14 พ.ค. 2021 เวลา 03:33 • ท่องเที่ยว
วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ... วัดที่สวย Unseen ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย
วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า "วัดภูพร้าว" ตั้งอยู่ที่ อำเภอสิรินธร ห่างจากตัวจังหวัดอุบลราชธานีราว 70 กิโลเมตร …
วัดตั้งอยู่บนเนินเขาสูง โดยจำลองสภาพแวดล้อมของวัดป่าหิมพานต์หรือเขาไกรลาศ บริเวณบนยอดเขาจะมองเห็นพระอุโบสถสีทองตั้งเด่นเป็นสง่า
 
วัดแห่งนี้กำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว เนื่องจากมีอุโบสถศิลปะล้านช้างที่งดงาม และมีสิ่งมหัศจรรย์ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์เลย ได้แก่ ศิลปะต้นกัลปพฤกษ์ที่ด้านหลังอุโบสถที่สามารถเรืองแสงได้เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง
ท่านนพระครูปัญญาวโรบล (ปริญญา ติสสฺวโร) ได้เมตตาเล่าความเป็นมาของวัดภูพร้าวเอาไว้ว่า ...เดิมพื้นที่แห่งนี้ เป็นป่ามีความอุดมสมบูรณ์ แต่เนื่องจากเป็นหน้าผาสูง ไม่มีแหล่งน้ำ จึงไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่
ครั้นเมื่อพระอาจารย์บุญมาก ฐิติปัญโญ เดินทางมาเผยแผ่ธรรมะทางฝั่งไทย ท่านได้มาพักปักกลดที่ภูพร้าว ในราวปี พ.ศ.2497-2498 ท่านได้พาญาติโยมจากบ้านแก่งยางมาดูสถานที่แห่งนี้ แล้วบอกว่า สถานที่แห่งนี้เหมาะแก่การบำเพ็ญจิตภาวนา และได้สร้างศาลาขึ้น 1 หลัง ฝังศิลากำหนดเขตสีมาไว้
ต่อมา ในราวปี พ.ศ.2500 - 2514 ทางราชการมีการออกสำรวจระดับที่จะสร้างเขื่อนสิรินธร พระอาจารย์บุญมากได้มาขอบิณฑบาตสถานที่บนภูพร้าวแห่งนี้เป็นวัด ทางหน่วยทหารและอำเภอพิบูลมังสาร อนุญาตให้ใช้สถานที่ได้ ใช้ชื่อวัดว่า "วัดภูพร้าว" มีเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่
ปี พ.ศ. 2539 ทางราชการมีการแบ่งเขตการปกครองใหม่ตั้งเป็น อำเภอสิรินธร แยกจากอำเภอพิบูลมังสาหาร วัดภูพร้าวจึงเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดสิรินธรวราราม"
พระอาจารย์บุญมาก ได้มาพำนักพักอาศัยพื้นที่แห่งนี้ในการปฏิบัติธรรม ท่านอธิฐานและรู้ด้วยญาณ ท่านได้ปรารภกับศิษย์ไว้ว่า ...
“เธอ คอยดูต่อไปในอนาคต จะมีผู้มีบุญ จะมาบำเพ็ญบารมีของเขาให้เต็มบริบูรณ์ เขาจะมาสร้างสถานที่แห่งนี้ให้รุ่งเรือง จะมีพระสงฆ์ อุบาสกอุบาสิกาจำนวนมาก มาในสถานที่แห่งนี้ ปราชญ์บัณฑิตจะแวะมาพักอาศัยมิได้ขาด”
หลังจากนั้น เกิดความไม่สงบทางการเมืองในประเทศลาว ท่านพระอาจารย์บุญมากตัดสินใจกลับประเทศลาว และ มรณภาพลงเมื่อปี 2524 ที่วัดภูมะโรง สปป.ลาว (สิริอายุ 72 ปี) ทิ้งให้วัดร้างหลายสิบปี
จนกระทั่งปี 2542 พระครูกมลภาวนากร (พระอาจารย์สีทน กมโล) ลูกศิษย์ของท่านได้นำคณะศิษยานุศิษย์มาบูรณะปฏิสังขรวัดสิรินธรวราราม ให้กลับมาเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมได้ดังเดิม
มีการก่อสร้างเพิ่มเติมเรื่อยมา ประทั่งปี พ.ศ.2547 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาชื่อว่า "วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว"
สำหรับชื่อ "ภูพร้าว" นั้น พระครูกมลภาวนากร กล่าวว่า ... เมื่อก่อนธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ ธรรมชาติของภูเขาลูกนี้มีพิเศษ แปลก คือ มีหินคล้ายลูกมะพร้าวเต็มไปหมด ทุบออกมาจะมีฝุ่นหรือเม็ดหินใสๆแวววาวระยับคล้ายเพชรพลอย ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ เอาไปรักษาโรค เรียกมะพร้าวฤาษีทำเอาไว้ จึงเรียกเขาลูกนี้ว่า "ภูพร้าว" ต่อมามีคนเก็บเอาไปขายลูกละ 2-3 ร้อยบาท จนหมด
หลังจากพระครูกมลละสังขารไปในปี 2549 พระครูปัญญา ก็เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดและสานต่องานสร้างวัดต่อไป
ตัวอุโบสถมีต้นแบบมาจากวัดเชียงทอง ประเทศลาว แต่มีความกว้างมากกว่า 1 เท่า และความยาวมากกว่า 2 เท่า... เสาแต่ละต้นลงลวดลายด้วยมือ
โดยรอบนอกเป็นลายดอกบัวและสัตว์ทั้งหลายตามคติบัว 4 เหล่า ทางเข้าเป็นต้นสาละ เขยิบเข้ามาเป็นต้นมะขามป้อม ต้นสมอ และด้านในสุดเป็นต้นโพธิ์
ส่วนพระประธานมีผู้นำมาถวายวัด ดั้งเดิมเป็นองค์พระพุทธชินราช ...แต่ช่างคณากรได้ออกแบบใหม่โดยถอดรัศมีและพระเกตุมาลาออก แล้วแกะสลักไม้เป็นต้นโพธิ์ไปวางอยู่ด้านหลังพระประธาน
ภาพพระประธาน ... ยามค่ำคืนภายใต้แสงสว่างจากดวงไฟ
เมื่อความสว่างจากท้องฟ้าเริ่มลาลับสู่พลบค่ำ ... แสงสีส้ม แดง เหลืองทอง มลังเมลือง ขับให้วัดดูงดงามเหมือนภาพฝัน
ความงาม ยามอาทิตย์อัสดง ... เป็นช่วงเวลาที่คนที่ช่่นชิบการถ่ายภาพไม่ควรพลาด
หลังดวงสุริยันจูบลาโลก หลักทางให้ดวงจันทราเข้ามาโอกอดผืนฟ้า ... บริเวณด้านหลังอุโบสถของวัด กลับปรากฏแสงเรืองรองขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์
... เกิดจากศิลปกรรมต้นไม้เรืองแสงของ วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ที่ค่อยๆ เผยความพิเศษขึ้นมาทีละน้อย จนกลายเป็น Unseen Thailand ที่ชวนค้นหา
ต้นกัลปพฤกษ์ด้านหลังที่ทำให้วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว เป็นที่รู้จักไปทั่วนั้น เป็นฝีมือการออกแบบของ “ช่างคณากร ปริญญาปุณโณ” ผู้ลงมือติดโมเสกแต่ละชิ้นด้วยตัวเองและเป็นเจ้าของไอเดียใช้สารเรืองแสงที่เรียกว่า ฟอสเฟอร์ phosphor รอบต้น
... ทำให้ต้นไม้นี้ปรากฏสีเขียวเรืองแสงเมื่อยามค่ำคืน โดยมีแรงบันดาลใจมาจาก “ต้นไม้แห่งชีวิต” ใน “ภาพยนตร์เรื่องอวตาร”
คุณสมบัติของสารฟลูออเรสเซนต์จะรับแสงพระอาทิตย์ ในตอนกลางวัน .. อีกทั้งศิลปกรรมชิ้นนี้ ได้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก หรือหันข้างไปทางทิศตะวันตก ก็เลยเหมือนเป็นฉากกั้น พลังงาน ในช่วงเวลาตอนกลางวัน แล้วจะฉายแสงออกมาในตอนกลางคืน คือเป็นการคายพลังงานออกมา
ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการมาชมและถ่ายภาพต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสง ที่เป็นจิตรกรรมที่อยู่บนผนังด้านหลังของอุโบสถในยามค่ำคืน ซึ่งคือ ตั้งแต่เวลา 6.00.19.30 น. ซึ่งหากโชคดีก็จะได้เห็นดวงดาวมากมายเต็มท้องฟ้า อีกด้วย
ภาพเรืองแสงนี้หากมองด้วยตาเปล่าจะเห็นเพียงเล็กน้อย จะไม่เห็นเป็นสีเขียวชัดเจนเท่ากับภาพที่ถ่ายด้วยกล้องถ่ายภาพ เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวบางท่านที่มาเก็บภาพความงดงามผ่านสายตาต้องเผื่อใจไว้เล็กน้อย
วัดภูพร้าว มีจุดชมวิวทิวทัศน์ของลำน้ำโขง ที่บริเวณด้านหลังพระอุโบสถ
เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของฝั่งประเทศลาว รวมถึงมองเห็นด่านสากลช่องเม็กอย่างสวยงาม และอ่างเก็บน้ำที่อยู่บริเวณเชิงเขาคล้ายกับทะเลสาป ... โดยเฉพาะในช่วงพระอาทิตย์ตกดินเราเราจะได้เห็นพระอาทิตย์ดวงโตซึ่งเป็นบรรยากาศที่สวยงามมาก
วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ขึ้นอันดับ 1 ใน 10 สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ จากเอกลักษณ์ของวัดที่ถือเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ก็คือ ภาพเรืองแสงของประติมากรรมต้น
กัลปพฤกษ์ที่ติดอยู่ผนังหลังโบสถ์ ซึ่งจะปรากฎสีเขียวเรืองแสงเมื่อยามค่ำคืนเท่านั้น สร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็น และกลายมาเป็นสถานที่สุดฮิตในปัจจุบันนี้
การเดินทาง
ตัววัดอยู่ห่างจากตัวจังหวัดอุบลราชธานีราว 70 กม. หากเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่ตัวจังหวัด ให้ตรงไปยังเส้นทางไป อ.พิบูลมังสาหาร เมื่อถึง อ.พิบูลมังสาหารแล้วจะมีสามแยกไฟแดง ให้เลี้ยวซ้ายไปทาง อ.สิรินธร ขับตรงไปยังเส้นนั้นซึ่งสามารถไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวอย่างพัทยาน้อย ทะเลน้ำจืดคนอุบล หรือเขื่อนสิรินธร ซึ่งอยู่ระหว่างทางได้ วัดจะอยู่ก่อนถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองช่องเม็ก ราว 3 กม. ทางซ้ายมือ จะมีป้ายบอกทางเข้าวัดที่ถนนใหญ่เลย โดยเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกราว 2 กม.
ขอบคุณเนื้อความบางส่วนจาก:http://www.guideubon.com/2.0/195/648/
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปกับ พี่สุ
ท่องเที่ยวทั่วโลก กับพี่สุ
ซีรีย์เที่ยวเจาะลึก ประเทศนอร์เวย์
Iceland ดินแดนแห่งน้ำแข็งและเปลวไฟ
Lifestyle & อาหารการกิน แบบพี่สุ
สถานีความสุข by Supawan
โฆษณา