20 พ.ค. 2021 เวลา 05:57 • ท่องเที่ยว
Mrauk U .. มหัศจรรย์อาณาจักรโบราณแห่ง มรัคอู
การออกเดินทางไปเยือน "มรัคอู" ในครั้งนี้ เหมือนกับการไปตามล่าคว้าความฝันที่เคยมีในใจมาเนิ่นนานสำหรับฉัน
เราเริ่มการเดินทางด้วยการบินออกจากท่าอากาศยานดอนเมืองในช่วงเช้าของวันสุดท้ายของปี 2559 ... และใช้เวลาไม่นาน เครื่องบินก็มาถึงท่าอากาศยานที่กรุงย่างกุ้ง
ในช่วงที่รอต่อเครื่องบินภายในประเทศ ... เราพอจะมีเวลารับประทานอาหารใน Domestic Terminal ซึ่งอยู่ติดกันกับ International Terminal ห่างกันเพียงแค่เดินไม่กี่ก้าว
เราฝากท้องสำหรับอหารมื้อแรกในพม่าที่ร้านอาหาร Thai Express .. ดูจากเมนู มีอาหารไทยหลายอย่างให้เลือก ในราคาที่พอรับได
เราเดินทางออกจากย่างก้ง มุ่งหน้าไปยังเมืองชิตตุ่ย ด้วยการใช้บริการของสายการบิน FMI Air ซึ่งเป็นสายการบินภายในประเทศของพม่า … เครื่องบินที่ใช้เป็นเครื่องบินใบพัดขนาดเล็ก แต่ก็สะดวกสบายดี
ย่างกุ้ง ในมุมสูง … มองเห็นแม่น้ำย่างกุ้งซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของเมืองนี้ไหลคดเคี้ยวอยู่เบื้องล่าง
แม่น้ำย่างกุ้ง .. เป็นสายน้ำที่สำคัญสายหนึ่งของพม่า ที่ผู้คนยังใช้ในการเดินทาง ขนส่งสินค้า
เราใช้เวลาบินราว 1:30 ชั่วโมง ก็มาถึงสนามบินชิตเว (Sittwe) .. สังเกตุจากการสภาพก่อสร้างที่ยังดำเนินการต่อเนื่อง เข้าใจว่าที่นี่คงเป็นอาคารสนามบินแห่งใหม่ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวและคนแรมทาง ด้วยเหตุที่เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ที่สำคัญของรัฐยะไข่ เป็นเมืองท่าที่สำคัญ รวมถึงเป็นประตูสู่เมืองอื่นๆในรัฐนี้
เมืองซิตเว (Sittwe) เป็นเมืองหลวงของรัฐยะไข่ (Rakhine) ทางทิศตะวันตก เป็นชายแดนสุดฝั่งทะเลอ่าวเบงกอล ของประเทศพม่า มีชายแดนติดบังกลาเทศ
พรมแดนธรรมชาติอันเป็นอุปสรรคสำคัญ ในการติดต่อสมาคมกับแผ่นดินส่วนใหญ่ของพม่า คือ เทือกเขาอรกันโยมา (Arkhine Yoma) ทีทอดยาวตลอดแนวพรมแดนติดทะเลเป็นระยะทางยาวเกือบ 600 กิโลเมตร ทางฝั่งตะวันออกของรัฐยะไข่
ด้วยอุปสรรคด้านภูมิประเทศ … การเดินทางสู่เมืองต่างๆใน Rakhine State โดยทางบกจึงเป็นไปโดยลำบาก
ในปัจจุบัน เมื่อเริ่มจะมีถนนฝุ่นแบบง่ายๆ การเดินทางไปที่เมืองมรัคอู เราจึงมีทางเลือกเพิ่มขึ้นเป็น 2 ทางเลือก …
ทางแรก .. การเดินทางทางรถยนต์ ซึ่งจะใช้เวลาราว 4-5 ชั่วโมงด้วยสภาพถนนที่บางช่วงใช้ได้ แต่มีบางส่วนที่ผู้โดยสารต้องผ่านประสบการณ์การกระเด็นกระดอนพอสมควร ... แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ได้ตอบแทนคืนมาก็คือ การได้มีโอกาสชมวิวทิวทัศน์ เช่น แม่น้ำ สะพาน ภาพวิถีชีวิตของผู้คนในรายทาง ที่เราอาจจะไม่ได้เห็นในการเดินทางด้วยวิธีอื่น
การเดินทางด้วยวิธีที่สอง คือ การใช้บริการของเรือโดยสาร ล่องไปตามแม่น้ำ Kaladan ไปเรื่อยๆจนถึงเมืองมรัคอู ซึ่งหากเลือกวิธีนี้จะใช้เวลาราว 5-6 ชั่วโมง
เรามาถึงเมืองชิตเวในเวลาบายคล้อย หากจะนั่งเรือก็คงจะไม่มีวิวทิวทัศน์อะไรให้ดู รวมถึงจะไปถึงจุดหมายในเวลาดึก … เราจึงเลือกที่จะเดินทางด้วยรถยนต์
หลังจากนั่งรถบัสขนาดกลางๆมาสักพักใหญ่ .. เราแวะพักทำธุระส่วนตัวกัน ณ ที่แห่งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสถานีขนส่งท้องถิ่น
ชนบทของพม่า .. วิถีชีวิตของผู้คนที่มองเห็นในสายตา ยังคงเหมือนเวลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ ... มีสามล้อ รถสองแถวที่เก่าคร่ำครา ร้านค้าเล็กๆ และแผงลอยขายผลไม้ หมากพลู ให้เห็นอยู่ทั่วไป
ทุกชุมชนในพม่ามีส่วนที่คล้ายกับชนบทในเมืองไทย คือ จะมีวัดเป็นจุดรวมศูนย์ของผู้คนในชุมชน
วัดที่เห็นในภาพด้านบน ค่อนข้างอลังการ .. เมื่อเทียบกับบ้านเรือนของชาวบ้านที่ส่วนใหญ่จะเก่าซอมซ่อ
วัดดูงดงาม และพระพุทธรูปเป็นปางประทับยืน เราจะสามารถมองเห็นเมื่อรถแล่นผ่าน ส่วนมุมที่ถ่ายรูปมาจะโดนบัง
… เมื่อเวลาล่วงเลยเข้าช่วงเย็นย่ำ ... เราออกเดินทางต่อ
ฉันนั่งหลับๆตื่นๆอยู่หลายชั่วโมง ... ในที่สุดก็ถูกปลุกและรับทราบว่าถึงจุดหมายปลายทางเรียบร้อยแล้ว
การเดินทางใน เมืองมรัคอู … The lost kingdom of Burma ของฉัน กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วค่ะ
ในช่วงที่อาณาจักรมรัคอูรุ่งเรืองถึงขีดสุดนั้น เป็นยุคที่มรัคอูไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรใด รวมถึงเป็นอิสระจากเบงกอลและพม่า ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่ชาวตะวันตกเริ่มจะเข้ามามีความสัมพันธ์ทางการค้ากับผู้คนในดินแดนนี้ด้วย …
ในยุคนี้เอง กษัตริย์ เสนบดี พ่อค้าวาณิชย์และชาวบ้านที่ร่ำรวย ได้สร้างเจดีย์และวัดาอารามขึ้นมากมาย เพื่อแสดงถึงพลังศรัทธาในพุทธศาสนา ส่งผลให้เมืองมรัคอูมีเจดีย์และวัดที่สวยงามกระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งเจดีย์และวัดเหล่านี้ส่วนใหญ่สร้างด้วยหินทราย และแตกต่างจากวัดและเจดีย์ในพุกามที่สร้างด้วยอิฐและโคลน
โบราณสถานในอาณาจักรมรัคอู มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่อันเป็นอาณาเขตของอาณาจักร และหากจะนับรวมให้ครอบคลุมถึงอาณาจักรก่อนหน้าอยาง อาณาเวสาลี ที่อยู่ไปทางเหนือ ก็จะมีกว่าหนึ่งหมื่นเจดีย์ทีเดียว
วัดที่สำคัญที่เราเห็นและไปเยือนในปัจจุบัน ว่ากันว่า เพิ่งจะได้รับการบูรณะเมื่อสิบปีกว่าๆมานี่เอง … แต่การจะไปเที่ยวชมโบราณสถานที่กระจายอยู่รอบๆเมืองให้ครบ หรือเที่ยวชมให้ได้มากส่วนใหญ่นั้น แทบจะเป็นไปไม่ไดในระยะเวลาอันสั้น ดังเช่นการไปเที่ยวถ่ายรูปของฉันในครั้งนี้
ดังนั้นวัดและเจดีย์ที่ฉันจะจูงมือคุณไปเที่ยวชมด้วยกัน จึงจะเป็นเฉพาะสถานที่ที่ฉันคิดว่าสำคัญเท่านั้นค่ะ
วัดที่สำคัญๆใน มรัคอู มีอยู่มาก ..
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า มรัคอู จะมีพุทธศาสนสถานอยู่มากมาย แต่ยังมีสถานที่สำคัญของศาสนาอื่นอยู่บ้าง ตามความเชื่อของแต่ละชุมชน เช่น มัสยิด Santikan ซึ่งสร้างในสมัยของกษัตริย์ Min Saw Mon ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง … นอกจากนี้ยัมีโบสถ์ Friar Manrique ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงถึงการเข้ามาถึงของ Roman Catholic church เป็นต้น … แต่ศาสนสถานของศาสนาอื่น เราไม่มีเวลาพอที่จะไปเยียมชม
เพื่อจะให้เห็นภาพของวัดและเจดีย์ที่มีอย่างมากมายใน มรัคอู คงจะไม่มีอะไรดีกว่าการเดินขึ้นเขาไปชมเมืองในมุมสูง เพื่อให้เห็นสภาพบ้านเมืองในแบบ Birds’ eyes View
เช้าวันขึ้นปีใหม่ พศ. 2560 … เราตื่นแต่เช้ามืด เดินทางไปยังเชิงเขาแห่งหนึ่ง ที่ว่ากันว่าเป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเมืองนี้
เราเดินขึ้นยอดเขา … ทางเดินไม่ถึงกับลำบากมาก แต่ก็ไม่ง่ายสำหรับคนที่ไม่เคยชิน
เนื่องจากสภาพพื้นที่ตอนที่เราเริ่มเดินยังไม่มีแสงอาทิตย์ส่องนำทาง คนที่จะไปรอพระอาทิตย์ขึ้นจึงควรจะนำไฟฉายติดตัวไป เพื่อส่องนำทางที่ไม่ราบเรียบ บางช่วงมีเนินเขาที่ลื่น หรือมีพันธุ์ไม้ที่เป็นวัชพืชที่มีหนามแหลมฯ จะได้ลดความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจจะเกิดโดยที่คาดคิด
ไกด์เดินนำทางพวกเราขึ้นไปตามเนินเขา … ดูเหมือนว่าจะเป็นเส้นทางเป็นทางไหลของน้ำซึ่งบางช่วงชันมากพอสมควร
เมื่อใกล้ถึงยอดเขา .. เราสังเกตุเห็นว่า ณ จัดยอดเขามีเจดีย์องค์ใหญ่ตั้งอยู่ และมีทางขึ้นเป็นบันไดนาค
ฉันรีบสาวเท้าก้าว ดันตัวต้านแรงโน้มถ่วงของโลก และก้าวเท้าไปข้างหน้า ตามองที่ยอดเจดีย์ เพื่อเอาเป็นที่หมายสำหรับการปีนป่ายครั้งนี้
ในที่สุด … ฉันก็ได้มาหยุดยืนอยู่ ณ จุดที่ใครๆบอกว่า พอเริ่มมีแสงมลังเมลืองให้เห็น สิ่งที่อยู่เบื้องล่าง คือ "สวรรค์บนดิน" ที่เราสัมผัสได้ด้วยสายตา
บรรยากาศรอบตัวยังมืดสลัว … ความเงียบที่มีบทเพลงของขุนเขาขับกล่อม คือความรื่นรมย์เดียวที่พบได้ในทุกเช้าของที่แห่งนี้
“หากจะถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้น ต้องไปทางด้านโน้นนะครับ ทางนี้จะไม่มีแสงอรุณรุ่ง จะมีเพียงภาพโบราณสถานของเมืองครับ” … ไกด์ของเราบอก
ฉันถือโอกาสช่วงที่ยังไม่มีแสง เดินไปรอบๆถานที่ตั้งของเจดีย์ .. ที่นี่ดูจะไม่มีอะไรมาก แต่ยังถ่ายภาพอะไรไม่ได้
รอเพียงไม่นานนัก เลนส์กล้องตัวปรดของฉันก็เริ่มจะจับแสงสะท้องของสถานที่ ณ เบื้องล่างได้
ภาพเบื้องล่างที่ปรากฏในสายตา … คือวัดและเจดีย์น้อยใหญ่ ทั้งใกล้และไกล เผยโฉมออกมาอวดสาตา เหมือนภาพวาดที่ศิลปินชั้นครูตระหวัดพู่กันวาดลงบนผืนผ้าใบอย่างชำนาญ
สายหมอกและควันไฟ ดูเหมือนจะเป็นเอฟเฟ๊กธรรมชาติที่ผสมผสานกับสิ่งที่สร้างจากน้ำมือมนุษย์จนก่อเกิดภาพที่มีมิติที่ดูจะลึกลับ แต่งดงาม .. เป็นองค์ประกอบของภาพที่สวยงาม และอาจจะมีพลัง ก่อให้เกิดจินตนาการที่ปราศจากขอบเขต
"สวรรค์" … จะมีจริงหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป ... แต่ความสวยงามน่าอัศจรรย์นี่ต่างหากที่ที่สร้าง “สวรรค์ในใจ” ให้เกิดขึ้นกับเราอย่างแท้จริง
ฉันเดินรอบๆองค์เจดีย์สีทองที่แม้ไม่สูงเสียดฟ้า ... แต่มีเสน่ห์สวยงามแบบเรียบง่าย
ด้านหนึ่งของเจดีย์มีศาลาไม้เล็กๆ ด้านในมีพระพุทธรูปแบบพม่าประดิษฐานอยู่
ด้านนอกฐานเจดีย์ที่เป็นซีเมนต์ มีใบเสมา 2-3 อันตั้งอยู่ ... ฉันไม่ทราบคามหมายและวัตถุประสงค์ของการสร้าง .. หากเป็นใบเสมาที่บ้านฉันที่บ้านนอก เขาเอาไว้บรรจุอัฐิของบรรพบุรุษที่วายชนม์ไปแล้วค่ะ
รูปปั้นคน .. น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของการเคารพนบนอบพุทธสถาน ในแบบของชาวพุทธ
ชาวพม่ามีศรัทธาในพุทธศาสนาอยุ่างสูงส่ง และมักจะเดินทางไปสวดมนต์ไหว้พระ ณ ศาสสถานในชุมชนเป็นกิจวัตร ไม่ว่าสถานที่แห่งนั้นจะอยู่ที่ไหน
เช้าในวันที่เราไปถ่ายรูป .. มีสาวชาวบ้าน เดินทางมาสักการะเจดีย์ ฉันจึงขออนุญาตเธอเพื่อเก็บภาพมาฝากค่ะ
สายลมเย็นบนยอดเขาพัดมากระทบใบหน้าเบาๆ ในขณะที่ฉันนั่งนิ่งๆ ใช้เวลาส่งสายตาจากออกไปยังขอบฟ้าที่มีทะเลเจดีย์เป็นฉากสวยงามอยู่เบื้องล่าง
จากที่นี่ ฉันมองเห็นเจดีย์และวัดมากมายเรียงรายทั้งบนพื้นที่ราบ เนินเขา และแม้กระทั่งบนยอดเขาสูงๆ .. เป็นภาพสวยงามที่แม้จะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษร ก็มิอาจจะเทียบได้กับสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าในขณะที่เห็นด้วยตา ... ทะเลเจดีย์ที่นี่แตกต่างจากที่พุกาม ซึ่งเจดีย์เกือบทั้งหมดตั้งอยู่บนที่ราบแห้งแล้ง ..
แสงแดดจ้ามากขึ้น … บอกเป็นนัยๆว่า เป็นเวลาที่เราควรจะลงจากเขา
ขณะที่เดินกลับลงมาจากยอดเขาตามทางที่ลดเลี้ยว ฉันหันกลับไปมองเจดีย์ที่วางตัวอยู่บนยอดเขา พร้อมกับห้วงคำนึ่งที่คิดถึงความผูกพัน และศรัทธาของผู้คนที่มีต่อสถานที่แห่งนี้ จนเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่นำพวกเขาดั้นด้นขึ้นมาอย่างยากลำบาก และสุดท้ายสร้างเจดีย์นี้ขึ้นมา
ระหว่างทางลงเขา … มองเห็นเจดีย์องค์เล็กๆอยู่ริมหุบที่ลาดลงไปตามเนิน ฉันจึงแวะเก็บภาพเจดีย์และพระพุทธรูปมาฝากค่ะ
ระหว่างทางลงเขา ฉันแวะถ่ายภาพศาลาและพระพุทธรูป … สวยงามดูมีมิติ ด้วยแสงเงาและองค์ประกอบ
ศาลาแห่งนี้ สร้างด้วยวัตถุประสงค์ใด? ฉันไม่อาจล่วงรู้ .. หากท่านใดทราบ ก็ช่วยแบ่งปันด้วยค่ะ
เราเดินไม่นานก็มาถึงเชิงเชา ที่มีวัดเล็กๆอีกแห่ง แต่ฉันไม่ได้แวะเข้าไป
บรรยากาศรอบตัว และอากาศดีๆยามเช้า .. ทำให้การเดินช้าๆ ใช้เวลาชื่นชมทุกอย่างรอบตัวเป็นความรื่นรมย์มากมาย และแปรเปลี่ยนเป็นความประทับใจได้อย่างง่ายด
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลกกับพี่สุ … รวม link บทความที่เขียนในเพจ ..
***เมืองไทย ไดอารี่ by Supawan
***Supawan’s colorful world
***สถานีอร่อย by Supawan
โฆษณา