15 พ.ค. 2021 เวลา 12:14 • กีฬา
ลิเวอร์พูลได้อันดับ 4 แต่เชลซีได้แชมป์ยุโรปแบบนี้ใครจะได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกบ้าง? แล้วถ้าบียาร์เรอัลได้แชมป์ยูโรป้าลีก อันดับ 4 ในลาลีกา คือเซบีย่า จะโดนตัดโควต้าหรือไม่ วิเคราะห์บอลจริงจัง จะอธิบายให้เข้าใจแบบเคลียร์ๆในโพสต์เดียว
5
ฟุตบอลถ้วยใหญ่ที่สุดของยุโรป ชื่อเดิมคือ "ยูโรเปี้ยนคัพ" ก่อนจะรีแบรนด์ มาใช้ชื่อ "ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก" ในปี 1992 โดยตั้งแต่ก่อตั้งมา ในถ้วยใบนี้ แต่ละประเทศจะได้โควต้าแค่ 1 ทีมเท่านั้น คือแชมป์ลีกของประเทศนั้น
แต่ยูฟ่าก็รู้ดีว่า ถ้าแต่ละประเทศได้โควต้าแค่ 1 ทีม ย่อมทำให้สโมสรมหาอำนาจไม่พอใจ แถมข่าวเรื่องทีมใหญ่อยากแยกตัวเป็นซูเปอร์ลีก ก็มีหนาหูขึ้นทุกที ดังนั้นยูฟ่าจำเป็นต้องขยายรายการให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับบิ๊กทีมให้ทั่วถึงกว่าเดิม
1
ตั้งแต่ฤดูกาล 1997-98 ยูฟ่าจึงเปลี่ยนกฎ จากเดิมแต่ละประเทศ จะได้โควต้าแค่ 1 สโมสร มาเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีก เปลี่ยนมาเป็น ชาติที่มีคะแนนสัมประสิทธิ์ยูฟ่าสูงสุด 8 ประเทศแรก จะได้โควต้า 2 ทีม
จากนั้นในฤดูกาล 1999-00 ยูฟ่า เปลี่ยนกฎอีกครั้ง จากประเทศละ 2 ทีม ก็น้อยเกินไปซะแล้ว จึงเพิ่มโควต้าอีก ให้ 1 ประเทศ ได้สิทธิ์ส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันในแชมเปี้ยนส์ลีกได้ สูงสุด 4 ทีม
1
ถ้ามองแบบแยกเป็นปีไปเลย เราจะเห็นภาพง่ายขึ้น ผมยกตัวอย่างกัลโช่ เซเรีย อา นะครับ อันนี้คือทีมที่ได้โควต้าชปล.
2
ชปล. 1992-93 : เอซี มิลาน (แชมป์ลีก)
ชปล. 1993-94 : เอซี มิลาน (แชมป์ลีก)
ชปล. 1994-95 : เอซี มิลาน (แชมป์ลีก)
ชปล. 1995-96 : ยูเวนตุส (แชมป์ลีก)
ชปล. 1996-97 : เอซี มิลาน (แชมป์ลีก), ยูเวนตุส (แชมป์ ucl ฤดูกาลล่าสุด)
ชปล. 1997-98 : ยูเวนตุส (แชมป์ลีก), ปาร์ม่า (อันดับ 2)
ชปล. 1998-99 : ยูเวนตุส (แชมป์ลีก), อินเตอร์ มิลาน (อันดับ 2)
ชปล. 1999-00 : เอซี มิลาน (แชมป์ลีก), ลาซิโอ (อันดับ 2), ฟิออเรนติน่า (อันดับ 3), ปาร์ม่า (อันดับ 4)
1
เราจะเห็นว่าโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกมีพัฒนาการ จาก 1 ทีม เพิ่มเป็น 2 ทีม และกลายเป็น 4 ทีมในที่สุด
1
มองรวมๆ ก็เป็นไอเดียที่ดี แต่ปัญหา ณ เวลานั้น คือยูฟ่าไม่ได้กำหนดว่า สมาคมฟุตบอลของแต่ละประเทศ คุณจะเลือก 4 ทีมไปแชมเปี้ยนส์ลีกด้วยวิธีไหน กล่าวคือแต่ละสมาคมมีวิธีคัดเลือกของตัวเองอย่างอิสระ
2
จะเอาอันดับ 1 ถึง 4 ไปก็ได้ หรือจะแบ่งให้แชมป์บอลถ้วยสักโควต้าก็ได้ (เหมือนประเทศไทย แชมป์เอฟเอคัพ จะได้โควต้า ACL) คือจะคัดมาด้วยวิธีไหนก็ได้ ขอแค่ให้สมาคมส่งรายชื่อสโมสรให้ครบ 4 ทีมพอ
การกำหนดไว้แบบหลวมๆ แบบนั้น ทำให้เกิดดราม่าสำคัญขึ้นในลาลีกา สเปน ฤดูกาล 1999-00 เพราะอันดับในตารางคะแนนหลังจบ 38 นัดเป็นแบบนี้
1- เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า
2- บาร์เซโลน่า
3- บาเลนเซีย
4- เรอัล ซาราโกซ่า
5- เรอัล มาดริด
2
ลาลีกา ประกาศตอนต้นฤดูกาลว่า ทีมอันดับ 1 ถึง 4 จะได้โควต้าแชมเปี้ยนส์ลีก ดังนั้น ทีมที่ควรได้โควต้าคือ อันดับ 1 เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า, อันดับ 2 บาร์เซโลน่า, อันดับ 3 บาเลนเซีย และ อันดับ 4 เรอัล ซาราโกซ่า
1
แต่ดันบังเอิญพอดี ที่ซีซั่นนั้น เรอัล มาดริดไปคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกพอดี ยูฟ่าจึงให้ดุลยพินิจกับสหพันธ์ฟุตบอลสเปนเอาเอง ว่าจะเลือก 4 ทีมไหน ส่งไปแข่งชปล. ในซีซั่นหน้า
ถ้าหากสหพันธ์ฟุตบอลสเปน เลือกซาราโกซ่า ทีมซาราโกซ่าต้องไปเริ่มแข่งในเพลย์ออฟรอบ 3 ถ้าชนะก็จะได้เข้ารอบแบ่งกลุ่มต่อไป แต่ถ้าหากลาลีกา เลือกเรอัล มาดริด ทีมเรอัล มาดริดจะได้เข้ารอบแบ่งกลุ่มอย่างอัตโนมัติด้วยสิทธิ์แชมป์เก่า (Title Holder)
เมื่อสหพันธ์ฟุตบอลสเปน พิจารณาเหตุผลแล้ว หากส่งเรอัล ซาราโกซ่าซึ่งเป็นทีมเล็กไป ก็อาจไปร่วงรอบเพลย์ออฟอยู่ดี สู้ส่งเรอัล มาดริดไปเลยดีกว่าการันตีเข้ารอบแบ่งกลุ่มแน่ๆ และถ้ามีทีมจากสเปนเข้ารอบแบ่งกลุ่มเยอะๆ เท่าไหร่ ประเทศก็ได้ค่าสัมประสิทธิ์เยอะขึ้นเท่านั้น
3
ดังนั้นสหพันธ์ฟุตบอลสเปน จึงตัดอันดับ 4 เรอัล ซาราโกซ่าทิ้ง และให้โควต้าแชมเปี้ยนส์ลีก กับอันดับ 5 เรอัล มาดริดแทน
ซึ่งทางเลือกของสหพันธ์ฟุตบอลสเปน อาจจะถูกต้องก็ได้ในภาพใหญ่ๆ เพราะสุดท้ายทีมจากลาลีกา ทั้ง 4 ทีม ก็ได้เข้ารอบแบ่งกลุ่มครบทั้งหมด (เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า, บาร์เซโลน่า, เรอัล มาดริด เข้ารอบแบ่งกลุ่ม อัตโนมัติ ส่วนบาเลนเซียชนะเพลย์ออฟ) ถ้าเป็นซาราโกซ่าอาจจะร่วงตั้งแต่เพลย์ออฟจริงๆนั่นแหละ
อย่างไรก็ตาม ในมุมของซาราโกซ่าก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม พวกเขาสู้มาทั้งปี แต่กลับโดนเปลี่ยนกฎกันนาทีสุดท้ายเฉยเลย และหลังจากอกหักไม่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก ปีต่อมาทีมก็แตกสลาย โค้ชโฆเซ่ ฟรานซิสโก โรโฆ ย้ายไปแอธเลติก บิลเบา ส่วนกองหน้าคีย์แมนซาโว มิโลเซวิชย้ายไปปาร์ม่า ในฤดูกาลต่อมา ซาราโกซ่าหล่นไปอยู่อันดับ 17 ก่อนจะตกชั้นในปีต่อมา ซึ่งหลายคนก็คิดว่า ถ้าตอนนั้นพวกเขาได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก ทีมอาจจะไม่พินาศแบบนี้
1
นั่นคือดราม่ารอบแรก จากนั้นดราม่าเรื่องโควต้าชปล. รอบที่ 2 เกิดขึ้นอีกครั้ง ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2004-05 โดยอันดับในตารางคะแนนเป็นแบบนี้
1
1- เชลซี
2- อาร์เซน่อล
3- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
4- เอฟเวอร์ตัน
5- ลิเวอร์พูล
ลิเวอร์พูลเพิ่งคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่อิสตันบูล แต่ดันจบอันดับ 5 ในลีกตัวเอง ดังนั้นก็ต้องอยู่ที่ดุลยพินิจของพรีเมียร์ลีกแล้วว่าจะส่ง 4 ทีมไหน ไปแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีกซีซั่นต่อไป
กฎเดียวกัน กับลาลีกาเมื่อ 5 ปีก่อน คือถ้าเลือกเอฟเวอร์ตัน เอฟเวอร์ตันก็ต้องไปเล่นเพลย์ออฟ แต่ถ้าเลือกลิเวอร์พูล ลิเวอร์พูลจะเข้ารอบแบ่งกลุ่มอัตโนมัติทันที
ปรากฏว่าพรีเมียร์ลีก เลือกอันดับ 1 เชลซี, อันดับ 2 อาร์เซน่อล, อันดับ 3 แมนฯยูไนเต็ด และอันดับ 4 เอฟเวอร์ตัน ตัดหงส์แดงทิ้งจากพื้นที่แชมเปี้ยนส์ลีกอย่างเด็ดขาด
ตามกฎคือทุกชาติจะส่ง 4 ทีมไหนก็ได้ ตามแต่ดุลยพินิจของตัวเอง ซึ่งพรีเมียร์ลีกคิดต่างจากลาลีกา เพราะลีกประกาศไว้แต่แรกแล้วว่า อันดับ 1-4 จะได้โควต้าแชมเปี้ยนส์ลีก ดังนั้นก็ต้องรักษาคำพูด ต่อให้ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ที่อิสตันบูลมา หรือต่อให้เอฟเวอร์ตันเข้าไปแข่งแล้วตกรอบเพลย์ออฟ มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
เมื่อพรีเมียร์ลีกไม่ให้ลิเวอร์พูลไปแข่ง ทำให้ลิเวอร์พูลจะกลายเป็นแชมป์เก่าถ้วยนี้ ทีมแรกในประวัติศาสตร์ ที่ไม่ได้กลับไปป้องกันแชมป์ปีหน้า แต่ต้องหล่นไปเล่นยูฟ่า คัพแทน
พอเหตุการณ์เป็นแบบนี้ แฟนบอลทั่วโลกก็โวยยูฟ่า ว่าบ้าหรือเปล่า ลิเวอร์พูลได้แชมป์ด้วยการพลิกนรกชนะเอซี มิลานขนาดนั้น เป็นช็อตที่ใครๆก็จดจำทั่วโลก ถามว่าทีมแชมป์เก่าแบบนี้ ต้องหล่นไปเล่นยูฟ่าคัพ มันใช่เรื่องหรือ
ยูฟ่าพอโดนด่าหนักๆ ก็ไปกดดันพรีเมียร์ลีก ให้มอบโควต้าให้ลิเวอร์พูลแทนเอฟเวอร์ตันอันดับ 4 ซะ ให้เหมือนลาลีกา ที่เคยกระชากโควต้าของเรอัล ซาราโกซ่าเอาไปให้เรอัล มาดริดในปี 2000 แต่พรีเมียร์ลีกยังไงก็ไม่ยอม คุณจะให้ริบโควต้าของเอฟเวอร์ตันที่สู้มาทั้งปี มันจะไปทำได้ไง
1
สุดท้ายเมื่อพรีเมียร์ลีกยืนยันแบบนั้น ยูฟ่าจึงไม่มีทางเลือก ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง เปลี่ยนกฎเป็นกรณีพิเศษให้ลิเวอร์พูลเข้าแข่งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ในฐานะแชมป์เก่า แต่ต้องไปเริ่มต้นตั้งแต่รอบเพลย์ออฟรอบแรกสุด
2
ลิเวอร์พูลในชปล. 2005-06 ต้องไปเริ่มต้นจากเจอทีม TNS ของเวลส์ ในเพลย์ออฟรอบแรก ตามด้วยเจอเคานาส จากลิทัวเนีย ในเพลย์ออฟรอบ 2 และเจอซีเอสเคเอ โซเฟีย ในเพลย์ออฟรอบ 3 คือกว่าจะได้เข้ารอบแบ่งกลุ่มต้องเหนื่อยอย่างสาหัสมาก
1
และนี่จึงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลยุโรป ที่ 1 ประเทศ มีทีมลงแข่งขันในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ถึง 5 ทีมด้วย
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แชมป์เก่า โดนตัดสิทธิ์จากสมาคมฟุตบอลในประเทศตัวเองอีก ยูฟ่าจึงเปลี่ยนกฎอีกครั้ง โดยระบุว่า
แต่ละประเทศจะได้โควต้าสูงสุด 4 ทีม แต่ถ้าแชมป์เก่ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลนั้นไม่ติดท็อปโฟร์ด้วย สมาคมฯ ก็ยังต้องมอบโควต้าชปล. ให้แชมป์เก่า แล้วเอาอันดับ 4 ไปเล่นยูฟ่า คัพแทน
2
การกำหนดกฎไว้แบบนี้ เป็นการการันตีว่า จะไม่มีเหตุการณ์แบบเอฟเวอร์ตันกับลิเวอร์พูลในปี 2005 อีก และแชมป์เก่ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ยังไงก็ต้องได้กลับไปป้องกันแชมป์ของตัวเองเสมอ
กฎนี้ถูกบัญญัติไว้ก็จริง แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครได้ใช้ เพราะทีมที่ได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แทบทั้งหมด ก็ติดท็อปโฟร์ในประเทศตัวเองอยู่แล้ว
ซีซั่น 2006-07 แชมป์ชปล. คือ เอซี มิลาน ในลีกตัวเองจบอันดับ 4
ซีซั่น 2007-08 แชมป์ชปล. คือ แมนฯยูไนเต็ด ในลีกตัวเองจบอันดับ 1
ซีซั่น 2008-09 แชมป์ชปล. คือ บาร์เซโลน่า ในลีกตัวเองจบอันดับ 1
ซีซั่น 2009-10 แชมป์ชปล. คือ อินเตอร์ มิลาน ในลีกตัวเองจบอันดับ 1
ซีซั่น 2010-11 แชมป์ชปล. คือ บาร์เซโลน่า ในลีกตัวเองจบอันดับ 1
3
แต่ในที่สุด ในฤดูกาล 2011-12 กฎนี้ ก็ถูกใช้จนได้ เพราะเชลซี ที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ จบอันดับ 6 ในพรีเมียร์ลีก
1
ในเมื่อกฎระบุไว้ว่า แชมป์เก่าต้องได้กลับไปป้องกันแชมป์เสมอ และโควต้าสูงสุดของอังกฤษ มี 4 ทีม แปลว่า อันดับ 4 ในลีก ซึ่งก็คือสเปอร์ส ต้องหล่นไปเล่นยูฟ่า ยูโรป้าลีก (หรือยูฟ่าคัพเดิม) อย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
ยูฟ่ามีการพัฒนากฎโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีกรอบ ในฤดูกาล 2014-15 โดยใส่เงื่อนไขใหม่เข้าไป 4 ข้อ
1) แต่ละประเทศ มีโอกาสได้โควต้าสูงสุด 5 ทีม (จากเดิม 4 ทีม)
2) แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถ้าอันดับในลีกไม่ติดท็อปโฟร์ จะได้กลับไปเล่นชปล. ในฤดูกาลหน้าทันที แต่อันดับ 1-4 ในลีก ก็ยังได้ไปอยู่ (ท็อปโฟร์ + แชมป์ชปล.)
2
3) แชมป์ยูฟ่า ยูโรป้าลีก ถ้าอันดับในลีกไม่ติดท็อปโฟร์ จะได้เล่นในชปล. ในฤดูกาลหน้าทันที แต่อันดับ 1-4 ในลีก ก็ยังได้ไปอยู่ (ท็อปโฟร์ + แชมป์ยูโรป้า)
4) ถ้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ ยูฟ่า ยูโรป้าลีก มาจากประเทศเดียวกัน และทั้งคู่ไม่ติดท็อปโฟร์ของลีกประเทศตัวเอง อันดับในลีกที่จะได้ไปชปล. เหลือแค่ 1-3 เท่านั้น (ท็อปทรี + แชมป์ชปล. + แชมป์ยูโรป้า) ส่วนทีมอันดับ 4 ก็จะหล่นไปเล่นยูโรป้าลีก
1
แอดมินจะยกสถานการณ์จำลองขึ้นมานะครับ คุณผู้อ่านจะได้เห็นภาพได้เคลียร์ขึ้น
[ สถานการณ์ 1 ]
1
1- แมนเชสเตอร์ ซิตี้
2- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
3- เลสเตอร์
4- ลิเวอร์พูล
5- เชลซี (แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก)
6- อาร์เซน่อล
2
ทีมที่ได้โควต้า ชปล. จะมี 5 ทีม คือ : แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เลสเตอร์, ลิเวอร์พูล และ เชลซี
[ สถานการณ์ 2 ]
1- แมนเชสเตอร์ ซิตี้
2- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
3- เลสเตอร์
4- ลิเวอร์พูล
5- เชลซี
6- อาร์เซน่อล (แชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้าลีก)
2
ทีมที่ได้โควต้า ชปล. จะมี 5 ทีม คือ : แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เลสเตอร์, ลิเวอร์พูล และ อาร์เซน่อล
[ สถานการณ์ 3 ]
1- แมนเชสเตอร์ ซิตี้
2- แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
3- เลสเตอร์
4- ลิเวอร์พูล
5- เชลซี (แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก)
6- อาร์เซน่อล (แชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้าลีก)
ทีมที่ได้โควต้า ชปล. จะมี 5 ทีมคือ : แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เลสเตอร์, เชลซี และ อาร์เซน่อล
1
ที่อันดับ 4 ลิเวอร์พูลไม่ได้ไป สาเหตุเพราะต้องยกโควต้าให้แชมป์เก่าทั้ง 2 ถ้วยนั่นเอง
1
ตัวอย่างในสถานการณ์ 3 ที่แอดมินยกมา มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะโอกาสที่แชมป์ชปล. กับ ยูโรป้าลีก จะหลุดท็อปโฟร์ในลีกตัวเองพร้อมกัน มันเกิดขึ้นได้ยากมาก แต่ในซีซั่น 2020-21 มันก็ "ใกล้เคียง" ที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะเชลซีได้เข้าชิงชปล. และ อาร์เซน่อล เข้าถึงรอบรองยูโรป้าลีก
1
แต่สุดท้ายสถานการณ์ที่ 3 ที่แอดมินเขียนไว้ ก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะอาร์เซน่อลตกรอบไปแล้ว
1
สรุปคือในฟุตบอลลีกยุโรปตอนนี้ มีแค่ 2 ประเทศเท่านั้น ที่มีโอกาสได้โควต้าชปล. 5 ทีม
ประเทศแรกคือ อังกฤษ ถ้าเชลซีหลุดท็อปโฟร์ แต่ได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทีมที่จะได้ไปชปล. คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เลสเตอร์, ลิเวอร์พูล และ เชลซี
และประเทศที่สอง คือสเปน ถ้าบียาร์เรอัล ได้แชมป์ยูฟ่า ยูโรป้าลีก ทีมที่จะได้ชปล. คือ แอตเลติโก้ มาดริด, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, เซบีญ่า และ บียาร์เรอัล
สำหรับแฟนบอลบางสโมสร ที่อาจยังสับสนสถานการณ์เรื่องโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แอดมินขอสรุปง่ายๆแบบนี้
- ถ้าเป็นแฟนลิเวอร์พูล ไม่ต้องสนใจนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ใครจะแพ้ ใครจะชนะ ก็ไม่เกี่ยว สนแค่ตัวเองพอ หากชนะ 3 เกมรวดที่เหลือในพรีเมียร์ลีก พวกเขาจะจบท็อปโฟร์ และได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกแน่นอน
มีเหลี่ยมเดียวที่ลิเวอร์พูลชนะ 3 นัดรวดแล้วจะไม่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกคือ เลสเตอร์ แพ้ เชลซี ในเกมที่ 37 ของฤดูกาล จากนั้นเลสเตอร์ไปถล่มสเปอร์สอย่างน้อย 3 ลูกขึ้นไป ในเกมที่ 38 ของฤดูกาล คือทางทฤษฎีเป็นไปได้ แต่ทางปฏิบัติมันไม่เกิดขึ้นหรอก
1
- ถ้าเป็นแฟนเชลซี ขั้นแรกลุ้นให้ทีมจบท็อปโฟร์ให้ได้ก่อน ถ้าสุดท้ายหลุด 1 ใน 4 จริงๆ ก็ต้องลุ้นให้ทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในนัดชิงที่โปรตุเกส เพื่อจะได้กลับไปเล่นชปล. ฤดูกาลหน้า
- ถ้าเป็นแฟนบียาร์เรอัล ต้องชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบชิงยูโรป้าลีกเท่านั้น ถึงจะได้โควต้าชปล. เพราะตำแหน่งรองแชมป์จะไม่ได้สิทธิ์ด้ว
ถามว่า ทำไมแต่ละทีม ต้องอยากไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกขนาดนั้น สาเหตุก็ชัดเจนคือ แค่เข้าร่วมก็ได้เงินเพิ่มมหาศาลแล้ว และยังเป็นแรงดึงดูดสำคัญให้นักเตะระดับโลกย้ายมาอยู่กับคุณได้ง่ายขึ้นด้วย
ลองคิดดูว่า ผู้เล่นอย่างเอ็มบัปเป้ หรือ ฮาแลนด์ จะอยากเล่นในยูโรป้าลีกหรือ? ก็คงไม่หรอก ผู้เล่นเกรดเอ ก็ต้องใฝ่ฝันถึงโทรฟี่ใบใหญ่ที่สุดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว จริงมะ
นี่ล่ะครับแอดมินขอสรุปภาพรวมการเปลี่ยนแปลงเรื่องโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีก มาจนถึง Scenario ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ครับ
สำหรับ การลุ้นโควต้าชปล. ท้ายซีซั่น ผมว่ามันลุ้นระทึกทุกปีจริงๆ ก็เลยอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าไอเดีย Super League ที่ทีมใหญ่คุยกันเมื่อเดือนก่อน มันลุล่วงได้จริงๆ เรื่องความตื่นเต้นในช่วงโค้งสุดท้ายแบบนี้ ก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งสำหรับแฟนฟุตบอล ก็เป็นมุมที่น่าเสียดายเหมือนกันเนอะ
#UefaChampionsLeague
โฆษณา