18 พ.ค. 2021 เวลา 09:30 • ไลฟ์สไตล์
คนไทย! ย้ายประเทศ สวีเดนจัดเต็มเปิดรับ
ก่อนหน้านี้ก็ฮือฮากันพอประมาณ...กรณีก๊วนคีย์บอร์ดปิ๊งไอเดียชวนคนไทย “ย้ายประเทศกันเถอะ”
ปรากฏว่า...มีผู้ติดแหร่วมคิดกว่าครึ่งล้านชั่วไม่กี่วัน กล่าวกันว่าเนื่องจากสังคมไทยปัจจุบันอ่อนแอ มาตรฐานการปกครองล้มเหลวโดยสิ้นเชิงโมเมนต์นี้จึงถือเป็นคะตะไลต์เร่งปฏิกิริยาเร่งเกมด้วยวลีสั้นๆ...
“ย้ายประเทศกันเถอะ”
แทนการสู้หน้าทำเนียบ...แต่คงไม่แรงพอจะให้พี่น้องไทยทิ้งแผ่นดินจริง เหมือนคนหนีคดีสำคัญไปอาศัยแผ่นดินอื่นหายใจ...เพื่อรอวันนิรโทษกรรมกลับมากินข้าวซอยขนมจีนน้ำเงี้ยวเวียงพิงค์
การรบเชิงยั่วยุที่ว่านี้...ได้แนวร่วมสถานเอกอัครราชทูตสวีเดน ประจำไทยมาเป็นขนมจีนผสมน้ำยา รับคนไทยไปเข้าเล้าแดนไวกิ้ง แห่งทะเลบัลติกสแกนดิเนเวีย
ถ้าย้อนอดีต...หนังเรื่องนี้ไม่ใช่ม้วนใหม่เพิ่งนำออกฉาย เพียงแต่เหมือนฉากโรบินฮู้ดไทยยุคซิกซ์ตี้หรือ “เบบี้บูมเมอร์” ค.ศ.นี้ เคยบินไปแอบล้างจาน เฝ้าลานจอดรถ ลูกจ้างซุปเปอร์มาร์เกต เด็กปั๊มในอเมริกา ควบงานกันที 2 ถึง 3 กะ...เพื่อหวังค่าตอบแทนเลี้ยงตัวเองให้รอด
จนวันหนึ่ง...เจ้าของประเทศประกาศปลดล็อก ให้ต่างชาติทำงานได้ถูกต้อง คนที่ขยันสะสมเงินยูเอสดอลลาร์ได้มาก ถึงผันตัวเองเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารไทย มินิมาร์ท นวดแผนไทย และอีกมากมายที่รัฐบาลอเมริกันเปิดทางให้ประกอบอาชีพและอยู่อาศัยเป็นการถาวร
แล้วน่าดีใจ...ที่คนเหล่านี้ไม่เนรคุณแผ่นดินแม่ โดยย้ายแต่ตัวไปไม่ “ย้ายประเทศ” แบบ “ไร้เยื่อใย” ด้วยหมั่นวนเวียนมาเยี่ยมบ้านเกิดมิได้ขาด บางรายขอกลับมาตายเมืองไทยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม...ด้วยสภาพเศรษฐกิจบ้านเมืองผันผวน การดิ้นรนขวนขวายขายนาไปหางานต่างประเทศจึงมีแต่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากอเมริกาก็มีสหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส ตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน รวมถึงเพื่อนบ้านอาเซียน
แต่ย้ำอีกที...ไม่รุนแรงถึงขั้นย้ายประเทศไปเป็นประชากรชั้น 2 และ 3 ที่ไม่ใช่ถิ่นเกิด
หญิงไทยในเยอรมนีรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า...เธอเป็นสาวบาร์เบียร์เมืองพัทยา ดีใจที่ได้สามีผัวเยอรมัน ตัดสินใจหอบผ้าหอบผ่อนตามไปอยู่แฟรงก์เฟิร์ต...คิดว่าน่าจะสบายแล้วชาตินี้
แต่ด้วยวัฒนธรรมที่แตกต่าง...เช้าเธอชงกาแฟนั่งดื่ม เปิดวิทยุฟังเพลง อ่านหนังสือพิมพ์ ถูกสามีสั่งไม่ให้ทำ 3 อย่างในเวลาเดียวกัน...
กระนั้นแล้วอยู่บ้านมีเงินรายเดือนให้ใช้ วันใดออกเดตดินเนอร์ต้องแยกต่างคนต่างจ่าย หน้าหนาวหิมะตกอย่าได้แต่นั่งมอง ต้องออกไปกวาดหิมะหน้าบ้าน
1
สุดท้ายทนกดดันไม่ไหว จึงกลับไปขายบริการได้เงินมา ฟากสามีกลับเห็นเป็นเรื่องดีที่ช่วยจุนเจือครอบครัว...ผลสรุปคือกลับบ้านเฮาดีกว่า และไม่ขอคิดย้ายหนีไทยไปไหนอีกแล้ว นี่คือความจริงชีวิตจริง
มาดูม้าอารี “สวีเดน” กันบ้าง...ดินแดนแห่งนี้มีประชากรราว 10 ล้านคน เที่ยวบ้านเราปีละ 4 แสนคน พักเฉลี่ย 18 วัน ส่วนใหญ่มาซ้ำครั้งเพราะรักทะเลภูเก็ต กับพังงาที่เขาหลักหาดน้ำเมา และกระบี่ เนื่องจากคนถิ่นนี้เคยช่วยชีวิตให้รอดตายจากคลื่นสึนามิ หลังฉลองคืนคริสต์มาส เมื่อเช้า 26 ธันวาคม 2547
ที่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ก็เป็นเป้าหมายของครอบครัวสวีดิช ที่นิยมลาพักร้อนยาวเกินเดือนนำลูกหลานกับครูมาพักผ่อนช่วงปิดภาคเรียน แล้วเรียนหนังสือพร้อมกับเด็กเกาะลันตาทุกปี
นอกจากนี้...ยังมีผู้สูงวัยอยู่มากในสวีเดน รักจะมาใช้ชีวิตบั้นปลายเมืองไทย ด้วยเหตุผลเป็นแดนแห่งมิตรภาพ สภาพแวดล้อมชุมชนดูมีคุณค่า จึงเป็นที่มาของการเกิดชุมชนริมทะเลชาวสวีเดน บนหาดทรายปราณบุรี หัวหิน กระจายไปถึงเกาะช้าง จังหวัดตราดทีเดียว
มาถึงซีนคนไทยบ้าง...ที่กำลังชั่งใจคำชวนให้ “ย้ายประเทศกันเถอะ” โดยมีสถานทูตสวีเดนในไทยเป็นตัวสอดแทรก...ให้มีบริบทเพื่อตัดสินใจ คือสวีเดนเป็นประเทศให้สิทธิ์คุ้มครองแรงงานดีเยี่ยม ทัดเทียมความเป็นมนุษย์เหนือเมืองไทย มีนวัตกรรมใหม่ๆมอบแก่ประชาชน...
1
ข้อมัดใจ “คนไทย” ใช่เลย สวัสดิการอันมั่นคงติดอันดับท็อปวันโลก...ซึ่งหาแทบไม่ได้ในบ้านเรา
น้ำผึ้ง มะณีสาร สาวชาวกรุงเทพฯวัย 28 ปี บัณฑิตสาขาบริหารจัดการธุรกิจการบิน จากมหาวิทยาลัยดังย่านรังสิต
หลังแต่งงานกับสวีดิชในไทยแล้วไปใช้ชีวิตในกรุงสตอกโฮล์ม นาน 4 ปี เธอบอกให้มองเหรียญ 2 ด้านระหว่าง “ข้อดี” กับ “ข้อเสีย” ถ้าคิดลาจรไปใช้ชีวิตมุมโลกนี้
ข้อดี...ภาคบังคับต้องเรียนภาษาสวีดิชปีสองปี ด้วยคนที่นี่ถึงจะพูดอังกฤษติดอันดับต้นๆของโลก แต่เวลาทำงานเขาใช้สวีดิชเป็นหลัก ดังนั้น...จะไปเรียนต่อหรือทำงานต้องสวีดิชเท่านั้น
น้ำผึ้งเป็นคนสองสัญชาติคือไทย-สวีเดน จึงได้สิทธิ์การรักษาพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนมาตรฐานเดียวกัน เช่น ตรวจมะเร็งปากมดลูกฟรี คลอดลูกโดยผ่าหรือคลอดธรรมชาติค่าใช้จ่ายแค่หลักพัน ลูกมีค่าเลี้ยงดูเรียนหนังสือฟรี โตขึ้นวันหยุดทำงานพิเศษได้ไม่ผิดกฎหมาย
2
ใครไม่มีเบบี๋แต่อยากได้ โรงพยาบาลที่นี่ทำเด็กหลอดแก้วให้ได้โดยไม่มีค่าบริการ” น้ำผึ้งเล่าและบอกอีกว่า การทำงานที่นี่จ่ายภาษีหนักก็จริง แต่คืนกลับในรูปรัฐ
สวัสดิการ...
ช่วงวิกฤติโควิดน้ำผึ้งว่างงานนานร่วม 1 ปี ไม่มีปัญหาเพราะรัฐจ่ายเงินให้ 80% ของเงินเดือนโดยไม่ต้องทำงาน ถ้ามาเธอร์ ลีฟว์ ลาคลอดได้อยู่ดูแลลูกตลอดหนึ่งปีทั้งแม่และพ่อ แถมมีเงินเดือนประจำให้ใช้...กลับเข้าทำงานวันใดไม่ต้องกลัวตำแหน่งหาย...เพราะเขาสงวนไว้ให้
“ข้อเสียกับคนต่างชาติ...แน่นอน คือเรื่องภาษาสวีดิช ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสมัครงานให้ตรงกับสายอาชีพ”
น้ำผึ้งกล่าว ประการต่อมาอุณหภูมิอากาศที่นี่หนาวแทบทั้งปี มีแดดให้นุ่งกางเกงขาสั้นได้เพียงไม่กี่วัน
“คนประเทศนี้จึงป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามากสุด จากอิทธิพลอากาศที่พาไป และเป็นเหตุผลหนึ่งซึ่งผลักดันให้อุปนิสัยคนสวีดิชเฉื่อยชาเชื่องช้าทั้งในครอบครัว ที่ทำงาน และกับสังคมภายนอก...จึงเป็นคำตอบที่ว่า...ทำไมพวกเขาถึงชอบไปเที่ยวและใช้ชีวิตกับหาดทรายชายทะเลไทย”
ปัญหาต่อมา...คนอพยพจากกลุ่มประเทศยุโรปที่กำลังตกต่ำ เช่น ตุรกี โปแลนด์ ทะลักเข้ามามากและสร้างปัญหาลักขโมยปล้นจี้ เป็นมะเร็งร้ายของสังคมสวีเดนที่เคยปกติสุขมาก่อน
อีกสิ่งที่คนไทยควรรู้...ได้แก่รายได้จากสกุลเงินโครนาซึ่งสูงก็จริง แต่ถูกภาษีบุคคลเรียกเก็บเบื้องต้น 29% บวกภาษีมูลค่าเพิ่ม 25% เท่ากับ 54 : 46 แต่ตรงนี้เป็นผลดีด้านประกันสังคม
อีกเรื่องสำคัญที่ต้องเข้าใจ...คนที่นี่ต่างคนต่างอยู่ เพื่อนบ้านตายเป็นปีคนบ้านใกล้เรือนเคียงยังไม่รู้ เพราะไม่สนใจซึ่งกันและกัน อาหารการกินตามแบบฉบับตะวันตกคนไทยอาจไม่คุ้น ไม่มีสตรีทฟู้ดให้แซ่บอีหลีทั้งวันทั้งคืน สนนราคาจานหนึ่งอย่างต่ำฟาดไป 100 โครนา หรือ 350 บาท...++
ข้อมูลข้างต้นทั้งหมดเหล่านี้ถ้าไม่มากพอให้ตัดสินใจ “ย้ายประเทศ” หลายๆคนที่รู้ลึกรู้จริงแนะว่าให้ไปจับเข่าคุยกับนักการเมืองดังย่านบางบอนที่มีประสบการณ์เคยลี้ภัยไปอาศัยแผ่นดินสวีเดนอยู่พักใหญ่ แล้วจะรู้ “เมืองไทย” ยังน่าอยู่...หรือน่าย้าย?
👇อ่านบทความเพิ่มเติม👇
โฆษณา