า
จึงทำสติปัฏฐานทั้ง ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ?
1
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว,
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว;
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น,
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น;
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”;
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับหายใจออก”;
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า
เป็นผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
ภิกษุทั้งหลาย !
เราย่อมกล่าว ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
ว่าเป็นกายอันหนึ่งๆ ในกายทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก”;
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก”;
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก”;
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับ” หายใจออก”;
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า
เป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
ภิกษุทั้งหลาย !
เราย่อมกล่าวการทำในใจเป็นอย่างดี
ต่อลมหายใจเข้า และลมหายใจออก
ว่าเป็นเวทนาอันหนึ่งๆ ในเวทนาทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลาย !
เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
ภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่า
เป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก”;
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจออก”;
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่น หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่น หายใจออก”;
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก”;
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า
เป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! เราไม่กล่าวอานาปานสติ
ว่าเป็นสิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติอันลืมหลงแล้ว
ไม่มีสัมปชัญญะ.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
ภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด ภิกษุ
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ
หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ
หายใจออก”;
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ
หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ
หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจออก”;
ย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
“เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ
หายใจเข้า”,
ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ
หายใจออก”;
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่า
เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุนั้น
เป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะเป็นอย่างดีแล้ว
เพราะเธอเห็นการละอภิชฌา
และโทมนัสทั้งหลายของเธอนั้นด้วยปัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้
ภิกษุนั้น ย่อมชื่อว่าเป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ
อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล
ย่อมทำสติปัฏฐานทั้ง ๔ ให้บริบูรณ์ได้.
สติปัฏฐานบริบูรณ์
ย่อมทำโพชฌงค์ให้บริบูรณ์
ภิกษุทั้งหลาย ! ก็สติปัฏฐานทั้ง ๔
อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า
จึงทำโพชฌงค์ทั้ง ๗ ให้บริบูรณ์ได้ ?
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด
ภิกษุเป็นผู้เห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ ก็ดี;
เป็นผู้เห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ ก็ดี;
เป็นผู้เห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ ก็ดี;
เป็นผู้เห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ ก็ดี;
มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้;
สมัยนั้นสติที่ภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้วก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง.
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด
สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง,
สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว;
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์;
สมัยนั้นสติสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่า
ถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ;
ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่
ย่อมทำการเลือก ย่อมทำการเฟ้น
ย่อมทำการใคร่ครวญซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา.
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด
ภิกษุเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่
ทำการเลือกเฟ้น ใคร่ครวญธรรมนั้นอยู่ด้วยปัญญา,
สมัยนั้นธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์,
สมัยนั้นธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่า
ถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อเลือกเฟ้น
ใคร่ครวญอยู่ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา
ความเพียรอันไม่ย่อหย่อน
ชื่อว่าเป็นธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด
ความเพียรไม่ย่อหย่อน
อันภิกษุผู้เลือกเฟ้น
ใคร่ครวญในธรรมนั้นด้วยปัญญา,
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์,
สมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่า
ถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้ว
ปีติอันเป็นนิรามิสก็เกิดขึ้น.
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด
ปีติอันเป็นนิรามิส
เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว,
สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์,
สมัยนั้นปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่า
ถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ
แม้กายก็รำงับ แม้จิตก็รำงับ.
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด
ทั้งกายและทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ
ย่อมรำงับ,
สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์,
สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่า
ถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น เมื่อมีกายอันรำงับแล้ว
มีความสุขอยู่ จิตย่อมตั้งมั่น.
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด
จิตของภิกษุผู้มีกายอันรำงับแล้วมีความสุขอยู่
ย่อมตั้งมั่น,
สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์,
สมัยนั้นสมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่า
ถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุนั้น ย่อมเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะ
ซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้นเป็นอย่างดี.
ภิกษุทั้งหลาย ! สมัยใด
ภิกษุเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี,
สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์
ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว,
สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์,
สมัยนั้นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่า
ถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.
ภิกษุทั้งหลาย ! สติปัฏฐานทั้ง ๔ อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล
ย่อมทำโพชฌงค์ทั้ง ๗ ให้บริบูรณ์ได้.
โพชฌงค์บริบูรณ์
ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์
ภิกษุทั้งหลาย ! โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า
จึงจะทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์
อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ (ความจางคลาย)
อันอาศัยนิโรธ (ความดับ)
อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ (ความสละ,ความปล่อย);
ย่อมเจริญ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ
อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
ย่อมเจริญ วิริยสัมโพชฌงค์
อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ
อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
ย่อมเจริญ ปีติสัมโพชฌงค์
อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ
อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
ย่อมเจริญ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ
อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
ย่อมเจริญ สมาธิสัมโพชฌงค์
อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ
อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
ย่อมเจริญ อุเบกขาสัมโพชฌงค์
อันอาศัยวิเวก อันอาศัยวิราคะ
อันอาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อโวสสัคคะ;
ภิกษุทั้งหลาย ! โพชฌงค์ทั้ง ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล
ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้ บริบูรณ์ได้, ดังนี้.
1
- พุทธวจน อานาปานสติ หน้า ๑๑ - ๒๓
(ภาษาไทย) มหาวาร. สํ. ๑๙/๓๓๕/๑๓๘๐-๑๔๐๓
Photo by Canva
📍อานาปานสติ ๑๖ ขั้น คือ สูตรสำเร็จ
สำหรับความพ้นทุกข์ทางใจอย่างถาวร

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา