3 มิ.ย. 2021 เวลา 03:30 • ท่องเที่ยว
นั่งรถไฟพม่าเที่ยวรอบนครย่างกุ้ง .. ประสบการณ์วันแรก
ในการเดินทางครั้งนี้ เราวางแผนว่า จากย่างกุ้งเราจะเดินทางตรงไปยังพุกามในช่วงบ่ายแก่ๆของวันเดียวกัน … จากสนามบินฉันกับเพื่อน จึงนั่งแท็กซี่ตรงมายังสถานีรถไฟในใจกลางเมืองย่างกุ้ง เพื่อซื้อหาตั๋วรถประจำทางเพื่อเดินทางต่อไปยังพุกาม ..
อันที่จริงเราสามารถเดินทางด้วยเครื่องบินจากย่างกุ้งตรงไปพุกามก็ได้ ง่ายดีและใช้เวลาน้อย แต่วัตถุประสงค์ในการเดินทางเยือนพม่าคราวนี้ เราต้องการสัมผัสกับวิถีชีวิตแบบชาวบ้านๆของคนพม่าจริงๆ เราจึงเหลือทางเลือกอีก 2 ทางคือเดินทางโดยรถยนต์ หรือล่องแม่น้ำอิรวดีที่ต้องใช้เวลานานมาก
ขณะอยู่บนถนนในเมือง … แม้จะไม่ใช่การเดินทางมาครั้งแรก แต่สิ่งแรกที่สะดุดตาฉันมากที่สุดนอกจากภาพอร่ามเรืองของเจดีย์ชเวดากองที่สามารถมองเห็นจากเกือบทุกมุมเมืองของย่างกุ้ง ... สิ่งนั้นคือ เครื่องแต่งกายของคนพม่า ชายพม่าจะแต่งกายด้วยโสร่งสวมรองเท้าแตะ (ซึ่งถือว่าสุภาพแล้ว จะใส่ไปที่ไหนก็ได้ ไม่เว้นแม้สถานที่ราชการ)
... ส่วนผู้หญิงจะสวมผ้าซิ่นใส่เสื้อรัดรูปอวดทรวดทรงองค์เอวกลมกลึงน่ามอง ที่ฉันเห็นว่าสวย ใบหน้าของพวกเธอทาด้วยทานาคาเหลืองนวลกันทุกคน … ชายชาวพม่ามักจะกินหมากกันปากแดงเถือกแทบทุกคน เห็นแล้วคิดถึงยายและยายทวดของฉันในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
อีกทั้งคนพม่าเกือบทุกคนยังนิยมทาหน้าด้วยทานาคา ซึ่งเป็นเหมือนเครื่องสำอางที่เห็นซื้อขายกันทั่วไปในตลาด
การเดินทางจากพม่าไปยังภูมิภาคอื่นๆของพม่าโดยทางรถยนต์ เราต้องมาที่บริษัททัวร์ทั้งหลายที่ส่วนใหญ่มีที่ทำการอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟ … ฉันรู้มาว่าโดยปกติชาวต่างชาติมักจะต้องจ่ายค่าสิ่งต่างๆส่วนมากในราคาที่แพงกว่าคนพม่าเองอยู่หลายเท่าเป็นธรรมเนียมไปเลย …
... ครั้งนี้เราจ่ายค่าตั๋วคนละ 8,000 จั๊ด ราวๆสองร้อยกว่าบาทต่อคน เมื่อคิดถึงระยะทางเกือบ 700 กิโลเมตรเราคิดว่าโอเคสมเหตุสมผล
รถโดยสารประจำทางมีกำหนดออกจากสถานีเวลาบ่ายสามโมง เราต้องกลับมาที่ร้านที่ขายตั๋วให้เราไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อที่จะใช้บริการ Transfer (เรียกให้มันโก้ๆไปยังงั้นเองค่ะ แล้วจะบอกภายหลังว่าเพราะอะไรค่ะ) ไปยังสถานีรถโดยสารที่อยู่ห่างออกไปราวเกือบ 30 กิโลเมตร โดยต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละพันจั๊ด
รายังมีเวลาเหลือเฟือในการหาอะไรทำก่อนการเดินทาง … เดินไปรอบๆสถานีรถไฟ เจอร้านกาแฟข้างทาง และวิถีชีวิตของชาวเมือง เลยเก็บรูปมาฝากค่ะ
สถาปัตยกรรมของสถานีรถไฟของพม่าด้านนอกดูสวยงามค่ะ เป็นตึกรูปทรงฝรั่ง แต่มีเครื่องหลังคาเป็นรูปแบบของชาวอุษาคเนย์ เหมือนฝรั่งใส่ชฎาน่ารักไปอีกแบบ ... ด้านหน้าสถานีมีรูปปั้นสวยงาม แต่ยังไม่ได้ค้นคว้าว่าเป็นรูปเกี่ยวกับอะไร และมีที่ไปที่มาอย่างไร ใครที่รู้และอยากจะแบ่งปันความรู้ให้บทความสมบูรณ์ ก็ยินดีนะคะ
สถานีรถไฟ เมื่อมองจากมุมสูงก็เหมือนๆกับสถานีรถไฟตามหัวเมืองของเรา มีรางรถไฟไขว้กันไปมา
ส่วนด้านในอาคารผู้โดยสารนั้นดูเก่าแก่ ทรุดโทรมไม่น้อย และไม่ค่อยมีป้ายบอกข้อมูลต่างๆที่เราต้องการ ต้องใช้วิธีถามไถ่ชาวบ้านแถวนั้นเอา ... คนพม่าพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก จึงไม่หนักใจในเรื่องของการสื่อสารค่ะ
เราเข้าไปในสถานีรถไฟ มีคนแนะนำให้เรานั่งรถไฟชมเมือง รถไฟที่ว่านี้จะแล่นวนเป็นวงกลม แบบ Shuttled Train ใช้เวลาราว 3 ชั่วโมงก็จะพาเรากลับมาที่เดิม …
... เราจ่ายค่าตั๋วคนละ 1 USD (คนพม่าจ่ายคนละ 200 จั๊ด หรือ 20 เซ็นต์ หรือเราจ่ายในราคา 5 เท่าของคนท้องถิ่น ซึ่งเป็นเช่นนี้เกือบทุกแห่งที่เราไปเยือน) … เมื่อได้ตั๋วมาแล้ว เราก็สอดส่ายสายตาและเลนส์กล้องเก็บภาพความเป็นพม่ามาฝากค่ะ
บริเวณสถานีรถไฟมีกิจกรรมและผู้คนลื่นไหลอยู่ตลอดเวลา ... ส่วนใหญ่หากไม่เป็นผู้โดยสารที่มานั่งหรือยืนรอรถไฟ ก็จะเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่นำสินค้ามาขายกันบนพื้นชานชาลา
... ทั้งหมากพลูสำเร็จรูปที่ทำเป็นคำๆพร้อมใส่ปากเคี้ยวได้เลย อาหารสำเร็จรูปประเภทต่างๆที่ออกจะได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย ...
...ส่วนใครบางคนที่เหนื่อยล้า ก็สามารถยึดส่วนหนึ่งของชานชาลาเป็นที่งีบหลับเอาแรง ก่อนที่จะลุกขึ้นมาดำเนินกิจกรรมที่เหลือของวันต่อไป
รถไฟของพม่าเป็นรถไฟแบบคลาสสิกค่ะ … เก่ามากๆ ที่นั่งทำไม้ง่ายๆยังใช้เป็นแบบ 2 แถวขนานไปกับความยาวของโบกี้ แต่ละโบกี้มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก คือไม่สามารถเดินทะลุไปมาได้ แตกต่างจากรถไฟในบ้านเรา
เราขึ้นไปจับจองที่นั่งที่เห็นว่ายังว่างอยู่ คิดในใจว่าโชคดีจังมีที่นั่งด้วย ไม่มีใครมานั่งใกล้ๆเลย …
... แต่เมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากสถานี ชายคนหนึ่งเดินตรงมายังที่เรานั่งอยู่พร้อมกับกั้นทางเดิน ควักเอาม้วนเชือกออกมาขึงกั้นทางเดินช่วงที่เรานั่งอยู่ เราเลยอยู่ในวงล้อมของเชือก บอกเป็นนัยๆว่าที่ที่เรานั่งนั้นเป็นที่ห้ามเข้า ด้วยเป็นสถานที่ทำงานของพนักงานประจำรถไฟ
เมื่อเราขยับตัวเพื่อที่จะลุกออกไป ชายคนนั้นให้สัญญาณว่า … ม่ายเป็นราย ยูนั่งอยู่นั่นแหละไม่ต้องลุกไปไหนก็ได้ เราก็เลยรู้สึกว่าได้อภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่น
... ฉันจึงขอถ่ายรูปคนรถไฟใจดีคนนี้ เขายกมือห้ามไม่ให้ฉันกดชัตเตอร์ พร้อมๆกับหยิบหวีออกมาจากกนะเป๋ากางเกง บรรจงหวีผม ก่อนที่จะเดินมาที่กึ่งกลางของทางเดินพร้อมกับโพสท่าที่เห็นให้ฉันถ่ายรูปที่เห็นด้านล่าง … ฉันอมยิ้ม พร้อมกับยกนิ้วหัวแม่มือให้ … ยูเก๋จริงๆ 5555+
รถไฟแล่นตามราง ได้ยินเสียงล้อบดกับรางเหล็ก ฉึกๆฉักๆมาเรื่อยๆ … จะว่าไปแล้ว รถไฟดูจะเป็นรูปแบบการเดินทางระยะสั้นๆที่คนพม่านิยมกันมากทีเดียว เหมือนๆกับรถไฟชานเมืองในกรุงเทพที่ฉันเคยใช้บริการเมื่อทำงานแถวเยาวราชเมื่อนานมาแล้ว …
... เราจึงเห็นคนโดยสารในโบกี้ที่เรานั่งมีทั้ง พระสงฆ์ พ่อค้าแม่ขาย นักเรียน คนเดินทางทั่วๆไป และมีคนหลายเชื้อชาติปนๆกันไป หากแต่ก็ยังเป็นคนพม่า จะมีแตกต่างก็เพียงเรา 2 คนที่เป็นคนต่างชาติ
ชาวพม่าที่เราสัมผัส ดูจะมีความเป็นมิตรสูงมากค่ะ เมื่อเห็นมีคนต่างชาติ ก็มักจะเข้ามาถาม และเมื่อรู้ว่าเป็นคนไทย ก็ดูเหมือนจะดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้มาก ...
... เราพบคนพม่าที่เคยเข้ามาทำงานในเมืองไทย และคนเกาหลีที่ตกลงปลงใจมาใช้ชีวิตในย่างกุ้งอย่างยาวนาน จึงได้พูดคุยกันอย่างออกอรรถรสมากมาย
รถไฟที่เรานั่งกันในวันนั้นไม่แน่นมากนัก ยังพอมีที่ยืนได้หลวมๆ ... ในรถไฟจะมีพ่อค้าแม่ค้านำอาหาร ผลไม้ น้ำดื่ม หมากพลู และอื่นๆขึ้นมาขายกันอย่างเอิกเกริก ดูแล้วน่าสนใจมากค่ะ ...
... อาหารบางประเภทจะมีการปรุงกันสดๆให้รับประทานกันตรงนั้นเลยทีเดียว
... เราอุดหนุนสับปะรดแล้วนั่งทานกันไปตลอดทาน รวมถึงแจกให้กับเด็กนักเรียน (เด็กชายในชุดโสร่งสีเขียว ใส่เสื้อขาวในรูปด้านล่าง) ที่นั่งข้างๆด้วยค่ะ
ชาวพม่าส่วนใหญ่ยังมีอาชีพเกษตรกรรม ต้องพึ่งฟ้าฝน ดินฟ้าอากาศ เพื่อให้ผลผลิตออกมาดี เช่นเดียวกับชาวชนบทของไทยนอกกรุงเทพฯ ...
ทิวทัศน์ระหว่างทางที่รถไฟแล่นผ่าน เราจึงเห็น นาข้าว สวนผัก บ้านเรือนของชาวเมืองที่ยังมีบรรยากาศเป็นแบบชนบทดิบๆ ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านชั้นเดียวสร้างด้วยไม้ไผ่ ตลอดทาง รวมถึงกิจกรรมบ้านๆ เช่น การวิดน้ำหาปลาเล็กปลาน้อยในบ่อ หรือบึงเล็กๆ .. ที่บ่งบอกวิถีชีวิตที่ง่ายๆตามสภาพ
อยากให้คนในเมืองไทยมาเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพม่า ... สิ่งที่คนไทยหลายคนเรียกว่า "ความลำบาก ยากแค้น" เมื่อเทียบกับสิ่งที่เป็นไป เป็นอยู่ในพม่าแล้วยังห่างกันลิบลับ ...
... เมืองไทยยังมีสภาพเหมือน "สวรรค์" ที่คนพม่าใฝ่ฝันอยากได้ในชั่วชีวิตหนึ่งค่ะ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนทำด้วยไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน วิทยุทรานซิสเตอร์ รถบรรทุก รถเครื่อง หรือแม้กระทั่งรถไถนา หรือรถอีแต๋น
รถไฟจะจอดให้คนโดยสารขึ้นลงแทบทุกสถานี … จะเห็นว่าริมทางของบางสถานีเป็นตลาดของชุมชน มีการซื้อขายกันคึกคักมาก ผสมผสานไปกับร้านอาหารริมทางที่มีลูกค้านางทานกันอย่างคึกคัก ทำให้ฉันนั่งนึกถึง "ตลาดร่มหุบ" ใกล้กรุงเทพเมื่อเห็นการค้าขายของตลาดริมทางรถไฟที่นี่ ...
คนพม่าในชุดโสร่งหลากสีและหน้าเคลือบด้วย ทานาคา .. พืชผักพื้นเมืองหาบหามมาวางขาย ... สร้างกิจกรรมที่คึกคัก และสีสันให้เป็นส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวในสังคมพม่า ไม่ต่างจากชนบทบางแห่งที่ห่างไกลของเมืองไทย
ฉันว่าสิ่งที่แตกต่าง คือ สภาพที่ฉันเห็นในวันนี้ คือสิ่งที่ยังคงดำเนินไปทุกวันในใจกลางของเมืองที่เคยเป็นเมืองหลวง (พม่าเพิ่งจะย้ายเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ) ... แต่ในเมืองไทย เราจะไม่ค่อยเห็นสภาพที่ใกล้เคียงกันมากนัก
รถไฟยังแล่นทะยานไปตามรางส่งเสียงดังฉึกฉักๆๆๆๆ ... ผู้คนยังคึกคัก ขึ้นๆ ลงๆ รถไฟตลอดทาง ...
... ฉากแรกของภาพชีวิตคนพม่าที่ผ่านเข้ามาให้เราสัมผัสครั้งแล้ว ครั้งเล่า เปี่ยมสีสัน เร่งเร้าความสนใจให้ค้นหาความเป็นพม่าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ...
ยิ่งนั่งบนรถไฟพม่านานเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งตระหนักว่า เมืองไทยของเรานั้นน่าอยู่เพียงใด ... ความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำ มีอยู่ทุกประเทศในบางแง่มุม แม้แต่บ้านเมืองที่ได้ชื่อว่า "ศิวิไลย์" ที่สุดไม่ใช่หรือ? ... ฉันเชื่อว่า "ความเป็นธรรม" นั้น อยู่ที่ดวงตาและหัวใจที่ใช้มอง รวมถึงว่าคุณจะใช้มาตรฐานของใครในการวัดต่างหาก
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลกกับพี่สุ … รวม link บทความที่เขียนในเพจ ..
***เมืองไทย ไดอารี่ by Supawan
***Supawan’s colorful world
***สถานีอร่อย by Supawan
โฆษณา