14 มิ.ย. 2021 เวลา 03:03 • ธุรกิจ
รู้จัก Cree ผู้ปฏิวัติหลอดไฟ LED แต่ตอนนี้จะเลิกทำ LED
ปี 1989 หรือเมื่อ 32 ปีที่แล้ว บริษัทอเมริกันรายหนึ่ง
ได้ทำการเปิดตัวเทคโนโลยีที่เรียกว่า Blue-LED หรือหลอดเปล่งแสงสีน้ำเงิน
ที่ทำให้หลอดไฟ LED ส่องสว่างมากขึ้นและใช้พลังงานน้อยลงมาก
2
นอกจากนั้น Blue-LED ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้เทคโนโลยี LED ถูกต่อยอดมาเป็นหน้าจอแสดงผลของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่เราใช้กันในทุกวันนี้
บริษัทสัญชาติอเมริกันที่ว่านี้ มีชื่อว่า “Cree”
แต่รู้ไหมว่า วันนี้ Cree กำลังเลิกทำธุรกิจที่เกี่ยวกับจอแสดงผล
เพื่อไปโฟกัสกับ ธุรกิจที่พวกเขามองว่ามีอนาคตกว่าอย่างเต็มที่
Cree กำลังเลิกทำสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในอดีต เพื่อไปโฟกัสกับธุรกิจอะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
บริษัท Cree ก่อตั้งในปี 1987 ในเมืองเดอแรม รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา
โดยทำธุรกิจวิจัยคิดค้น ผลิตชิปไฟ LED และชิปควบคุมการส่งสัญญาณคลื่นความถี่วิทยุ
1
ซึ่งเรื่องราวที่ทำให้ Cree มีชื่อเสียงขึ้นมา
ก็คือการเปิดตัว เทคโนโลยี Blue-LED หรือหลอดเปล่งแสงสีน้ำเงิน สำหรับการผลิตเพื่อค้าขายเชิงพาณิชย์ได้เป็นบริษัทแรกของโลก ในปี 1989
แล้วการผลิตหลอดเปล่งแสงสีน้ำเงินได้ มันปฏิวัติวงการไฟส่องสว่างอย่างไร ?
อธิบายแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ
หลอดเปล่งแสงสีน้ำเงิน เมื่อนำไปส่องแสงร่วมกันกับหลอดเปล่งแสงอีก 2 สี คือ สีแดงและสีเขียว จะทำให้เกิดแสงสีขาวที่สว่างมาก และการเปล่งแสงของหลอดทั้ง 3 สีนี้ ยังก่อให้เกิดสีสันอื่นที่สวยงามเมื่อเปล่งแสงร่วมกัน และได้ถูกนำมาต่อยอดเป็นเทคโนโลยีจอแสดงผล LED ในวันนี้นั่นเอง
1
หลังจากนั้นมา Cree ก็กลายเป็นซัปพลายเออร์คนสำคัญของโลก ในอุตสาหกรรมจอแสดงผล
ทั้งจอโทรทัศน์, จอมือถือ และจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่อาศัยเทคโนโลยี LED
3
นอกจากนั้นแล้ว ส่วนธุรกิจผลิตชิปควบคุมการส่งสัญญาณคลื่นความถี่วิทยุของ Cree ก็เติบโตขึ้น ตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย
Cree จึงสามารถเติบโตและจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ได้สำเร็จ ตั้งแต่ปี 1993
1
Cr. TopLEDlight.com
ทีนี้ ถ้าลองมาเจาะดูผลิตภัณฑ์ของ Cree
ส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์ของบริษัท ทั้งชิปสำหรับหลอด LED และชิปสำหรับรับส่งสัญญาณคลื่นวิทยุ ล้วนมีวัสดุตั้งต้นที่ชื่อว่า ซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) และ แกลเลียมไนไตรด์ (GaN)
คำถามคือ ซิลิคอนคาร์ไบด์ และ แกลเลียมไนไตรด์ มันคืออะไร ?
เพื่อให้เห็นภาพตรงนี้ชัด เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ผลิตชิปในปัจจุบันกันสักเล็กน้อย ว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภทหลัก ๆ คือ
1. ซิลิคอน (Si)
ซึ่งนิยมนำมาใช้ทำชิปประมวลผลต่าง ๆ เช่น หน่วยประมวลผลกลาง (CPU), หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
2. แกลเลียมอาร์เซไนด์ (GaAs)
ปัจจุบันใช้เป็นวัสดุของชิปควบคุมการส่งสัญญาณคลื่นความถี่วิทยุและชิปเปล่งแสงไฟ LED
ซึ่งวัสดุประเภทนี้ สามารถทนความร้อนได้ดีกว่า และมีประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณได้ดีกว่า ชิปที่ผลิตจากซิลิคอน
3. ซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) และ แกลเลียมไนไตรด์ (GaN)
ชิปที่ผลิตจากวัสดุสองตัวนี้จะมีความสามารถที่ทนความร้อน รับส่งสัญญาณ และรองรับแรงดันไฟฟ้าได้ดีกว่าชิปที่ผลิตจากวัสดุ 2 ข้อแรกข้างต้น
1
ประเด็นสำคัญก็คือ หลาย ๆ ธุรกิจที่ถูกมองว่าเป็นธุรกิจแห่งอนาคตในวันนี้ กำลังมีความต้องการชิป ที่ผลิตจากซิลิคอนคาร์ไบด์และแกลเลียมไนไตรด์
ด้วยคุณสมบัติรองรับแรงดันไฟฟ้าและความร้อนได้มาก
ซิลิคอนคาร์ไบด์และแกลเลียมไนไตรด์ จึงได้ถูกนำไปใช้ในเครื่องแปลงกระแสจากแผงโซลาร์เซลล์ และเป็นวัสดุตั้งต้นของชิปควบคุมการทำงานแท่นชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
1
ชิปควบคุมระบบจ่ายไฟของรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Model 3 ของ Tesla ก็เลือกใช้ชิปที่ทำจากซิลิคอนคาร์ไบด์ของบริษัท Cree
ซิลิคอนคาร์ไบด์ ยังถูกนำไปใช้ในเครื่องส่งสัญญาณคลื่น 5G อีกด้วย
ส่วน แกลเลียมไนไตรด์ ก็ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการผลิตชิปสำหรับเครื่องชาร์จไฟความเร็วสูง ที่กำลังเติบโตตามเมกะเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าเช่นเดียวกัน
นอกจากนั้น ซิลิคอนคาร์ไบด์และแกลเลียมไนไตรด์
ยังเป็นวัสดุที่สำคัญในการผลิตชิปควบคุมการรับส่งสัญญาณในระบบ LiDAR หรือก็คือ เทคโนโลยีที่ประยุกต์ใช้แสงเลเซอร์ในการวัดระยะทางของวัตถุโดยรอบ และสะท้อนกลับมาเพื่อประมวลผลเป็นแผนที่สามมิติได้
1
ซึ่ง LiDAR ก็ถูกคาดการณ์ว่าเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยการใช้งานระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ
ในปี 2018 ผู้บริหาร Cree ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการในส่วนของการผลิตชิปสำหรับควบคุมการส่งสัญญาณคลื่นความถี่วิทยุ จาก Infineon Technologies บริษัทผลิตชิปสำหรับยานยนต์รายสำคัญของโลก
1
Cr. EE Power
ขณะที่ธุรกิจผลิตชิปไฟ LED ที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทในอดีตนั้น ในวันนี้กลับกำลังสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้น้อยลงเรื่อย ๆ
จนบริษัทเริ่มทยอยปิดกิจการในส่วนของการผลิตชิปไฟ LED
และขายธุรกิจชิปไฟ LED บางส่วน ให้กับทางบริษัทอื่น ในปี 2020
และล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2021 ที่ผ่านมา
Cree ก็ได้ประกาศรีแบรนด์ Cree ให้กลายเป็นชื่อ “Wolfspeed”
ซึ่ง Wolfspeed ก็คือชื่อเรียกส่วนธุรกิจผลิตชิปจากซิลิคอนคาร์ไบด์ใน Cree ก่อนหน้านี้
1
ซึ่งก็เป็นการประกาศเจตนารมณ์ว่า บริษัทจะมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้นำในด้านการผลิตชิปจากซิลิคอนคาร์ไบด์และแกลเลียมไนไตรด์ อย่างเต็มตัว
1
นอกจากนี้ บริษัทยังคิดค้นวัสดุที่ชื่อ GaN-on-SiC เป็นส่วนผสมของทั้งสองวัสดุตั้งต้น ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพของคุณสมบัติที่ทนความร้อนขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง
ซึ่งก็คาดว่าวัสดุชนิดนี้ จะยังนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้อีกมาก
1
ปัจจุบัน Cree หรือ Wolfspeed ในตอนนี้ เป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาด SiC ซิลิคอนคาร์ไบด์ทั่วโลกกว่า 60%
แล้วผลประกอบการของ Cree หรือ Wolfspeed ในตอนนี้ เป็นอย่างไรบ้าง ?
ปี 2018 รายได้ 28,644 ล้านบาท ขาดทุน 8,680 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 33,480 ล้านบาท ขาดทุน 11,625 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 27,993 ล้านบาท ขาดทุน 5,952 ล้านบาท
ผลประกอบการในช่วงหลายปีหลังยังคงขาดทุน
แต่ด้วยปัจจัยบวกหลายอย่าง ทั้งการปรับตัวออกจากอุตสาหกรรมผลิตชิปไฟ LED ที่มีการแข่งขันสูงและตัวสินค้าเริ่มเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว และการมุ่งสู่การผลิตชิปเพื่ออุตสาหกรรมที่ดูมีอนาคต
บวกกับ ข้อมูลคาดการณ์ว่าความต้องการของตลาดชิปที่ผลิตจาก ซิลิคอนคาร์ไบด์และแกลเลียมไนไตรด์ ที่ Cree นั้นมีความเชี่ยวชาญในการผลิต
ทำให้มูลค่าของบริษัท Cree, Inc. ในตอนนี้ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 360,000 ล้านบาท
ซึ่งคิดเป็นเกือบ 2 เท่า ของมูลค่าบริษัทในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
เรื่องราวการปรับตัวของ Cree หรือที่พวกเขาเรียกตัวเองว่า Wolfspeed ในวันนี้
ก็เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า การปรับตัวในการทำธุรกิจนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และสิ่งที่เคยรุ่งเรือง เคยสร้างชื่อเสียงให้กับเรา มันอาจไม่รุ่งเรืองเหมือนในอดีตได้ตลอดไป
และเมื่อถึงเวลาที่สิ่งนั้น หรือธุรกิจนั้น ถึงจุดอิ่มตัว
เราก็อาจจะต้องยอมตัดใจปล่อยสิ่งนั้นทิ้งไป เหมือนที่ Cree ตัดสินใจปล่อยมือจากธุรกิจผลิตชิปหลอดไฟ LED ที่เคยสร้างชื่อเสียงและความสำเร็จให้บริษัทในอดีต
เพื่อจะได้มาโฟกัสเต็มที่ กับสิ่งที่ทำแล้วจะสามารถเติบโตได้ดี ในอนาคต..
โฆษณา