17 มิ.ย. 2021 เวลา 08:50 • ท่องเที่ยว
(13) พุกาม .. ทะเลเจดีย์ที่พุกาม ท่ามกลางอาทิตย์อัสดง ณ เจดีย์ชเวซานดอร์ (Shwesandaw Zedi)
หากคุณมาเยือนพุกาม กิจกรรมที่ต้องไม่พลาด คือ การไปชมอาทิตย์อัสดงที่ทุ่งทะเลเจดีย์ … สถานที่ที่คุณจะได้ชมดวงอาทิตย์ยามจูบลาผืนโลกได้งดงามที่สุด ท่ามกลางแสง และสีที่น่าประทับใจ
ในอดีตทางการพุกามอนุญาตให้ไปเฝ้าดูแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันได้ที่ "มังกาลาเจดีย์" แต่เมื่อไม่นานมานี้ มังกาลาเจดีย์มีสภาพทรุดโทรม และยังไม่ได้รับการบูรณะให้ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทางการของพุกามในปัจจุบัน จึงให้นักท่องเที่ยวไปดูที่ เจดีย์ชเวซานดอ
เมื่อใกล้เวลาพระอาทิตย์ตก เราจะเห็นภาพผู้คนเดินทางมาที่นี่ ด้วยพาหนะหลากหลาย มีทั้งมาด้วยการโดยสารรถยนต์ ปั่นจักรยานมาด้วยพลังสองขา ในขณะะที่หลายคนเดินทางมาด้วยเกวียนเทียมวัว หรือ นั่งรถม้าที่เก๋ไก๋
รถม้า … พาหนะของเราตบอดเวลาที่อยู่ในพุกาม
ใกล้ๆกับพระเจดีย์องค์นี้ มีวิหารขนาดเล็ก ข้างในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ “ชินปินตาเลียว” ความยาว 18 เมตร
หากดูที่ภาพสเก็ตจะเห็นว่าอาคารคับแคบมากสำหรับพระพุทธรูปขนาดนี้ ... ไม่ทราบว่าทำไมจึงสร้างอาคารเล็กๆคลุมเอาไว้
การถ่ายรูปพระพุทธรูปในวิหารแห่งนี้ยากและลำบากที่จะได้ภาพที่สวยงามโดยปราศจากการเตรียมสิ่งประกอบอื่นๆให้ภาพดูน่าสนใจ เช่น เณรน้อยที่กำลังไหว้พระบูชา และเทียนที่ถูกจุดส่องประกายของแสงที่ช่วยให้ภาพดูมีชีวิตชีวา
พระพุทธรูปที่มีคนถ่ายเอาไว้งดงามตามที่เห็น เป็นรูปจาก Internet
เรามาถึงที่นี่ก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกดินมากพอควร และก่อนที่กองทัพนักท่องเที่ยวจะเดินทางมาที่นี่ จึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะเข้าไปอุดหนุน พูดคุยทักทายกับสาวพม่าและเด็กๆที่ขายเครื่องดื่มอยู่ในบริเวณเจดีย์
สาวน้อยทั้งสองคนหน้าตาน่ารัก ผิวพรรณดี ... ฉันจึงถามถึงการใช้ "ทานาคา" ว่าพวกเธอใช้ะโลมใบหน้ากันวันละกี่ครั้ง และตอนไหนบ้าง
"คนพม่าจะใช้ทานาคาชโลมใบหน้าทุกวัน วันละ 2 ครั้ง และปล่อยไว้อย่างนั้นตลอดวัน" สาวน้อยตอบ
"แล้วผู้คนจะเห็นใบหน้าสวยๆ ผิวที่นวลละเอียดได้เมื่อไหร่ล่ะคะ หากใช้ทานาคาตลอดทั้งวัน" ฉันป้อนคำถามให้กับเธอทั้งสองอีก
"ตอนเช้ามืด หลังที่เราล้างหน้าล้างตา เตรียมใช้ทานาคาอีกครั้ง" เป็นคำตอบของสาวพม่า ที่ฉันต้องแอบคิดในใจว่า คงไม่มีใครได้เห็น นอกจากคนที่เป็นสามี ... แต่เธอมีเซอร์ไพร้ส์ค่ะ แล้วฉันจะเล่านี้ฟังในตอนต่อไป
เจดีย์ชเวซานดอ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางที่ราบใหญ่ องค์เจดีย์เป็นรูประฆังคว่ำ ตั้งอยู่บนฐานซ้อนกัน 5 ชั้น ทางขึ้นเป็นบันไดสูงชันชนิดคอตั้งบ่าเลยทีเดียว … เจดีย์แห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโนรธา เมื่อปี ค.ศ. 1057 หลังจากที่พระองค์ตีเมืองมอญได้ไม่นาน
ชเวซานดอร์ โดยความหมาย สื่อถึงเจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ หากแปลตามตัว มีความหมายถึง "เจดีย์ทองที่บรรจุเส้นเกศาของพระพุทธเจ้า” เชื่อว่ากันว่าเป็นพระธาตุที่ได้มาจากการตีเมืองมอญ
เจดีย์แห่งนี้ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ครั้งที่พม่ายังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่แล้วก็พังทลายลงมาอีกเพราะแผ่นดินไหวเมื่อปี ค.ศ. 1975 แต่ก็ได้รับการบูรณะขึ้นอีกครั้งในสมัยของนายพลเนวิน
เราปีนบันไดที่ทั้งสูง ทั้งแคบและชันของเจดีย์ … ความแคบของบันได ทำให้เราต้องก้มตัวต่ำ เพื่อให้แต่ละก้าวย่างสมดุล ไม่เสียหลักตกลงมา ซึ่งฉันว่าเป็นความฉลาดและเป็นกุศโลบายที่แยบยลของคนโบราณ ที่ต้องการให้ทุกคนค้อมหัวให้กับสถานที่ เป็นการแสดงความเคารพต่อบริเวณที่กำลังจะขึ้นไปเยือน
หากจะให้เห็นภาพคงต้องเทียบกับปราสาทนครวัดในเขมร เหมือนๆกับเวลาที่เราปีนบันไดที่ชั้นสูงสุดของนครวัดในช่วงที่รัฐบาลเขมรยังอนุญาตให้ขึ้นไปได้ (ตอนนี้ห้ามขึ้นค่ะ) จะต่างกันนิดหน่อยที่ ที่นี่มีราวบันไดให้เกาะ แต่ที่ปราสาทนครวัดไม่มี … หรืออีกที่หนึ่ง คือที่พระปรางค์วัดอรุณฯ .. ขาลงต้องถอยหลังลงเพื่อความปลอดภัย และลดทอนความหวาดเสียวลงค่ะ
แต่ละชั้นบนเจดีย์แห่งนี้สามารถเดินด้วยเท้าเปล่าได้โดยรอบ จึงมีคนนิยมไปเดินจงกรมโดยรอบแต่ละชั้น เชื่อว่าจะได้บุญและจิตใจเบิกบาน ด้วยแต่ละชั้นเป็นที่สิงสถิตของเทพในคติของศาสนาฮินดู คือ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ แต่สิ่งที่ดีที่สุดของเจดีย์ชเวซานดอร์ คือเมื่อปีนบันไดอิฐแคบๆขึ้นไปถึงชั้นสูงสุด คือชั้นที 5 แล้ว จะมองเห็นภาพเมืองพุกามแบบ พาโนรามา กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
สายลมเย็นที่พัดผ่านบนลานชมวิวทำให้ความเหนื่อยและกล้ามเนื้อขาที่ตึงเครียดบรรเทาลง … ที่นี่เราสามารถมองเห็นทัศนียภาพเมืองพุกามในมุมที่สวยที่สุดได้สุดลูกหูลูกตา
ทุ่งเจดีย์นับพันองค์ที่แทรกตัวอยู่ตามป่าละเมาะ และทุ่งโล่งเบื้องหน้า สะท้อนแสงยามเย็นระยิบระยับ มองเห็นได้ไกลถึงแนวภูเขาอาระกัน และฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเอยาวดี … เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า พม่า เป็นแผ่นดินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธาของมนุษย์อย่างที่ยากจะหาที่ไหนมาเปรียบเทียบ โดยสิ่งที่บ่งบอกถึงความศรัทธาอันใหญ่หลวงนี้ก็คือ เจดีย์ ที่กระจายอยู่ทั่วแผ่นดินนี่แหละ …
ฉันเดินไปรอบๆลานด้านบนขององค์เจดีย์หามุมสวยๆถ่ายภาพ … เจดีย์เล็กใหญ่ในทุ่งเจดีย์ ส่วนใหญ่ได้รับการบูรณะ ซ่อมแซมจนสวยงาม ประณีต โผล่ผุดขึ้นมาทุกแง่ทุกมุม
เหนือเจดีย์เหล่านี้คือท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ เปรียบเสมือนจักรวาลที่โอบคลุมพื้นปฐพีไว้ใต้อำนาจ … ตัวเราเป็นสิ่งเล็กกระจ้อยร่อยในจักรวาลที่กว้างใหญ่
ด้านหนึ่ง สามารถมองเห็นยอดเจดีย์ของอานันทวิหารที่เป็นสีทองอร่ามสะท้อนแสงพระอาทิตย์งามจับตา
วิหารธรรมยังจี ส่งประกายสีส้มแกมชมพูของอิฐ ... ขรึม ดูขลัง มองดูคล้ายปิรามิด เปี่ยมเสน่ห์ให้เข้าไปศึกษาเรื่องราวความเป็นมาที่น่าสนใจ
ด้วยเหตุที่เจดีย์มีอยู่มากมาย การศึกษาประวัติศาสตร์พุกามมาก่อนบ้างจะช่วยให้การเยี่ยมชมพุกามได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น … มากยิ่งกว่า “การผ่านไปเห็นเพียงช่วงสั้นๆ”
เจดีย์และวัด เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของธรรมะ ที่จะเป็นพาหนะนำปวงชน ให้ดำเนินชีวิตบนวิถีแห่งศีลธรรม และความกลมเกลียวราบรื่น เหมือนฟันเฟืองที่หล่อลื่นด้วยน้ำมันคุณภาพดี … หากขาดธรรมะแล้วไซ้ ฟันเฟืองชีวิตก็จะฝืด สนิมจะกัดกินจนผุกร่อนสูญสลายในที่สุด
ภาพพระอาทิตย์ดวงโตที่ยังมีแสงเจิดจ้า ค่อยๆเคลื่อนลับไปจากขอบฟ้า ทิ้งให้เจดีย์ดำทะมึนตัดกับท้องฟ้าสีแดงอมส้ม ดูโดดเด่นน่าชม
เสน่ห์ของเงาดำของเจดีย์น้อยใหญ่ ท่ามกลางแสงสีส้มทอง ... มองดูลึกลับชวนให้ค้นหาเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ภายในสิ่งก่อสร้างอลังการใหญ่โตมากมาย ที่มาจากศรัทธาทั้งผู้ปกครอง อำมาตย์ ลงมาจนถึงไพร่ฟ้า ที่เท้าเหยียบยืนอย่างมั่นคงบนผืนดิน แต่ส่งสายตามองยอดเจดีย์ที่มุ่งตรงไปยังสวรรค์
อาทิตย์อัสดงลงแล้วที่ทะเลเจดีย์ ... แต่เรื่องราวของที่นี่ยังคงอยู่ และเปี่ยมเสน่ห์ รอให้ผู้มาเยือนชื่นชมอยู่วันแล้ว วันเล่า
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลกกับพี่สุ … รวม link บทความที่เขียนในเพจ ..
***เมืองไทย ไดอารี่ by Supawan
***Supawan’s colorful world
***สถานีอร่อย by Supawan
โฆษณา