25 พ.ค. 2021 เวลา 02:44 • ท่องเที่ยว
วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร
วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร หรือ วัดราชาธิวาสวิหาร ... เป็นวัดเก่าแก่มาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เดิมมีชื่อว่า “วัดสมอราย” .. ซึ่งชื่อวัดสมอรายนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชวิจารณ์ว่า คำว่าสมอนี้น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า ถมอ ซึ่งเป็นภาษาเขมรแปลว่า หิน ดังนั้น สมอราย หรือถมอราย จึงน่าจะหมายถึง หินเรียงราย
วัดแห่งนี้ ได้รับการปฏิสังขรณ์ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดราชาธิวาสวิหาร” มีความหมายว่า “วัดอันเป็นที่ประทับของพระราชา” เนื่องจากวัดแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและสมเด็จฯ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์เมื่อครั้งทรงผนวช
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งที่ยังทรงเป็น “พระวชิรญาณภิกขุ” ในช่วงเวลาที่ประทับที่วัดราชาธิวาสแห่งนี้ทรงตั้งคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายขึ้นตามพระราชประสงค์ของพระองค์ที่ต้องการฟื้นฟูศาสนาพุทธในสยามและแก้ไขวัตรปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระวินัย .. วัดแห้งนี้จึงเป็นวัดแรกที่ถือกำเนิดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย และคณะสงฆ์นี้ยังดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน
วัดราชาธิวาส .. แห่งนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาแล้วหลายครั้ง แต่ผลงานที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่เป็นงานในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งในการปฏิสังขรณ์ในครั้งนั้น พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ “เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์” หรือ “สมเด็จครู” ซึ่งในขณะนั้นยังทรงดำรงพระยศเป็น “สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์” ให้เป็นผู้ออกแบบพระอุโบสถ กำแพงแก้ว และสะพานนาคหน้าอุโบสถ
ปูชนียวัตถุและถาวรวัตถุ
พระอุโบสถ .. หันหน้าไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญในสมัยโบราณ โดยมีสะพานข้ามคลองเล็กๆ ตั้งอยู่ด้านหน้า
พระอุโบสถหลังเดิมได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาแล้วหลายครั้งตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และพระมหากษัตริย์องค์ต่อๆมา แต่ก็ได้ชำรุดทรุดโทรมลงไปมาก .. ใน พ.ศ. 2450 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะโปรดเกล้าฯ ให้รื้อสร้างใหม่ทั้งวัด
“สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัดติวงศ์” .. ทรงได้รับมอบหมายให้ออกแบบใหม่ให้มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากวัดอื่นและแตกต่างจากแบบแผนจารีตเดิม
“สมเด็จครู” .. ได้แรงบันดาลใจจากสะพานนาคในศิลปะขอมมาดัดแปลงลวดลาย
ตัวพระอุโบสถ … เป็นแบบผสมผสานศิลปะไทย ศิลปะขอม และศิลปะตะวันตก เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยพระองค์คงแนวผนังเดิมของพระอุโบสถเอาไว้ และนำแรงบันดาลใจจากศิลปะขอม ไม่ว่าจะเป็นเสาหรือซุ้มมาออกแบบใหม่ในสไตล์ของท่าน
หน้าบัน .. ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปะอยุธยาแบบอู่ทองรุ่นที่ 2 ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากศิลปะขอม ซึ่งรูปแบบนี้ต่อมากลายเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินสมัยหลังนำไปใช้ต่อ ในการออกแบบให้กับอีกหลายๆวัด
แนวกำแพงแก้ว ... มีการหักมุมและมีการนำรูปแบบใบเสมามาดัดแปลงกับหัวเสากำแพงแก้ว
ภายในพระอุโบสถ ... แบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ส่วนระเบียงด้านหน้า ส่วนตรงกลาง และส่วนด้านหลัง
ห้องตรงกลาง ... เป็นห้องที่สำคัญที่สุด เป็นที่ประดิษฐาน “พระสัมพุทธพรรณี” พระพุทธรูปที่รัชกาลที่ 5 โปรดให้สร้าง โดยจำลองแบบมาจากพระพุทธรูปที่มีพระนามเดียวกับพระราชบิดาของพระองค์ คือรัชกาลที่ 4 และประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ พ.ศ. 2452 เพื่อใช้เป็นพระประธานองค์ใหม่ของวัดแห่งนี้
ฐานของพระพุทธรูปองค์นี้เป็นที่ซึ่ง รัชกาลที่ 6 โปรดให้นำพระราชสรีรังคารของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถมาประดิษฐานเอาไว้ด้วย
“พระสัมพุทธพรรณี” ..มีนพปฎลมหาเศวตฉัตร (ร. 5 หล่อพระราชทาน) หลังพระประธานเป็นซุ้มคูหาที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ โดยใช้กรอบซุ้มอย่างขอมมาผสมผสานกับเสาซุ้มอย่างตะวันตก
ภาพจิตรกรรมด้านหลังพระสัมพุทธพรรณี : พระประธาน ภายในพระอุโบสถ วัดราชาธิวาสวิหาร
เบื้องบนพระประธาน : เป็นภาพพระพุทธเจ้าอยู่เหนือเมฆกำลังตอบปัญหาของพระสารีบุตรและพระอินทร์
เบื้องล่างที่ใกล้พระประธาน : มีรูปศากยกษัตริย์พระประยูรญาติมาเข้าเฝ้า
ซุ้มคูหาพระประธานเป็นตราพระราชลัญจกร ประจำ 5 รัชกาล คือ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 5 มาแทรกไว้ที่ปลายกรอบซุ้มแต่ละแห่ง .. เป็นงานศิลปกรรมที่งดงามมาก ได้แก่ ..
ตราช้างสามเศียรรองรับสัญลักษณ์โอมของรัชกาลที่ 1
ที่ยอดซุ้ม ตราครุฑยุดนาคของรัชกาลที่ 2
ที่กรอบซุ้มชั้นที่ 2 ฝั่งซ้าย ตราปราสาทของรัชกาลที่ 3
ที่กรอบซุ้มชั้นที่ 2 ฝั่งขวา ตราพระมหาพิชัยมงกุฎของรัชกาลที่ 4
ที่กรอบซุ้มชั้นที่ 3 ฝั่งซ้าย และตราพระเกี้ยวของรัชกาลที่ 5
ที่กรอบซุ้มชั้นที่ 3 ฝั่งขวา ภายในกรอบซุ้มยังมีการเขียนภาพจิตรกรรมเป็นภาพพระพุทธเจ้ายืน มีพระสารีบุตรและพระอินทร์มาเฝ้า และภาพกษัตริย์แห่งศากยวงศ์เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ผนังทั้ง 4 ด้าน ... มีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องเวสสันดรชาดกครบทั้ง 13 กัณฑ์ ซึ่งสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรงร่างแบบ (ภาพร่างต้นแบบของจิตรกรรมฝาผนังวัดราชาธิวาสปัจจุบันอยู่ที่วังปลายเนินร่วมกับภาพร่างต้นแบบอีกหลายภาพ)
... และให้จิตรกรรมชาวอิตาลีนาม คาร์โล ริโกลี (Carlo Rigoli) เป็นผู้ขยายแบบและลงสีโดยใช้เทคนิคการลงสีแบบ “เฟรสโก” หรือการเขียนสีบนปูนเปียก
การลงสีแบบ เฟรสโก ... เป็นเทคนิคการเขียนของโลกตะวันตก และจิตรกรรมฝาผนังที่วัดราชาธิวาส ถือเป็นครั้งแรกที่จิตรกรรมฝาผนังเนื่องในพุทธศาสนาถูกเขียนด้วยเทคนิคแบบนี้
ภาพจิตกรรมฝาผนัง .. มีความสมจริงทั้งฉาก บุคคล ธรรมชาติ โดยเรื่องราวทั้ง 13 กัณฑ์ถูกแบ่งเขียนลงทั้งผนังเหนือช่องประตูและหน้าต่างและผนังระหว่างกลาง บางตอนเขียนเต็มช่อง บางตอนเช่นกัณฑ์ทศพรเขียนแทรกกับตอนอื่น บางตอนเช่นกัณฑ์จุลพนที่ชูชกถูกสุนัขของพรานเจตบุตรไล่จนต้องหนีขึ้นต้นไม้ก็แบ่งเป็น 2 ช่องต่อกัน
ประตูนำไปสู่ห้องด้านหลัง .. รูปปั้นสวยมาก
ห้องด้านหลัง ... เป็นที่ประดิษฐาน “พระสัมพุทธวัฒโนภาส” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนปลายและพระประธานดั้งเดิมตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นวัดสมอราย ร่วมกับพระพุทธรูปอีก 2 องค์ ซึ่งทั้งหมดยังประดิษฐานอยู่ที่เดิม โดยกั้นผนังเพื่อประดิษฐานพระประธานองค์ใหม่แต่ยังเก็บรักษาองค์เดิมเอาไว้ เนื่องจากรัชกาลที่ 5 มีพระราชดำริว่า “ถ้าย้ายไปก็เสมือนหนึ่งไล่เจ้าของเดิม”
ฐานชุกชีของ “พระสัมพุทธวัฒโนภาส” .. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุพระสรีรังคารของสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และเส้นพระเกศาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ไว้ด้วย
พระเจดีย์ด้านหลังพระอุโบสถ … เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นครอบเจดีย์ทรงระฆัง ตามประวัติระบุว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่มาแล้วเสร็จในรัชกาลต่อมา
เจดีย์ทรงทรงระฆัง เป็นรูปแบบที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงโปรดมากกว่าเจดีย์ทรงเครื่องที่นิยมมาแต่ก่อน ด้วยเหตุผลว่าแน่นหนากว่า สามารถรักษาพระบรมสารีริกธาตุได้ดีกว่า .. ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะโปรดให้สร้างครอบ แต่มาแล้วเสร็จในรัชกาลต่อมาเช่นกัน โดยผู้ควบคุมออกแบบก่อสร้างคือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ พระราชโอรสร่วมพระราชบิดาและพระญาติพระองค์สำคัญพระองค์หนึ่งของรัชกาลที่ 5
เจดีย์ในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงปราสาท ประดิษฐานพระพุทธรูปในซุ้มทั้งสี่ด้าน ตั้งอยู่บนฐานสิงห์ล้อมมีซุ้มรอบ ... พระพุทธรูปที่อยู่ภายในซุ้มพระเจดีย์นั้น รัฐบาลฮอลันดานำมาจากอินโดนีเซีย 5 องค์5 ปาง (แทนพระธยานิพุทธเจ้าตามคติความเชื่อแบบพุทธศาสนามหายานตันตระ) และได้ถวายรัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์โปรดเกล้าฯให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ต่อมา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ ได้อัญเชิญมา 4 องค์และประดิษฐานตามทิศต่างๆ ตามทิศของพระธยานิพุทธเจ้านั้นๆ .. ส่วนอีกองค์ถูกแยกไปถวายสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดบวรนิเวศวิหาร (ปัจจุบันตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถ)
ศาลาการเปรียญ ... ตั้งอยู่หน้าวัด เป็นศาลาการเปรียญสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ออกแบบโดยพระยาจินดารังสรรค์ (พลับ) สถาปนิกผู้มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยได้แรงบันดาลใจจากศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี ศาลาแห่งนี้มีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยด้านหน้ามีตราพระเกี้ยว สัญลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 ในขณะที่ด้านหลังมีตราวชิราวุธ สัญลักษณ์ของรัชกาลที่ 6 ..ถือเป็นศาลาการเปรียญที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ภายในศาลาการเปรียญมีโต๊ะหมู่ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปะล้านนาแบบสิงห์ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานมา นอกจากนั้น ยังมีธรรมาสน์ที่งดงามอีก 2 องค์ ซึ่งเป็นงานฝีพระหัตถ์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งกล่าวกันว่าได้รับแบบอย่างจากธรรมาสน์ 2 องค์จากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ธรรมาสน์ทั้งสององค์นี้เป็นหนึ่งในมาสเตอร์พีซของธรรมาสน์สมัยอยุธยาตอนปลาย ปัจจุบันเก็บรักษาเอาไว้ในห้องกระจกด้านหลังพระวิหารหลวง
สิ่งก่อสร้างอื่น ... ภายในวัดราชาธิวาส ยังมีสิ่งก่อสร้างอื่นอีกมากที่น่าสนใจ เช่น พระตำหนักสมเด็จพระพันปีหลวง
... พระตำหนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ศาลาพระอัยยิกา หอสวดมนต์ ศาลาหลวงพ่อนาค ฯลฯ
ดังนั้น ถ้าใครได้มีโอกาสเดินทางไปยังวัดแห่งนี้ลองค่อยๆ พิจารณาความงามต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในวัดแห่งนี้กันนะคะ
Ref : ขอบคุณเนื้อความส่วนหนึ่งจาก https://readthecloud.co/wat-rajadhivas/
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปกับ พี่สุ
ท่องเที่ยวทั่วโลก กับพี่สุ
ซีรีย์เที่ยวเจาะลึก ประเทศนอร์เวย์
Iceland ดินแดนแห่งน้ำแข็งและเปลวไฟ
Lifestyle & อาหารการกิน แบบพี่สุ
สถานีความสุข by Supawan
โฆษณา