2 พ.ค. 2021 เวลา 01:38 • ท่องเที่ยว
วัดกุฎีดาว เรื่องเล่าของปู่โสมเฝ้าทรัพย์
วัดกุฎีดาว ... เป็นวัดขนาดใหญ่ที่เก่าแก่ เชื่อกันว่ามีมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฎหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับประวัติการสร้าง มีเพียงแต่ข้อความที่บันทึกลงในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาว่า ได้รับการบูรณปฎิสังขรณ์ครั้งใหญ่เมื่อปี 2254 ในสมัยของสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ โดยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศในขณะที่ดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราช
จากการศึกษาทางโบราณคดีบอกไว้ว่า วัดนี้น่าจะสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น และถูกทิ้งร้างไปเมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 ใน ปี พ.ศ. 2310
วัดกุฎีดาว ... ตั้งอยู่ใน ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา นอกเกาะเมืองทางด้านทิศตะวันออกของสถานีรถไฟพระนครศรีอยุธยา
สถาปัตยกรรมของดฐราณสถานแห่งนี้ มีลักษณะรูปแบบศิลปะคล้ายกับวัดหลวงในสมัยอยุธยาตอนต้นถึงอยุธยาตอนกลาง ปรากฏร่องรอยฝีมือการสร้างอย่างงดงามตามอย่างศิลปะสมัยอยุธยา
วิหารหลวง ... ตั้งอยู่หน้าเจดีย์ใหญ่ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
ภายในมีเสาสองข้าง สองแถวเป็นเสากลม หัวเสาเป็นบัวกลุ่มแบบอยุธยา หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีการเจาะหน้าต่างถี่ สะท้อนให้เห็นความสามารถในเชิงช่างที่มีการพัฒนามากขึ้น
เจดีย์ใหญ่กลางวัด .. เป็นเจดีย์ทรงกลมแบบระฆังขนาดใหญ่ยักษ์ ฐานกว้าง 30 เมตร บางส่วนขององค์ระฆังหักโค่นลงมาจมดิน โผล่ให้เห็นบางส่วนมีความใหญ่โตขององค์เจดีย์
วัดแห่งนี้มีต้นไม้ใหญ่แทรกรากแผ่กิ่งก้านสาขาอยู่บนซากเจดีย์ประธาน ซึ่งพังทลายลงมา เห็นยอดเจดีย์หมอบราบคาบอยู่บนพื้น
ปัจจุบันต้นไม้ถูกตัดแต่ง เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ได้รับการขุดแต่งบูรณะ ทำให้เห็นความยิ่งใหญ่ได้ชัดเจนขึ้น
ตำหนักกำมะเลียน อาคาร 2 ชั้น
เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทางด้านทิศเหนือของวัดกุฎีดาว กว้าง 14.6 เมตร ยาว 30 เมตร ผนังชั้นบนชั้นล่างเจาะเป็นซุ้มโค้งรูปกลีบบัว สันนิษฐานว่าเป็นที่ประทับขณะทรงงานบูรณะปฏิสังขรณ์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในขณะดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราช เมื่อ พ.ศ.2254
เรื่องราวตำนานปู่โสมเฝ้าทรัพย์ของวัดกุฎีดาว ... เริ่มจากพระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช ได้รับสมุดข่อยโบราณจากพระสงฆ์รูปหนึ่ง มีลักษณะเป็นกระดาษข่อย เขียนอักษรไทยโบราณด้วยสี แต่ตัวอักษรได้ซีดจางเป็นสีขาวไปจนหมด
อีกด้านหนึ่งเป็นผ้าเยื่อไม้มีอักขระไทยโบราณ เขียนด้วยหมึกสีดำ มีรอยวาดแสดงที่ตั้งโบสถ์ เจดีย์ของวัดกุฎีดาว แสดงตำแหน่งที่ฝังขุมทรัพย์ถึง 16 แห่ง
พระองค์และพระสหายชาวต่างประเทศได้นำเอาเครื่องไมน์ดีเทคเตอร์ (Mine Detester) เครื่องสำรวจหาวัตถุธาตุที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นมาสำรวจ พบตำแหน่งฝังสมบัติล้ำค่าอยู่ใต้ดิน
พระองค์จึงทำเรื่องเสนอต่อกรมศิลปากรขออนุมัติดำเนินการขุดค้นหาขุมทรัพย์ดังกล่าว โดยทำสัญญาขอแบ่งทรัพย์ มอบให้เป็นสิทธิ์ของกรมศิลปากร 90% ส่วนอีก 10% เป็นของพระองค์ เมื่อกรมศิลปากรอนุมัติ จึงเริ่มดำเนินการขุดบริเวณวัดกุฏีดาวเป็นแห่งแรกในปี พ.ศ.2503
1
หลังจากเตรียมงานพร้อมแล้วพระองค์เจ้าพีระฯและคณะขุดหาสมบัติก็ออกเดินทางไปวัดกุฎีดาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อเริ่มต้นขุดหาสมบัติ ... ก่อนที่จะเริ่มต้นขุดค้นหาสมบัติใต้ดินมีผู้รู้แนะนำพระองค์ท่าน ให้ทรงทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ต่อภูตผีปีศาจหรือวิญญาณที่เฝ้าสมบัตินั้นเพื่อขอขมาที่ล่วงเกิน
... แต่พระองค์ท่านไม่เชื่อว่าภูตผีปีศาจหรือวิญญาณมีจริง จึงมิได้สนพระทัยและไม่ได้ทำอะไรเลย! คณะขุดค้นหาสมบัติได้ไปตั้งแคมป์หรือที่พักชั่วคราวอยู่ในวัดกุฎีดาว ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯ เสด็จเช้าไปเย็นกลับ ด้วยพาหนะรถยนต์ส่วนพระองค์ทุกวัน
วันแรกที่ดำเนินการขุดค้นหาสมบัติใต้ดิน ... ได้ใช้เครื่องมือค้นหา ไมน์ ดีเทคเตอร์ ตรวจหาไปรอบๆบริเวณโบสถ์
ว่ากันว่า .. ปรากฎพบว่าที่หน้าโบสถ์มีทองคำถูกฝังอยู่เป็นจำนวนมาก! การขุดจึงเริ่มต้นทันทีด้วยความคึกคักพอขุดลงไปได้ 6-7 ฟุต กลับพบกระเบื้องโบราณลวดลายสวยงามทับถมซับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมากต้องโกยเอากระเบื้องไม่มีราคาเหล่านั้นขึ้นมาเสียเวลาไปมาก เวลาล่วงเข้าสู่ตอนเย็นจึงต้องหยุดพักเอาแรง คืนนั้นพระองค์เจ้าพีระฯ เสด็จกลับกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์ส่วนพระองค์
กลับมาถึงคืนวันนั้นเวลาประมาณ เที่ยงคืน ปรากฎมีเสียงคล้ายคนขุดดินดัง "ฉึก ฉึก ฉึก" อยู่ที่ใต้พื้นดิน จึงนึกว่าคงเป็นขโมย มาขโมยดิน เพราะพึ่งขุดสระน้ำเอาไว้ใหม่ๆ
...จึงถือปืนเดินออกมาดูแต่ไม่เห็นมีอะไร จึงกลับเข้ามานอนใหม่ แต่ก็ได้ยินเสียงขุดดินอีก! พระองค์จึงถือปืนเดินออกไปใหม่ เดินตามเสียงไปรอบๆ แต่กลับว่ายิ่งเดินไป ยิ่งหาไม่เจอ พอเดินไปตรงจุดที่ได้ยิน เสียงกลับหายไปอยู่ตรงอื่น
พระองค์เจ้าพีระฯ จึงเสด็จกลับเข้ามาที่บรรทมต่อและเสียงที่ขุดดินก็ตามมาดังที่นอกห้องบรรทมเหนือพระเศียรกระทั่งรุ่งเช้า
...ตอนเช้าได้ไปเดินดูตรงที่ได้ยินเสียงแต่กลับไม่มีร่องรอยผิดปกติอะไรเลย
...เมื่อกลับมาที่วัดพระองค์ก็ทรงเล่าให้พระสหายฟัง ตลอดจนชาวบ้าน ซึ่งทุกคนที่รับรู้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องเป็นผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่มาแสดงตัวตนให้เห็น และข้อให้ยกเลิกการขุดหาสมบัติ
... แต่พระองค์เจ้าพีระฯ และพระสหายไม่ยอมยกเลิกและตรัสให้ขุดต่อไป
1
เรื่องราวแปลกประหลาดดำเนินขึ้นเรื่อยๆ ... จนกระทั่งเย็นวันนั้น พระองค์เจ้าพีระฯ ได้เห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันผิดมนุษย์แต่งตัวแบบนักรบไทยโบราณ สวมเสื้อแขนกระบอกกางเกงขาลีบๆสั้นๆสีน้ำเงินเข้มทั้งชุด มีแขนใหญ่และลำคอใหญ่ หายไปตรงพุ่มไม้ที่ห่างจากโบสถ์ประมาณ 100 เมตร
พระองค์เจ้าพีระฯได้ทรงนำเรื่องที่เห็นผีไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง และตรัสถามชาวบ้านว่าเป็นใคร ชาวบ้านก็ทูลว่าเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ และการมาปรากฎให้เห็นเช่นนี้แสดงว่าผู้ที่เห็นปู่โสมเข้าใกล้ขุมสมบัติแล้ว ซึ่งหมายความว่าพระองค์เจ้าพีระฯ กำลังขุดเข้าใกล้ขุมสมบัติเข้าไปทุกที
แม้ชาวบ้านจะบอกว่าปู่โสมเป็นวิญญาณหรือเป็นผีที่เฝ้าขุมทรัพย์กระนั้นพระองค์เจ้าพีระฯก็ไม่ทรงเชื่อ .. พระสหายชาวต่างประเทศที่ชื่อแฮริสัน ทราบรายละเอียดว่าพระองค์เจ้าพีระฯทรงเห็นผีหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ จึงเปิดเผยออกมาบ้างว่า เขาเองก็พบเห็นชายหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ แล้วไปหายที่พุ่มไม้เช่นเดียวกัน!
วันต่อมาพระองค์เจ้าพีระฯและทีมงานได้ใช้เครื่องไมน์ ดีเทคเตอร์ ลงไปตรวจที่ก้นหลุมอีก ... สัญญาณดังแรงมาก ประหนึ่งว่าจวนเจียนใกล้จะได้พบแร่ทองคำจำนวนมหาศาลแล้ว เพียงไม่กี่อึดใจเดียวเท่านั้น
...แต่ทันใดนั้นเอง!ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น เมื่อคนงานระดมขุดอย่างชนิดที่เรียกว่าเต็มแรงสุดกำลังเลยที่เดียว...เสียงดังครืดๆๆ มาจากใต้ดินคล้ายมีอะไรบางอย่างขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ข้างใต้เสียงนี้ดังอยู่ชั่วขณะแล้วก็เงียบหายไป คนงานที่กำลังขุดดินอยู่ต่างพากันเผ่นหนีกระโจนขึ้นจากหลุมด้วยความรักตัวกลัวตาย
เมื่อเหตุการณ์เป็นปกติแล้ว พระองค์เจ้าพีระฯและพระสหาย ได้ทรงนำเครื่องมืออันทันสมัยลงไปตรวจสอบที่ก้นหลุมอีกแล้วก็ต้องประหลาดใจเป็นหนที่สอง เพราะปรากฎว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงจากเครื่องมือ นั้นคือสัญญาณแต่เดิมที่เคยร้องดังลั่น กลับเงียบเสียงลงอย่างแผ่วเบามาก และยังชี้ไปทิศทางอื่น เป็นการบ่งชัดว่าขุมทองคำมหาศาลได้เคลื่อนย้ายหนีไปตำแหน่งอื่น!
... จึงตรัสสั่งให้คนขุดย้ายไปตำแหน่งใหม่แต่เมื่อระดมขุดลึกลงไปๆใกล้จะถึงจุดที่เครื่องบอกว่ามีขุมทรัพย์จำนวนมากฝังอยู่ ก็ต้องเจอกับเหตุการณ์แปลกประหลาดซ้ำอีก นั้นคือได้ยินเสียงดัง ครืดๆๆ แล้วเครื่องวัดสัญญาณก็เงียบหายไป!
พระองค์จึงเกิดความสนพระทัยในสิ่งลี้ลับ .. แล้วบังเอิญได้พบกับพระอาจารย์รูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงทางพุทธไสย์เวทพุทธาคม เมื่อท่านทราบก็รับปากจะทำพิธีบรวงสรวงขออนุญาตให้ เพราะรู้ว่าที่แห่งนี้มีสมบัติถูกฝังไว้อย่างมากมาย แล้วยังรู้อีกด้วยว่าผู้ที่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ได้สาปแช่งผู้ที่เข้ามาขุดหาโดยไม่ทำตามแบบแผน ให้มันทำมาค้าขายไม่ขึ้น ไม่ประสบความสำเร็จอีกเลย
... แต่สุดท้ายก็พิธีบวงสรวงก็ทำไม่สำเร็จ เนื่องจากเข้าฤดูฝนเสียก่อน แม้ผ่านฤดูฝนแล้วก็ยังไม่ได้ดำเนินงานต่อ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าวิญญาณที่เฝ้าทรัพย์จะอนุญาตหรือไม่?...
.. ซึ่งต่อมาปรากฏว่าพระสหายชาวต่างประเทศที่ร่วมขุดสมบัติได้เสียชีวิตกระทันหัน ส่วนพระสหายอีกคนก็หายสาบสูญโดยไม่ทราบชะตากรรม ส่วนพระองค์ภายหลังได้หันมาดำเนินธุรกิจหลายอย่าง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
การดำเนินงานขุดหาสมบัติจึงเท่ากับล้มเลิกไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นเหตุให้พระองค์หันมาศึกษาพุทธศาสตร์อย่างจริงจังโดยมุ่งเน้นด้านจิตศาสตร์เป็นสำคัญ เพื่อหวังว่าในสักวันหนึ่งพระองค์จะทรงติดต่อกับวิญญาณผีปู่โสมด้วยพระองค์เอง ถ้ายังติดต่อไม่ได้ก็จะไม่ล่วงละเมิดอีกต่อไป
เรื่องราวการขุดสมบัติ บริเวณวัดกุฏีดาว จึงต้องล้มเลิก ... จวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปขุดหาสมบัติที่วัดนี้อีก เพราะเกรงว่าวิญญาณจะยังคงวนเวียนเฝ้าสมบัติ และตามมาหลอกหลอนสาปแช่ง
หากผ่านไปแถวอยุธยาฯ ลองแวะมาชมความงามของโบราณสถาน และตำนานของปู่โสมเฝ้าทรัพย์กันได้ที่วัดกุฎีดาว
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปกับ พี่สุ
ท่องเที่ยวทั่วโลก กับพี่สุ
ซีรีย์เที่ยวเจาะลึก ประเทศนอร์เวย์
Iceland ดินแดนแห่งน้ำแข็งและเปลวไฟ
Lifestyle & อาหารการกิน แบบพี่สุ
สถานีความสุข by Supawan
โฆษณา