16 พ.ค. 2021 เวลา 21:32 • ปรัชญา
“การว่ากล่าวติเตียนเหมือนมีคนมาชี้ขุมทรัพย์ให้”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔
การจองเวรจะนำไปสู่ความทุกข์ทั้ง ๒ ฝ่าย ถ้าอยากจะให้ความทุกข์ไม่เกิดขึ้นกับทั้ง ๒ ฝ่าย ผู้ที่เดือดร้อนได้รับความเสียหายก็ต้องให้อภัยไม่จองเวร อย่าไปถือใครผิดใครถูก ให้ถือว่าวิธีที่จะทำให้อยู่กันอย่างสันติสุขอยู่อย่างไร เรามองเป้าหมายผิดในการไม่จองเวร ถ้าเราไปมองว่าเราถูกเขาผิดเขา ต้องถูกลงโทษ ถ้าเรามองอย่างนี้แล้วสันติสุขไม่มีวันเกิด พอเราไปลงโทษเขาไปทำโทษเขา เขาก็จะโกรธเรา เขาก็จะจองเวรจองกรรมเรา งั้นต้องดูที่ผลของการไม่จองเวร ไม่ได้เพื่อเอาความยุติธรรมหรืออความแพ้หรือชนะ ใครถูกใครผิด เราต้องการสันติสุข ต้องการความสงบในการอยู่ร่วมกัน ถ้าเขาทำร้ายเราก็ให้อภัยไป อย่าตอบโต้พูดง่ายๆ อย่าจองเวรอย่าตอบโต้ ใครเขาด่าเราไม่ต้องด่ากลับ ใครเขาใส่รายป้ายสีเราไม่ต้องไปตอบโต้ เราไม่ได้เป็นควาย เขาเรียกเราว่าควาย มันก็ไม่ได้ทำให้เราเป็นควาย ไม่ต้องไปโกรธ ขอให้เรารู้ตัวเราเองว่าเราเป็นอะไรเท่านั้นก็พอ ใครเขาจะใส่ร้ายป้ายสีเราอย่างไร เราไปห้ามเขาไม่ได้ แล้วใครจะไปเชื่อเราก็ห้ามเขาไม่ได้เหมือนกัน แต่เรายืนอยู่บนความถูกต้องของเรา ถ้าเราไม่ถูกตามที่เขาพูดตามที่เขาใส่ร้าย เราก็ควรจะขอบใจเขา ถ้าเขาว่าเราเป็นควายแล้วเราดูหน้าเรามันมีเขางอกออกมา เราก็บอกว่า “เฮ้ย เราน่าจะเป็นควายแล้วนะ” ถ้าเราไม่อยากจะเป็นควายจะได้รีบไปเอาเขาออกเสีย
 
อันนี้การว่ากล่าวติเตียนนี้ถ้าเป็นความจริง ถือว่าเป็นขุมทรัพย์ เป็นการบอกขุมทรัพย์ให้กับเรา บอกความบกพร่องของเราพอเรารู้เราจะได้แก้ไขได้ เพราะเราปกติมักจะไม่ค่อยมองตัวเรา เหมือนกับเราไม่มีกระจกเงา แต่คนอื่นนี่เขาเห็นตัวเราแต่เรามองไม่เห็นตัวเรา เราต้องอาศัยคนอื่นเป็นเหมือนกระจกส่องเรา ที่จะทำให้เราเห็นว่าเราขาดตกบกพร่องอะไรหรือไม่อย่างไร ดังนั้น การว่ากล่าวติเตียนของผู้อื่น ครหานินทาของผู้อื่น อย่าเกิดความโกรธขึ้นมาเวลาถูกเขาครหา จะจริงไม่จริงก็โกรธไม่ได้ จริงก็โกรธไม่ได้ ไม่จริงก็โกรธไม่ได้ แต่เราดูที่ความจริงว่ามันจริงหรือไม่จริงเพราะมันจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเขาว่าเราแล้วมันไม่จริงตามที่เขาว่า เราก็จะได้รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร คือเป็นคนตาบอด คนมองความจริงไม่เป็น มองไม่เห็นความจริง หรือเป็นคนที่มีความปรารถนาร้ายกับผู้อื่น เป็นคนที่ไม่ปรารถนาที่จะเป็นมิตรกับเรา เราก็จะได้พยายามหลีกเลี่ยงการคบค้าสมาคมกับเขา แต่เราจะไม่ไปอาฆาตพยาบาทไปโกรธไปเกลียดเขา เพียงแต่อาศัยเขาเป็นผู้บอกเราว่าเราเป็นอย่างไร ถ้าสิ่งที่เขาบอกเป็นความจริง เราบกพร่องตามที่เขาบอกเราก็ควรที่จะขอบใจเขา เพราะบางทีเรามองไม่เห็นความบกพร่องของเราเอง คนอื่นเขาเห็นเราชัดกว่าเราเห็นเราเองเพราะเวลาเรามองตัวเราเองเรามักจะมองเข้าข้างตัวเราเอง เรามักจะคิดว่าตัวเราดี เรามักจะคิดว่าเราไม่มีอะไรไม่ดี แต่คนอื่นนี่เขามองเห็นเราชัดกว่า เหมือนกับเรามองคนอื่นชัดกว่าเขามองตัวเขาเอง ดังนั้น เวลาที่ใครเขาพูดอะไรแล้วทำให้เราไม่พอใจ อย่าไปโกรธเขา อย่าไปตอบโต้ อันนี้เป็นขั้นแรกของความมีเมตตา คือจะไม่ไปทำให้เขาโกรธกลับ ไม่ไปทำร้ายเขา สิ่งที่เขาพูดแล้วก็เอามาเป็นประโยชน์ ดูซิว่าเอามาเป็นประโยชน์ได้หรือไม่ ถ้าเขาพูดเป็นความจริงเราก็เหมือนกับมีคนมาชี้ขุมทรัพย์ให้กับเรา เพราะเมื่อเราแก้ส่วนที่เป็นข้อบกพร่องของเราได้ มันก็ทำให้เราดีขึ้น
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โฆษณา