13 พ.ค. 2021 เวลา 10:19 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Bond Yield สำคัญไฉน Yield Curve คืออะไร??? ทำไมถึงต้องรู้จัก???
ช่วงนี้หลายคนกังวลเงินเฟ้อ และ Bond Yield จะขึ้นสูง ดังนั้นเราจะมารู้จักเรื่องของตลาดตราสารหนี้กันก่อน แต่จะให้เริ่มจากสูตรคำนวนอะไรเทือกนี้ คงจะไม่จำเป็นสำหรับนักลงทุนหุ้น เรามองไปที่ปลายทางเลย คือ bond yield เมื่อไหร่ขึ้นลง สัมพันธ์อย่างไร และส่งผลกับเศรษฐกิจ และค่าเงินอย่างไร
1
รู้หรือไม่? Asset Class ที่มูลค่าตลาดหรือเม็ดเงินสูงที่สุดนั้นไม่ใช่ ตราสารทุน(หุ้น) แต่คือ ตราสารหนี้(พันธบัตรหรือหุ้นกู้) เราเรียกกันกว้างๆสวยๆว่า Fixed-Income … แม้แต่เงินฝากธนาคาร ก็ดูเป็น Fixed-Income เพียงแค่ไม่อยู่ในรูปหลักทรัพย์ เท่านั้นเอง โดยหลักของตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้ เหล่านี้ก็คือเราจะได้ผลตอบแทน ตามหน้าตั๋ว ที่เขียนไว้ เม็ดเงินที่หมุนเวียนไปมาบนโลกนี้ ส่วนมากคือตลาดเงินและตลาดตราสารหนี้ ทั้งนั้น
1
โดยปกติที่เราซื้อหุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาลกัน เราก็จะได้เงินจำนวนหนึ่งกลับมาเสมอ และรอครบอายุค่อยได้เงินเต็มจำนวน แต่รู้หรือไม่ ว่าเราสามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ในตลาดรอง (หรือเดินไปธนาคารบอกว่าจะขาย แต่ต้องยอดเยอะๆหน่อย และยอมรับราคา discount เยอะเหมือนกัน)
ใครที่ไม่รู้จัก ตราสารหนี้ (Fixed-Income หรือ Bond treasury แบบใดก็ตาม) ให้เข้าใจง่ายๆว่า ราคาจะแปรผกผันกับ Yield (อัตราผลตอบแทนพันธบัตร)
แน่นอนว่าพอเป็นหนี้ ก็ต้องมีกำหนดระยะเวลาในการคืนหนี้ ดังนั้นตราสารหนี้ จึงมีอายุของตราสาร
หากเรานำพันธบัตรรัฐบาลมา Plot โดยให้แกน X (แนวนอน) คือ อายุคงเหลือของตราสารหนี้ (เรียงกันจากน้อยไปมาก) แกน Y (แนวตั้ง) คือ อัตราผลตอบแทน เราจะได้ “เส้นโค้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตร” หรือ “Yield Curve” ซึ่งก็คือ เส้นที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทน กับ อายุคงเหลือของตราสารหนี้
นี่แหละหนอ คือสิ่งที่นักวิเคราะห์บางคนจ้องกันประจำ
ซึ่งปกติแล้ว ตราสารหนี้ที่อายุสั้นกว่าจะมีอัตราผลตอบแทนน้อยกว่าตราสารหนี้ที่อายุยาวกว่า (เหมือนกับเราให้คนอื่นกู้นาน มันก็เสี่ยงกว่า เราก็ต้องได้ผลตอบแทนที่มากกว่าคนที่ให้กู้ไม่นาน)
แต่โลกนี้มันไม่ง่ายดาย มีโอกาสผิดชำระหนี้ อัตราดอกเบี้ยเปลี่ยน มุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจ และอื่นๆ ทำให้ Yield curve นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
หลักๆ เราจะเจอรูปแบบ Yield Curve อยู่ 3 รูปแบบ คือ
1. Normal curve : Yield ของพันธบัตรระยะสั้น น้อยกว่า Yield ของพันธบัตรระยะยาวซึ่งพบเจอได้ในสถานการณ์ปกติ หรือช่วยเศรษฐกิจแข็งแกร่ง
2. Inverted curve : Yield ของพันธบัตรระยะสั้น มากกว่า Yield ของพันธบัตรระยะยาว มักเกิดขึ้นในยามที่คนกังวลว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี หรือมีการอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างรวดเร็ว เพื่อประคับประคองเงินเฟ้อ หรือควบคุมอสังหาไม่ให้ฟองสบู่เกินไป
มนุษย์เราเชื่อว่า นี่เป็นสัญญาณ Recession ในอนาคตอันใกล้ 6-12 เดือนข้างหน้า โดยอิงจากข้อมูลสถิติ ซึ่งนานๆ ทีจะเกิดขึ้นสักครั้ง (แต่ใช้ไม่ได้กับทุกตลาดนะ)
3.Flat curve : Yield ของพันธบัตรระยะสั้น เท่ากับ Yield ของพันธบัตรระยะยาว
เกิดขึ้นในช่วงที่เศษฐกิจเติบโตอย่างเต็มที่และเตรียมที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย เส้น Yield curve จาก Normal yield curve ที่กำลังเปลี่ยนเป็น Inverted yield curve จะต้องเกิด Flat yield curve เกิดขึ้นก่อน หรือในทางตรงกันข้าม จากวิกฤต ก่อนพลิกไปเป็น steep (normal แบบ กราฟชันมากๆ)
1
อาจฟังดูยาก ดูซับซ้อน แต่ก็แนะนำค่อยๆศึกษาไปครับ สักพักจะจำ pattern ของมันได้เอง
ส่วนมีเทคนิคดูอย่างไร ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบไหน กำลังสื่ออะไร แน่นอนว่าเรื่องที่ตลาดกังวล ว่าจะต้องขึ้นดอกเบี้ย ก็จะอยู่ในนั้นด้วย รออ่านได้ในตอนถัดไปครับ
BottomLiner
การลงทุนปีนี้ไม่ง่าย รับข้อมูล Exclusive Content ในกลุ่มปิดของ BottomLiner ไว้ประกอบการตัดสินใจด้วยจะดีมาก สมัครเลยในลิ้ง https://forms.gle/DBhATCRfWprbcNuu7
ติดตาม BottomLiner อีกช่องทางได้ที่ Line Openchat กันตามลิ้งนี้ https://line.me/ti/g2/GUZne2IO6dEfbOiwaDbgzw
โฆษณา