19 มิ.ย. 2021 เวลา 04:36 • หนังสือ
♡ เราต่างเกิดมามีธรรมชาติแท้จริงของตนเอง
unsplash.com
" เราเกิดมามีความเป็นนก เป็นเต่า เป็นกระต่าย เป็นช้าง เป็นสิงโตกันในตัวอยู่แล้ว โลกก็คือป่า ประเทศหรือเมือง ก็คือป่า เรามีแค่สัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งในป่านี้ไม่ได้ ทุกชีวิตทุกความหลากหลายทางชีวภาพสร้างสมดุลให้ป่ามีชีวิตต่อไป และทุกชีวิตก็มีคุณค่าเหมาะสมในการดำรงชีวิตอยู่ของตนเอง "
1
ผมมักพูดกับคนใกล้ตัวในทำนองนี้เสมอ เวลาบทสนทนานำพาเราไปในเรื่องการเป็นตัวของตัวเอง มีหลายๆคนในชีวิตรอบข้างของผมที่จำต้องทำอาชีพ หรือทำในสิ่งที่ตนเองไม่ได้ชอบนัก เป็นในสิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็น ก็เพราะเพื่อปากท้องความเป็นอยู่ และความพอใจของผู้มีพระคุณในชีวิตทั้งหลาย
สังคม ครอบครัว ให้คุณค่า เงินตรากับสิ่งไหน เราก็ต้องทำหรือเป็นในสิ่งนั้น
และแน่นอน ผมไม่ได้จะบอกว่าเงินไม่สำคัญ ยิ่งอยู่ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดแบบนี้ผมเข้าใจดีเลยล่ะ ผมไม่มีเงินเดือน งานของผมคือการทำงานกับงานกิจกรรม และกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง รับเงินหลังจบเป็นงานๆไป ซึ่งนั่นแหละครับ ตอนนี้ทำงานแทบไม่ได้ เอาเป็นว่าผมอยากพูดในส่วนของความสำคัญในสมดุลธรรมชาติ และความงดงามของการเป็นตัวของตัวเองเท่านั้นนะครับ
มีบทหนึ่งในหนังสือ "หิมาลัยไม่มีจริง" ชื่อบทว่า "สายลมอันเป็นผลจากหมาป่า" พี่เอ๋ นิ้วกลม กล่าวถึงส่วนหนึ่งจากหนังสือ  Animate Earth : Science, Intuition and Gaia ของ สเตฟาน ฮาร์ดิง กล่าวถึง เหตุผลของอากาศหนาวบริเวณป่าแห่งหนึ่งที่ประเทศไอซ์แลนด์
unsplash.com
" ในช่วงเวลาที่หิมะตกหนัก ฝูงหมาป่าจะรวมตัวกันเป็นฝูงนักล่าขนาดใหญ่ ทำให้สามารถล้มกวางมูสขนาดใหญ่ได้ เพราะหมาป่าได้เปรียบเมื่อพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะหนา
เมื่อล่ากวางได้มาก ต้นอ่อนของต้นสนซึ่งปกติจะถูกกวางมูสเล็มกินก็จะรอดมากขึ้น มีโอกาสโตเป็นต้นสนเต็มวัย เมื่อป่ามีต้นสนสีเข้มเยอะขึ้น ก็ทำให้อากาศบริเวณนั้นอุ่นขึ้น หิมะตกน้อยลง
เมื่อหิมะน้อยลง หมาป่าจะล่าเหยื่อเป็นฝูงเล็กลงและล่ากวางมูสได้น้อยลง กวางมูสจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้น ต้นอ่อนของต้นสนจึงถูกกินมากขึ้นด้วย จึงมีต้นสนที่มีโอกาสโตเต็มวัยน้อยลง
แล้วป่าก็กลับไปเหน็บหนาวอีกครั้ง หิมะตกหนา เอื้อให้ฝูงหมาป่าออกล่ากวางมูสได้มากขึ้นอีก วงจรเช่นนี้หมุนวนเป็นวัฏจักร
เช่นนี้แล้วจึงอาจกล่าวได้ว่า หมาป่ามีอิทธิพลต่ออุณหภูมิของโลก "
หรืออาจกล่าวได้อีกว่า ป่าสน หมาป่า และกวางมูส เป็นส่วนหนึ่งของกันและกันบนโลกใบนี้ หากขาดชีวิตใดชีวิตหนึ่งไป อุณหภูมิในบริเวณนั้นคงขาดความสมดุล
ยังมีอีกมากมายหลายเรื่องของวัฏจักรตามธรรมชาติที่น่าทึ่งและอัศจรรย์ใจ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีชีวิตอยู่มาก่อนพวกเราเนิ่นนาน เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรที่หมุนวนสร้างโลกนี้ให้อุดมสมบูรณ์ จนกระทั่งวานรวิวัฒกลายเป็นมนุษย์นี่แหละ
ช่วงนี้ผมอ่านหนังสืออยู่ 2 เล่ม "Atomic Habits" โดย James Clear และ "นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ" โดย ฮาวัน
2
ในหนังสือ 2 เล่มนี้มีบทที่กล่าวถึงการมีชีวิตของตัวเองที่น่าสนใจและอยู่ๆผมก็เชื่อมโยงเข้าด้วยกันได้ โดยผมอยากสรุปให้ฟังตามนี้ครับ
มีบทหนึ่งที่ชื่อ "มีทางเดียวที่ไหนกัน" ในหนังสือของคุณฮาวันที่เล่าถึงประสบการณ์การสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้านศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุดในเกาหลีใต้ นั่นคือ มหาวิทยาลัยฮงอิก
คุณฮาวันใช้เวลา 4 ปี คือสอบ 4 ครั้งกว่าจะสอบเข้าได้ครับ โดยความล้มเหลวในการสอบครั้งที่สามทำเอาคุณฮาวันเกือบจบชีวิตตนเองบนสะพานแห่งหนึ่งในกรุงโซลแล้ว
" จะกล้ามองหน้าพ่อแม่ยังไง ตายเสียก็ดี ใช่เลย ตายดีกว่าแต่แล้วผมก็กลัวจนไม่กล้ากระโดดลงจากสะพาน ผมยิ่งสมเพชตัวเองที่ไม่กล้าจะตาย  สายลมฤดูหนาวเย็นเยียบเหลือเกินตอนผมเดินร้องไห้ข้ามสะพาน ชีวิตผมจบเห่เท่านี้สินะ "
แต่แล้วในการสอบครั้งที่ 4 คุณฮาวันก็ทำได้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยฮงอิกได้สำเร็จ ช่วงนี้แหละที่ผมชอบ คุณฮาวันเขียนถึงความสำเร็จในการสอบไว้ดังนี้ครับ
" หากคุณมองว่านี่เป็นเรื่องราวสานฝันเป็นจริงด้วยการไม่ยอมแพ้สู้ต่อจนสำเร็จแล้วล่ะก็
ขอบอกเลยว่าคุณคิดผิด
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การตั้งเป้าหมายผิดๆกับความเชื่อว่าหนทางชีวิตมีแค่เส้นทางเดียว สร้างความย่อยยับแก่ชีวิตคนเราได้มากแค่ไหนต่างหาก
...
เหตุผลที่ผมอยากเรียนที่นี่เหลือเกินก็เพราะเคยเชื่อว่าการเป็นศิษย์ของที่นี่จะเปลี่ยนชีวิตผม พวกผู้ใหญ่ชอบพูดราวกับว่าการได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยมีชื่อจะช่วยให้ชีวิตเราลงเอยด้วยความสำเร็จ
อุตส่าห์ทุลักทุเลหลายปีกว่าจะสอบติด แต่ชีวิตผมไม่เห็นพลิกผัน โลกความจริงคือผมต้องทำงานหาเงินจ่ายค่าหน่วยกิต ส่วนข่าวลือว่ามีบริษัทใหญ่คอยจ้องทาบทามก็เป็นแค่ข่าวลือดังว่า นักศึกษาแต่ละคนต่างยุ่งหัวหมุนกับการตามหาเส้นทางชีวิตของตน แล้วผมก็คือคนหลงทาง "
ในบทนี้ยังมีกล่าวถึงข่าวเรื่องนักเรียนเตรียมสอบราชการคนหนึ่งที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายหลังสอบไม่ผ่านเป็นครั้งที่สี่ น้องคนนั้นแขวนคอตายในห้องน้ำสาธารณะในจุดพักรถทางด่วนขณะเดินทางกลับบ้านกับคุณแม่
" ยังมีโศกนาฏกรรมไหนน่าเศร้าเท่าการปลิดลมหายใจตัวเองเพราะตัดใจจากเป้าหมายไม่ลงอีกเล่า การยึดติดเพียงหนทางเดียวย่อมหมายถึงการตัดใจจากหนทางอื่นๆ "
ตั้งแต่เด็กจนโตเราถูกหล่อหลอมขึ้นมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จากครอบครัว โรงเรียน มหาวิทยาลัย กระทั่งที่ทำงาน ในแต่ละยุคสมัยย่อมมีความเชื่อนิยมของคนหมู่มาก ซึ่งมันก็เป็นทางเลือกที่ดี "ทางหนึ่ง" ในช่วงเวลานั้นจริงๆ ทว่ากาลเวลาและฤดูกาลผันเปลี่ยนเสมอ
คุณคงไม่ใส่เสื้อกันหนาวในฤดูร้อน เช่นเดียวกัน คุณคงไม่ใส่เสื้อกล้ามในวันที่หิมะตก เราต่างมีความเป็นตัวของตัวเอง ยีนส์ สรีระ สัดส่วนสมองที่ใหญ่เล็กในแต่ละด้านไม่เท่ากัน ซึ่งอ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ หากเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อคุณเกิดมาเป็นกวางมูส ธรรมชาติของคุณคงไม่ใช่การออกล่าหมาป่า
ในหนังสือ Atomic Habits มีบทหนึ่งที่กล่าวถึงเรื่อง "การทำตามอย่างกลุ่มคนส่วนใหญ่"  นักจิตวิทยาชื่อว่าโซโลมอน แอช เริ่มการทดลองโดยการตั้งกลุ่มคนตัวอย่างขึ้นมากลุ่มนึง เข้าไปในห้องร่วมกับกลุ่มคนแปลกหน้า โดยกลุ่มตัวอย่างไม่ทราบว่าผู้ร่วมการทดลองคนอื่นๆเป็นนักแสดงที่กำหนดบทบาทโดยนักวิจัย
การทดลองใช้วิธีง่ายๆคือการตั้งคำถามที่ไม่ยากนักกับผู้ร่วมทดลอง กล่าวคือเห็นคำตอบถูกผิดง่ายๆชัดเจน ซึ่งในช่วงแรกทุกคนตอบไปในทางเดียวกันหมด หลังจากนั้นเหล่ากลุ่มนักแสดงจะเริ่มตอบผิดอย่างจงใจ กลุ่มตัวอย่างที่ไม่ทราบกลลวงเริ่มมีอาการสับสน และหลังจากกลุ่มนักแสดงที่มีจำนวนมากกว่าเริ่มตอบผิดมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดกลุ่มตัวอย่างก็เลือกตอบสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ถูกต้อง
1
คุณโซโลมอน แอช ค้นพบว่ายิ่งจำนวนนักแสดงเพิ่มมากขึ้นเท่าใด การปฏิบัติตามกันของกลุ่มตัวอย่างก็เพิ่มขึ้นตามเช่นกัน ถ้ามีกลุ่มตัวอย่างกับนักแสดงแค่คนเดียวจะไม่มีผลอะไรกับการตัดสินใจของกลุ่มตัวอย่าง
เมื่อไรก็ตามที่เราไม่แน่ใจว่าจะทำตัวอย่างไร เราจะมองพฤติกรรมคนส่วนใหญ่ในกลุ่มเพื่อชี้นำการแสดงพฤติกรรมของเราเอง เราอ่านรีวิวในเว็บไซต์หรือโพสต์ในโซเชียลมิเดียต่างๆ เราอยากจะเลียนแบบพฤติกรรมการซื้อ กิน ท่องเที่ยว ถ่ายรูป "ที่ดีที่สุด" จากภาพ บทความ ของรีวิวเหล่านั้น
1
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ผมก็เชื่อว่าทุกคนรู้ในเรื่องนี้ดีเรามีแนวโน้มที่จะทำตามคนอื่นๆรอบตัวมากกว่าที่จะเชื่อมั่นทำตามในสิ่งที่เราคิด โดยเฉพาะเมื่อความคิดของเราต่างจากหลายคนอื่นๆ และกับคนเอเชียที่มีการดำเนินตามกันเป็นกลุ่มสังคมมากกว่าตะวันตก การที่คนผิวเหลืองน้ำตาลอย่างเราแสดงความแตกต่างออกมาก็จะถูกจับจ้อง หรือดูแปลกในสายตาผู้อื่นด้วยกันมากกว่า
แต่ในขณะเดียวกันสมดุลทางธรรมชาติก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เรามีสิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวไม่ได้ ความแตกต่างจึงอาจดูแปลกแยกเมื่อเทียบกับสิ่งเหมือนๆกันอื่นๆ แต่เมื่อประกอบรวมกันแล้วจึงเป็นธรรมชาติที่สวยงาม
ดังภาพวาดของแม่น้ำ น้ำตก ต้นไม้ ภูเขา ก้อนเมฆและดวงอาทิตย์ ที่ผมชอบวาดตอนเด็กๆ
อ้อ! และหากมีหมาป่า กวางมูส หมีตัวใหญ่ ปลาแซลมอน สิงโต กวางเรนเดียร์ และอื่นๆอีกมากมาย รายละเอียดของภาพนั้นก็จะยิ่งดูมีชีวิตชีวามากขึ้นไปอีกว่ามั้ยครับ
unsplash.com
ขอให้ทุกคนเป็นตัวของตัวเองอย่างกล้าหาญและมีความสุข ♡
1
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ :)
โฆษณา